เฉินเสียนจ้องเขม็งพลางคิดว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า ปกติเวลานี้เขาจะออกจากพระตำหนักไท่เหอไปแล้ว แม้แต่ตอนที่เฉินเสียนขอให้เขาอยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน เขาก็ยังถูกพวกขุนนางชั้นพวกใหญ่วิพากษ์วิจารณ์ เธอจึงคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาในเวลานี้
ชั่วพริบตาเดียวซูเจ๋อก็มายืนอยู่ตรงหน้าเฉินเสียนแล้ว เรือนกายของเขาคละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายของความชุ่มชื้นแห่งสายฝน เขาก้มลงมองเธอด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง กระซิบอย่างแผ่วเบาว่า “จะไม่ต้อนรับข้าเข้าไปหน่อยหรือ”
หลังจากได้สติเฉินเสียนจึงขยับไปยืนข้างประตูและยิ้มน้อยๆ เธอยกมือขึ้นทัดผมไว้ข้างหูและกล่าวว่า “ข้าแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
ชาบนโต๊ะอุ่นกำลังพอดี เฉินเสียนมองเขาดื่มมัน เห็นได้ชัดว่าใบหน้าอันสดใสซึ่งอยู่ภายใต้ไอร้อนของชาดูไม่ใช่สีหน้าที่แท้จริง
เฉินเสียนลูบปกคอเนื้อของเขาและเอ่ยเบาๆ ว่า “ในห้องบรรทมไม่ได้หนาวขนาดนั้น เสื้อนอกของท่านชุ่มขนาดนี้ ถอดออกก่อนดีไหม”
แม้ปากจะถาม แต่เฉินเสียนกลับไม่รอคำตอบ เธอเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยตรงหน้าเขา คลายเสื้อคลุมของเขาออกและหันกลับไปแขวนไว้ที่ฉากกั้นหยกมรกต
ซูเจ๋อมองดูเจ้าของเรือนร่างอรชรที่กำลังเดินกลับมา ทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าหากเธอเป็นเพียงภรรยาธรรมดาๆ ของเขาอย่างแท้จริงก็คงดี
เมื่อเฉินเสียนเดินกลับมา ยังไม่ทันจะพูดอะไร อยู่ๆ ซูเจ๋อก็โน้มตัวเข้ามาหาอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว ใช้มือข้างหนึ่งคว้าเธอเข้าไปบดเบียดอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ซูเจ๋อพาดคางไว้ที่ซอกคอของเธอแล้วกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ายังอยากดื่มชา ท่านชงชาให้ข้าดื่มหน่อยได้หรือไม่”
บนเรือนร่างของเขายังมีกลิ่นอายของไม้กฤษณาปกคลุมอยู่จางๆ พร้อมกันนั้นคละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายของค่ำคืนแห่งวสันตฤดู เมื่อเฉินเสียนตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เธออดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ ช่วงนี้อารมณ์ของเธอค่อนข้างอ่อนไหวมากจริงๆ ดูเหมือนการโอบกอดที่น่าหลงใหลเช่นนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีน้อยลง
เฉินเสียนกระชับอ้อมแขนและกอดตอบเขา เธอกล่าวว่า “ได้สิ ท่านอยากดื่มชาอะไร ข้าจะไปต้มให้ท่าน”
หลังจากนั้นแม่นมซุยก็ยกชุดเครื่องชาเข้ามา เฉินเสียนสวมชุดแขนกระบอกผ้าบางนั่งลงข้างเตาอุ่นๆ ล้างกาน้ำชาด้วยท่าทีสบายๆ
เพื่อแลกเปลี่ยนกัน เฉินเสียนขอให้ซูเจ๋อช่วยแปลและเขียนตอบข้อราชการแทนเธอ
กว่าจะทำงานเสร็จ ท้องฟ้าภายนอกก็มืดสนิทและดึกมากแล้ว
เฉินเสียนถามว่า “คืนนี้ท่านจะกลับไปไหม”
“ไม่ไปแล้ว
เธออดยิ้มไม่ได้ “คราวนี้ไม่กลัวถูกบ่นแล้วหรือ”
ซูเจ๋อลูบถ้วยชาอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ในเมื่อขอร้องให้ข้ามาเป็นผู้เกลี้ยกล่อม แล้วยังมาเรียกร้องให้ข้ารักษากฎเกณฑ์ แบบนี้มันจะไม่เข้มงวดเกินไปหน่อยหรือ… อาเสียน ท่านเชื่อหรือไม่ว่าต่อให้ข้าอยู่กับท่านคืนนี้ แต่หากทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายได้ ก็จะไม่มีการพูดถึงกฎเกณฑ์ประเพณีใดๆ ทั้งนั้น”
รอยยิ้มของเฉินเสียนจืดจางลงเล็กน้อย เธอกล่าวว่า “แล้วท่านล่ะ ท่านคิดจะทำตามความปรารถนาของพวกเขาและเกลี้ยกล่อมข้าไหม”
เธอไม่อยากถามเขาว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น เหตุผลของเขาย่อมรั้งไม่ให้เขามาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอในเวลานี้
ซูเจ๋อตอบข้อราชการเล่มสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เขากล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าการเกลี้ยกล่อมผู้หญิงของตนเองให้ยอมรับชายอื่นเป็นเรื่องที่โหดร้ายหรอกหรือ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ เหมือนจะถาม แต่ก็เหมือนจะทอดถอนใจ
เฉินเสียนตอบไปว่า “มันโหดร้ายมาก”
“แม้ข้าจะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นผลดีต่อบ้านเมือง ช่วยแก้ไขสภาวะที่ยากลำบากของต้าฉู่ได้ ทั้งยังช่วยให้ได้รับมิตรไมตรีจากเย่เหลียง จักรพรรดิเย่เหลียงตั้งใจส่งองค์ชายหกให้มาอยู่ในวังหลังของต้าฉู่ แต่พระองค์ประมาทไปเล็กน้อย เพราะสิ่งนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากในภายภาคหน้าท่านควบคุมองค์ชายหกไว้ได้ เขาจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อเกี่ยวดอง แต่จะมาเพื่อเป็นตัวประกัน จักรพรรดิเย่เหลียงรักองค์ชายหก หากองค์ชายหกอยู่ในมือของท่าน ในอนาคตอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เย่เหลียงจะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม”
จู่ๆ มือของเฉินเสียนก็เอียงจนทำให้น้ำชาหกลงบนเตาโดยไม่ได้ตั้งใจ ควันสีน้ำเงินลอยขึ้นมา นิ้วของเธอจับอยู่บนเครื่องลายครามที่ร้อนผ่าว ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ปลายนิ้วและพุ่งตรงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
เธอหดนิ้วมาไว้ด้านหลังด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเพื่อไม่ให้ซูเจ๋อสังเกตเห็น
เฉินเสียนเงยหน้ามองซูเจ๋อ ขอบตาของเธอเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย เธอฉีกยิ้มมุมปากอีกครั้งและเอ่ยว่า “ที่ท่านบอกเรื่องนี้กับข้า เป็นไปได้ไหมว่าท่านมาเพื่อเกลี้ยกล่อมข้าจริงๆ” เฉินเสียนลดเสียงลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ข้าไม่ได้อยากฟังเลยสักนิด”
ที่ข้างโต๊ะยังมีข้อราชการวางซ้อนอยู่อีกสองปึกใหญ่ ซูเจ๋อจะหยิบขึ้นมาอ่านแต่เฉินเสียนเอื้อมมือมาหยุดไว้ก่อน
เฉินเสียนกล่าวว่า “เข้าไม่ได้อ่าน ท่านก็ห้ามอ่าน”
“ทั้งหมดคือข้อฟ้องร้องข้ารึ” ซูเจ๋อถามอย่างไม่ยินดียินร้าย
เฉินเสียนบอกไปว่า “พรุ่งนี้ข้าจะนำไปเผาแล้ว”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ข้างนอกมีเสียงซ่าซ่าดังขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเสียงเล็กๆ ราวกับหนอนไหมที่กำลังแทะเล็มใบไม้ เฉินเสียนรู้ว่าข้างนอกฝนตกอีกแล้ว
เธอได้ยินซูเจ๋อเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นท่านพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ประชาชนชาวต้าฉู่ฝากความหวังไว้กับท่าน เป็นความจริงที่ท่านเป็นจักรพรรดินีที่ทุกคนเชื่อถือและศรัทธา”
เฉินเสียนไม่อาจฝืนยิ้มได้อีกต่อไป เธอหันไปมองซูเจ๋อและกล่าวว่า “ไม่พูดเรื่องนี้ได้ไหม ข้าไม่อยากได้ยินท่านเยินยอข้าเช่นนี้ ท่านจะเยินยอว่าข้าอ่อนโยนและงดงาม หรือจะชมว่าข้าฉลาดและจิตใจดีก็ได้”
ซูเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าที่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มจางๆ “อ่อนโยนและมีคุณธรรม ฉลาดและจิตใจดี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านมีเพียบพร้อมในตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ข้าจะต้องเยินยอ อาเสียน ฝนตกอีกแล้ว ท่านอยากทำให้ความพยายามที่ผ่านมาของท่านเสียไปโดยเปล่าประโยชน์หรือ เหตุการณ์น้ำท่วมที่เจียงหนานเมื่อปีก่อน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าประชาชนต้องไร้ที่อยู่อาศัย ต้องหิวโหยและหนาวเหน็บอย่างไร”
แน่นอนว่าเธอไม่เคยลืม
ซูเจ๋อเอ่ยอีกว่า “หากในท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้มเหลว สิ่งที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปก็จะสูญเปล่า แล้วที่พยายามกันมาขนาดนั้นจะทำไปเพื่ออะไร”
เฉินเสียนกอดเข่าและเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “ท่านถามข้าว่าเพื่อสิ่งใด ข้าบอกได้เลยว่าเพื่อท่าน ข้าพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อเอาใจทุกคน ข้าอยากจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ท่านได้อยู่เคียงข้างข้าอย่างยุติธรรมและถูกต้อง ข้าไม่สนเลยว่าจะได้รับคำอวยพรจากทุกคนบนโลกหรือไม่ ข้าไม่สนใจด้วยว่าจะโดนปรามาสหรือเปล่า แต่ข้าสนใจว่าพวกเขาด่าทอท่านหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงยอมถอย ยอมประนีประนอม”
เธอกัดฟันและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ซูเจ๋อ ข้ายอมถอยได้ ข้ายอมประนีประนอมได้ แต่ข้าพยายามจนถึงท้ายที่สุดเพื่อพบว่า… พบว่าข้าสูญเสียความปรารถนาที่เคยมี พบว่าข้าสูญเสียท่านไปแล้วไม่ได้”
เธอยิ้มจางๆ และรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ซูเจ๋อ ท่านมาที่นี่เพื่อเกลี้ยกล่อมข้าจริงๆ ด้วย พวกเขาให้รางวัลอะไรท่านหรือ ท่านจึงจะยอมตัดใจจากข้าง่ายๆ”
ใบหน้าของซูเจ๋อซีดเผือดลงเล็กน้อย
ทว่าเขากลับยิ้มและเอ่ยว่า “มีผู้ชายคนไหนบ้างที่จะส่งผู้หญิงของตนให้ไปอยู่ในอ้อมกอดของชายอื่น แต่ถ้าข้าไม่ได้เป็นผู้รับหน้าที่เกลี้ยกล่อม คืนนี้ข้าจะมาที่นี่ได้อย่างไร คำพูดเหล่านั้นก็แค่พูดไปเช่นนั้นเอง อาเสียนฉลาด แม้ว่าข้าจะไม่ได้พูดท่านก็ยังรู้”
เฉินเสียนซบหน้าลงบนหัวเข่าและเงียบอยู่นาน ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ซูเจ๋อ ข้าหนาว”
ซูเจ๋อเข้ามาอุ้มเธอและเดินไปที่เตียง
ม่านเตียงตกลงมาทีละชั้นๆ ทว่าก็ยังกั้นเสียงสายฝนยามวสันตฤดูที่ดังอยู่ข้างนอกไม่ได้ เป็นเสียงที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
แสงไฟภายในห้องวูบไหว และอาภรณ์ที่เธอสวมใส่ถูกโยนออกไปจากเตียงทีละชิ้นๆ
ซูเจ๋อบุกเข้ามาในเมืองอย่างไร้ความปรานีและยึดครองเธอ
ขณะที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความลุ่มหลงที่ไม่อาจต้านทาน เฉินเสียนคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินซูเจ๋อพูดบางอย่าง เขากัดใบหูของเธอและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า “จำได้ไหมว่าข้าเคยบอกกับท่าน ว่าข้ายินดีอยู่ใต้กระโปรงของท่านไปชั่วชีวิต นั่นเพราะวังหลังจะมีผู้เป็นที่รักสามพันคน แม้ว่านั่นจะไม่ใช่เจตจำนงของกษัตริย์ ข้ารู้มาตั้งแต่ต้นแล้ว”
เฉินเสียนกัดลงไปบนไหล่ของซูเจ๋อเพื่อเพิ่มรอยแผลให้เขา