เหตุการณ์ที่ศาลาบนประตูเมืองร่วงหล่นลงมานั้นทำให้วุ่นวาย เหล่าองครักษ์วังหลวงจึงรีบขึ้นไปดูเหตุการณ์ด้านบนให้แน่ชัด บรรดาขุนนางที่อยู่ด้านหลังก็โน้มน้าวให้เฉินเสียนรีบกลับเข้าพระราชวัง
เฉินเสียนนั้นปลอดภัยดี เพราะตอนนั้นซูเจ๋อเป็นคนที่กดทับเธอเอาไว้ ทั้งสองกลิ้งหกล้มลงไปที่พื้น เธอก้มศรีษะลง พยายามอดกลั้นอารมณ์ แล้วปัดเศษฝุ่นที่ติดตามเสื้อผ้าอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอ่ยว่า“ใต้เท้าซูเป็นคนที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ จะถือเป็นความผิดได้อย่างไร ขอเชิญองค์ชายหกเสด็จเข้าในเมือง ”
องค์ชายหกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ตกตะลึง
สถานการณ์ในขณะนั้น ตำแหน่งที่เขาอยู่มันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เดิมทีองค์ชายหกนั้นคิดว่า เรื่องนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ เฉินเสียนก็คงจะต้องสิ้นพระชนม์เป็นแน่
ในเวลานั้น เขาก็รู้อย่างชัดเจนดีว่านั่นไม่ใช่ผลสุดท้ายที่เขาอยากจะให้เป็น เดินทางมาไกลเป็นพันลี้เพื่อมาถึงต้าฉู่ เขายังไม่ทันได้เริ่มเล่นเกมกับเธอเลย ถ้าเกิดจะมาจบลงเช่นนี้ มันคงทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหัวใจของเขานั้นถูกบีบรัดแน่น แต่เขากลับไม่ขยับก้าวเท้าเข้าไปช่วยเธอ
ตอนที่ก้อนหินที่ร่วงหล่นลงมานั้น เป็นแค่ช่วงเวลาพริบตาเดียว องค์ชายหกกับเฉินเสียนต่างถูกสะกดให้หยุดนิ่ง ไม่ทันจะได้มีการตอบสนองที่ดี แต่สำหรับคนที่อยู่ด้านหลังของเธอนั้นสามารถที่จะเคลื่อนไหวราวกับสายลมมาโอบกอดเธอให้หลบหลีกตอนที่ก้อนหินร่วงหล่นลงมาได้
นั่นเป็นเพราะว่าเขาอยู่ด้านหลังของเธอ หัวหน้าของบรรดาขุนนาง ในสายตาของเขาคนที่เขาสนใจมีแค่เธอเพียงคนเดียว
เดิมทีองค์ชายหกนั้นต้องการที่จะมายั่วยุและยุแยงตะแคงรั่ว ขอเพียงแค่ต้องการดึงดูดความสนใจจากเฉินเสียนได้ นั่นก็พอแล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็กลับพบว่าเขาพ่ายแพ้ไปแล้วหนึ่งขั้น เพราะว่าเขาไม่มีทางที่จะดื้อรั้นยุแยงให้เฉินเสียนและซูเจ๋อนั้นแตกหักกันได้
กลุ่มคนเดินถนนกำลังเดินกลับเข้าเมือง โดยมีกลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้เร่งรัดอยู่ด้านหลัง เฉินเสียนเดินออกมาจากซูเจ๋อ แล้วหันหลังกลับเตรียมขึ้นรถม้า
แต่ทว่าเฉินเสียนที่เพิ่งเดินห่างออกจากกายซูเจ๋อได้เพียงไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นก็มีสายลมจากขุนเขาเขียวพัดเข้ามา ทำให้ชายเสื้อชุดเครื่องแบบขุนนางของเขาพัดไปตามสายลม
เฉินเสียนได้กลิ่นหอมของไม้กฤษณาจางๆจากตัวเขา จึงหยุดก้าวเดินในทันที
เธอขมวดคิ้ว แล้วเงยหน้าหันไปถามซูเจ๋อว่า “ใต้เท้าซูท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ซูเจ๋อพูด “ขอบพระทัยความห่วงใยของฝ่าบาท กระหม่อมไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ”
ก้อนหินเหล่านั้นที่ร่วงหล่นลงมาใส่บนร่างกายของเขา ถึงแม้จะไม่มีเลือดออก แต่ก็อาจจะมีเลือดช้ำในได้ เขารีบตอบกลับมาอย่างทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้คิด
เฉินเสียนเม้มปาก แล้วถามย้ำอีกครั้งว่า “ใต้เท้าซูท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
เธอได้กลิ่นหอมจางๆของไม้กฤษณาที่มีกลิ่นคาวของเลือดปะปนอยู่!
ครั้งนี้ซูเจ๋อไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงแค่ขยับมุมปากราวกับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในวินาทีนั้นเฉินเสียนก้าวเท้าถอยกลับมา ซูเจ๋อก็หลับตาแล้วล้มลงอย่างทันที เธอจึงรีบสวมกอดเขาไว้โดยที่ไม่สนใจสายตาของผู้อื่น
ร่างกายของซูเจ๋อนั้นโน้มเอนไปทางเธอ ทำให้เฉินเสียนนั้นเซไปด้านหลังสองก้าวถึงจะยืนอย่างมั่นคงได้ เธอได้กลิ่นคาวของเลือดจากร่างกายซูเจ๋อ มือข้างหนึ่งกอดเขาไว้ อีกข้างก็ค่อยๆลูบขึ้นไปที่ด้านหลังของซูเจ๋ออย่างสั่นเทา
สีเลือดบนใบหน้าของเฉินเสียนก็ค่อยๆซีดขาวลง
เธอรู้สึกหนาวเย็นตั้งแต่ศรีษะจนจรดปลายเท้า นิ้วที่เยือกเย็นนั้นสัมผัสได้ถึงความเหนียวจากใต้ผมของเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ความเหนียวข้นนั้นเปียกชุ่มไปทั่วเสื้อผ้าของซูเจ๋อ
นิ้วมือของเฉินเสียนนั้นสั่นเทา ขาก็กลับรู้สึกอ่อนแรง ในขณะที่กอดซูเจ๋อเอาไว้ทั้งสองนั้นก็ค่อยๆทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้น
เฉินเสียนอ้าปากค้าง เสียงที่ออกมาจากลำคอนั้นสั่นเทา“บาดเจ็บ ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือ?”
เลือดที่เหนียวข้นไหลออกมาจากบริเวณลำคอของเขา เธอค่อยๆลูบไปตามรอยเลือดที่ไหลออกมาจากเส้นผมของเขา ยิ่งเลื่อนมือสูงขึ้นเท่าไหร เธอก็รู้สึกสั่นเทามากขึ้นเท่านั้น
ตอนที่เฉินเสียนดึงมือกลับขึ้นมาดู ดวงตาของเธอนั้นก็เห็นมือที่ถูกย้อมเต็มไปด้วยสีแดงของเลือดสด
“ซู……ซูเจ๋อ?”
แม้ว่าใต้เท้าซูจะบาดเจ็บเพราะจากการช่วยชีวิตจักรพรรดินีเอาไว้ แต่จักรพรรดินีนั้นกลับมีปฏิกิริยาที่แปลก ในใจของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของต้าฉู่ก็ต่างถอนหายใจกัน
เรื่องที่พวกเขาเป็นกังวลอย่างลึกสุดหัวใจนั้น ในที่สุดมันจะเกิดขึ้นจริงหรือ?
เฉินเสียนไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว ออกคำสั่งทหารให้ไปตามหมอหลวง และก็รีบร้อนให้ผู้คนด้านข้างนั้นช่วยพยุงซูเจ๋อให้ไปขึ้นรถม้าของเธอ เธอควบคุมสติไม่อยู่ถึงขนาดกับไปแย่งชิงแส้ที่ใช้ควบคุมม้าเอาไว้แล้วขึ้นไปนั่งบนเพลารถม้า ขับขี่รถม้าวิ่งมุ่งเข้าไปในเมือง โดยทิ้งทุกคนไว้ทางด้านหลัง
เฉินเสียนพาซูเจ๋อกลับไปส่งที่จวน เมื่อพ่อบ้านได้เห็นเหตุการณ์ก็รีบไปเชิญหมอที่กระท่อมยามาทันที
เฉินเสียนไม่มีแม้แต่จะพูดอะไรออกมา เธอมีสีหน้าที่ขาวซีดและพยายามควบคุมการสั่นเทาของตัวเองเพื่อที่จะปลดชุดเครื่องแบบขุนนางของเขาออก แล้วเปิดเส้นผมของเขาออกดูเพื่อหาร่องรอยของบาดแผล
เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นได้ว่า ซูเจ๋อนั้นมีสีหน้าที่ซีดขาวดั่งแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมายังน้ำค้างที่อยู่บนกระเบื้อง
มือของเฉินเสียนนั้นเต็มไปด้วยเลือดของซูเจ๋อ เธอจึงไปหยิบกล่องยาที่อยู่ภายในห้องออกมา เพียงแต่ยังไม่ทันได้ลงมือสัมผัสกับบาดแผลของซูเจ๋อ มือของเธอก็ถูกซูเจ๋อผู้ซึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่นั้นคว้ามือเธอเอาไว้ก่อน
ซูเจ๋อที่ยังไม่ได้ลืมตา พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก รอให้พ่อบ้านเชิญหมอมารักษาเถิด ท่านไปพักผ่อนก่อน”
เฉินเสียนน้ำตาคลอ พูดเสียงแหบต่ำอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าก็รู้วิชาการแพทย์ ข้าทำได้ ท่านให้ข้าได้รักษาท่านก่อน……”
ซูเจ๋อค่อยๆเม้มมุมปาก แล้วพูดอย่างสงบว่า “ให้ท่านรักษา ถ้าท่านตกใจจนแขนอ่อนแรงจะทำอย่างไร?บาดแผลนั้นอยู่ภายในศรีษะ รักษาค่อนข้างยาก”
ตอนนี้อารมณ์ของเธอยังไม่สงบนิ่ง มือก็ยังคงสั่นเทา เธอเองก็กลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้า กุมมือของซูเจ๋อเอาไว้ แล้วประทับริมฝีปากลงไปหลังมือของเขา พยายามอัดอั้นความสะอื้นของตัวเองเอาไว้ ทำให้เสียงพูดออกมานั้นไม่ต่อเนื่อง “ทำไมไม่ให้ข้ากอดท่าน……ตอนนั้นถ้าข้าได้กอดท่าน ข้าก็คงจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว……ทำไมต้องมาเอาตัวบังแทนข้าไว้ ถึงอย่างไรก้อนหินเหล่านั้นก็ไม่ทำให้คนถึงตายได้ ทำไมท่านถึงได้มาบังข้าเอาไว้โดยพลการเช่นนี้…… ”
ซูเจ๋อยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็ใช่นะสิ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ทำให้คนตายได้ ตอนที่อยู่เย่เหลียงข้าได้รับบาดเจ็บหนักกว่านี้ ข้ายังมีชีวิตผ่านมาได้เลย บาดแผลแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรข้าได้หรอก”
เฉินเสียนพูดทั้งน้ำตาว่า “แล้วท่านจะหลับตาพูดทำไม ท่านลืมตามามองข้าสิ……”
ซูเจ๋อยิ้มมุมปากอย่างไม่หยุด แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากเห็นท่านต้องร้องไห้เพราะข้า”
เฉินเสียนกลั้นเสียงไว้ในลำคอแล้วเช็ดน้ำตา “ข้าไม่ได้ร้องไห้”
ซูเจ๋อยังพูดขึ้นอีกว่า “ตอนนี้ข้ายังรู้สึกเวียนๆศรีษะอยู่ รอให้ข้าดีขึ้นก่อนแล้วจะให้ท่านมองอย่างละเอียด”
เฉินเสียนกัดฟันแน่น อดทนกับความเจ็บปวดที่เหมือนกับถูกมีดแทง ลูบคลำไปที่ชีพจรของซูเจ๋อเพราะการบาดเจ็บภายนอก เธอพูดออกมาว่า “เอาหล่ะ ท่านพูดว่าไม่เป็นอะไร……อย่างนั้นข้าก็นั่งรออยู่ที่ข้างเตียงของท่าน ”
ในเวลาต่อมา หมอที่พ่อบ้านไปเชิญให้มารักษาก็มาถึงแล้ว
หมอมาเดินทางมาพร้อมกับเด็กสาวหนึ่งคน เด็กสาวที่ยืนสะพายกล่องยาอยู่ที่ไหล่นั้นเฉินเสียนจำได้ว่าคือเด็กสาวคนที่มารักษาเธอตอนที่อยู่ในจวนแม่ทัพ เป็นคนที่ช่วยชีวิตของเฉินเสียนเอาไว้
แต่ผู้เฒ่าที่อยู่ด้านข้างของเด็กสาวนั้น เฉินเสียนเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก ผู้เฒ่านั้นดูอายุมากแล้ว ทั้งเส้นผมและหนวดเคราก็เป็นสีขาวดั่งกับหิม่ะ แต่ดูเป็นคนที่มีจิตวิญญาณแกร่งกล้า สุขภาพร่างกายแข็งแรง
เด็กสาวพูดกับเฉินเสียนอย่างเคารพว่า “นี่คือท่านปู่ของข้า ครอบครัวของพวกเรานั้นวิชาการแพทย์เก่งกล้ามากเพคะ”
ผู้เฒ่าตรวจดูอาการให้กับซูเจ๋อ ในเวลาที่มือของเขาได้สัมผัสกับกระโหลกศรีษะของซูเจ๋อ เฉินเสียนก็รีบถามขึ้นมาทันทีว่า “ท่านอาวุโส เขาเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ผู้เฒ่าพูดว่า “โชคดีที่กระโหลกศรีษะนั้นไม่ได้รับความเสียหายอะไร เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก จากสภาพการณ์แล้วก็คงต้องให้รอให้บาดแผลของเขาฟื้นตัวดีก่อน แล้วค่อยรอดูอาการอีกรอบหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ”