ผู้เฒ่ายื่นใบสั่งยาให้กับเฉินเสียน แล้วพูดว่า “ตอนนี้เขาหลับไปแล้ว ข้าให้ยาลูกกลอนทะลวงเส้นเลือดสลายเลือดคั่งกับเขาแล้ว ตอนนี้ไม่อะไรที่น่าเป็นห่วง จัดยาตามใบสั่งยานี้แล้วกินวันละสามมื้อ ผลลัพธ์ของยาจะดีที่สุดเมื่อหลังจากกินไปหนึ่งชั่วโมง แล้วต้องให้การรักษาด้วยการฝังเข็มร่วมด้วยเพื่อให้หลอดเลือดในสมองนั้นไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ”
การใช้ฝังเข็มเข้ามาร่วมรักษาด้วยนั้น เป็นการฝังลงไปที่จุดฝังเข็มบนศรีษะของซูเจ๋อ มันจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองของเขาได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ผู้เฒ่าบอกจุดให้กับเฉินเสียนว่าต้องฝังจุดใดบ้าง เฉินเสียนก็สามารถทำได้อยู่แล้ว
เฉินเสียนจดจำทุกคำพูดของผู้เฒ่าอย่างละเอียดรอบคอบจนขึ้นใจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้
หลังจากที่ผู้เฒ่าพาหลานสาวกลับไปแล้ว เฉินเสียนก็นั่งยองๆลงไปต้มยาอยู่ที่หน้าประตูห้องของซูเจ๋อ ผ่านไปไม่นานนักทั้งหน้าประตูบ้านและลานบ้านของซูเจ๋อก็กลับคึกคักขึ้นมา เพราะขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักได้นำพาหมอหลวงมาเพื่อทำการรักษา ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นก็ทำให้มีคนอยู่เต็มลานบ้านไปหมด
พ่อบ้านจึงรีบมาด้านหลังเรือน เพื่อที่จะมาต้มยาแทนเฉินเสียน ไม่เช่นนั้นจะทำให้เหล่าขุนนางเห็นว่าเธอเป็นคนลงมือต้มเองพวกนี้เอง แต่เกรงว่าคงจะห้ามไว้ไม่ได้แล้ว
ในมือของเฉินเสียนถือพัดอยู่ กำลังพัดไปที่เตาต้มยา แล้วเอ่ยว่า “ให้คนพวกนั้นรีบกลับไป ปิดประตูจวน แล้วก็ห้ามไม่ให้ใครเข้ามา”
เธอไม่อยากจะไปโต้เถียงกับใคร แล้วเธอก็ไม่สนว่าคนอื่นจะพูดว่าอย่างไรหรือจะคิดอย่างไร เธอรู้เพียงแค่ว่าต้องไม่ให้ข้างนอกเสียงดังจนไปรบกวนการนอนของซูเจ๋อได้
นอนเถิด ไม่สนว่าเขาจะนอนหลับยาวนานแค่ไหน เธอก็จะเป็นคนคอยเฝ้าเขาเอง
เมื่อต้มยาเสร็จแล้วจึงยกยาเข้าไปที่เตียงของซูเจ๋อ เฉินเสียนคลำชีพจรที่ข้อมือของเขา ชีพจรดูปกติแล้วแต่ก็ยังเต้นอ่อนแรงอย่างชัดเจน สีหน้าของเขายังคงซีดขาวอยู่
เพียงแต่เสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนแล้ว คราบเลือดที่ติดอยู่รอบๆตัวเขา เฉินเสียนก็เป็นคนจัดการเช็ดให้อย่างสะอาด
เมื่อยาเย็นตัวลงเล็กน้อย การที่จะใช้ช้อนป้อนยานั้นก็เป็นเรื่องยาก เฉินเสียนจึงใช้ปากในการป้อนยาให้กับเขา เขาไม่ได้กัดฟันแน่น เฉินเสียนจึงอ้าปากของเขาออกมาแล้วค่อยๆป้อนยาลงไป
เธอไม่ได้กลับเข้าวัง แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรกับองค์ชายหกเลย ซูเจ๋อนอนหลับอย่างสงบอยู่ถึงสองวันสองคืน เธอก็เฝ้าอยู่ข้างเตียงของซูเจ๋อทั้งสองวันสองคืน
เมื่อถึงยามราตรี เฉินเสียนเทน้ำอุ่นเพื่อนำมาเช็ดที่ใบหน้าและแขนของซูเจ๋ออย่างอ่อนโยน พ่อบ้านเดินมาด้านหน้าประตูห้อง เอ่ยเสียงเบาด้วยความเคารพว่า “ฝ่าบาท พระราชวังส่งคนมาอีกแล้ว บอกให้พระองค์กลับเข้าวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านรออยู่ด้านหน้าประตูอยู่ครู่ใหญ่ เฉินเสียนจึงตอบกลับว่า “บอกให้พวกเขากลับไปเถิด”
เหล่าขุนนางนั้นได้ยินมาว่าการป่วยของซูเจ๋อครั้งนี้ค่อนข้างจะสาหัส เป็นลมหมดสติไปอยู่ถึงสองวันสองคืน และจักรพรรดินีก็อยู่เฝ้าในจวนของเขาถึงสองวันสองคืนเช่นกัน ไม่เข้าพระราชวัง ไม่รับฟังข่าวสารบ้านเมือง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำอะไรได้บ้าง
สิ่งที่พวกเขากังวลใจมากที่สุดก็คือ จักรพรรดินีจะหลงรักซูเจ๋อเข้าแล้ว
ยังจำได้ว่าเมื่อก่อน ตอนที่จักรพรรดินีอยู่ในราชสำนักทรงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า วังหลังของพระองค์นั้นจัดสร้างขึ้นเพื่อคนคนหนึ่ง ขอเพียงแต่ว่าคนคนนั้นอย่าได้เป็นราชครูซูเจ๋อเลย……
ในคืนวันที่สอง ผู้ที่ไม่เคยเคลื่อนไหวด้วยด้วยตัวเองอย่างฉินหรูเหลียง ก็มาอยู่ตรงหน้าเธอ
แม้ว่าประตูจวนของซูเจ๋อนั้นจะปิดแน่นหนาแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดเขาไว้ได้
เขาเห็นเฉินเสียนนั้นดูเหน็ดเหนื่อยไม่ได้พักผ่อน ยุ่งอยู่กับงานที่ทำเดินเข้าๆออกๆไปต้มน้ำให้กับซูเจ๋อ เธอไม่ได้ห่วงตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ดูไม่เหมือนกับเป็นจักรพรรดิที่สง่างามเสียเลย
เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังสูญเสียจิตวิญญาณเพื่อคนที่เธอรัก
ฉินหรูเหลียงจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกลอบสังหารในเย่เหลียง ตอนนั้นเธอก็เฝ้าอยู่ที่เตียงของชายผู้นี้โดยไม่ได้หลับพักผ่อน เกรงว่าตัวเองนั้นละหลวมแล้วไม่ได้เห็นในตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา
เธอมักจะยืนกรานอย่างมั่นคง สามารถยินยอมได้กับทุกสิ่ง แต่เพียงแค่ซูเจ๋อเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถทำให้เธอยอมพ่ายแพ้ไปได้
ถ้าเกิดเหล่าขุนนางใช้เวลานี้มาพูดตักเตือนเธอในเรื่องความแตกต่างระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง เธออาจจะจัดการกับคนแก่อย่างพวกเขาให้ถึงที่สุดก็เป็นได้
ดังนั้นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักจึงขอให้ฉินหรูเหลียงมาพูดเตือนเธอ
เมื่อตอนที่ฉินหรูเหลียงได้เห็นเฉินเสียนนั้นก็รู้ทันทีว่า เขาไม่มีทางจะพูดเตือนเธอได้
ค่ำคืนราตรีเย็นดั่งสายน้ำ เฉินเสียนนั่งอยู่ด้านนอกชายคานอกห้องของซูเจ๋อ แสงไฟที่เปร่งประกายออกมาจากเตาต้มยาส่องสว่างมาที่หน้าเธอ ฉินหรูเหลียงถามขึ้นว่า “ได้ทานข้าวเย็นหรือยัง?”
“ทานแล้ว” ฉินหรูเหลียงเดินเข้ามา แล้วยกเสื้อขึ้นเพื่อนั่งลงไปข้างๆเธอ เขานั่งเป็นเพื่อนเธออย่างเงียบๆอยู่สักพัก
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉินหรูเหลียงจึงถามขึ้นอีกว่า “บาดแผลของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
พัดที่อยู่ในมือเฉินเสียน ขยับไปมาอย่างนุ่มนวล เธอพูดขึ้นว่า “ตอนนี้กำลังนอนหลับอยู่อย่างสบาย”
“แล้วท่านหล่ะ”
เธอหยุดพัดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเขาดี ข้าก็ดีเช่นกัน”
ฉินหรูเหลียงเม้มปาก แล้วพูดว่า “เหล่าขุนนางพูดกันว่า ระบอบการปกครองของบ้านเมืองนั้นจะปล่อยให้ว่างเปล่าไม่ได้ หวังว่าจักรพรรดินีจะรีบกลับไปรักษาการในเร็ววัน”
ยาที่ต้มอยู่ในหม้อนั้นกำลังเดือดพล่าน เฉินเสียนใช้มือหนึ่งควบคุมไฟ อีกมือหนึ่งก็หยิบช้อนขึ้นมาคน แล้วเอ่ยว่า “ถ้าเกิดว่าข้าไม่กลับไป ท่านคิดจะมัดข้าให้กลับไปหรือไม่?”
ฉินหรูเหลียงพูด “เรื่องพวกนั้นข้าไม่ยุ่ง ข้าเพียงรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของท่าน ในเมื่อตอนนี้ท่านปลอดภัยดีแล้ว ข้าก็ไม่มีเรื่องต้องจัดการอีกแล้ว”
หลังจากที่ฉินหรูเหลียงลุกขึ้นเดินจากไป และเมื่อเขากำลังจะเดินออกจากลานบ้านไปนั้น ก็อดไม่ได้ที่หันกลับมามองและเห็นผู้หญิงคนนั้นยังคงกำลังยุ่งอยู่ เขาจึงเอ่ยเสียงอย่างหนักแน่นว่า “อย่ามัวดูแลแต่เขา ต้องดูแลตัวท่านเองด้วย”
เฉินเสียนเหมือนจะได้ยิน แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ยิน เมื่อเธอได้สติกลับมาเธอจึงมองออกไปที่ลานบ้าน ไม่รู้ว่าฉินหรูเหลียงนั้นได้เดินจากไปนานเท่าไหรแล้ว
ซูเจ๋อได้สติฟื้นขึ้นมาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นในเช้าวันที่สาม แสงของรุ่งอรุณทางด้านนอกหน้าต่างค่อยๆสว่างขึ้น
เวลานั้นซูเจ๋อจึงค่อยๆหันข้างไปเห็นเฉินเสียนที่นอนหมอบอยู่ข้างเตียง เขาจึงยกมือขึ้นแล้วลูบไปที่เส้นผมที่นุ่มนวลของเธออย่างอ่อนโยน
เฉินเสียนนั้นไวต่อความรู้สึกอย่างมาก วินาทีนั้นเธอจึงตกใจตื่น แล้วเงยหน้าขึ้นประจวบเหมาะเข้ากับใบหน้าสีหน้าซีดขาวอย่างอ่อนเพลียของซูเจ๋ออย่างพอดี
เพราะความอ่อนแอ จึงทำให้ดวงตาของเขาดูอ่อนโยนและบริสุทธิ์ราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้มาเปรีบยเทียบได้
เฉินเสียนกุมมือเขาขึ้นมาแล้วนำไปแนบชิดกับใบหน้าตัวเอง อุณภูมิและสัมผัสที่คุ้นเคยนั้นกลับมาที่มือของเขาอีกครั้ง มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ซูเจ๋อพูดกับเธอว่า “ข้าตื่นแล้ว ตอนนี้ให้ข้าได้ดูแลเอาใจใส่ท่านบ้าง ”
ประโยคที่ใสซื่อบริสุทธิ์นั้น เกือบจะทำให้ความสงบเงียบที่ผ่านมาสองสามวันนั้นของเฉินเสียนพังทลายลง
เฉินเสียนกุมมือของซูเจ๋อ ลูบไล้ไปตั้งแต่บริเวณคิ้ว แววตาที่เต็มไปด้วยอาลัยและอ่อนโยนของเขา เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างเสียงแหบว่า “รูปร่างหน้าตาของข้าในตอนนี้ คงจะดูไม่ได้เลยทีเดียวใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อยิ้มออกมา แล้วเอ่ยว่า “งดงาม ท่านเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในใจของข้า”
เฉินเสียนหน้าแดงยิ้มหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อตอนที่เธอหันกลับออกไปเพื่อมาตุ๋นโจ๊กให้กับซูเจ๋อนั้น เธอก็แอบปาดน้ำตาด้วยความดีใจที่ไหลรินออกมาอย่างเงียบๆ
เฉินเสียนป้อนอาหารเช้าให้เขา จากนั้นก็ป้อนยา เมื่อหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเธอจึงฝังเข็มให้กับเขา ในเรื่องการดูแลซูเจ๋อนั้น เธอทำหน้าได้อย่างไม่มีข้อบกพร่องอันใด
ตอนที่เฉินเสียนถอนเข็มให้เขา พูดขึ้นว่า “ข้าได้ให้พ่อบ้านไปเชิญหมอผู้เฒ่ามาตรวจร่างกายของท่านอีกรอบ ตอนนี้ท่านมีตรงไหนที่ไม่สบายหรือไม่?”
แสงรุงอรุณที่ส่องสว่างอยู่ภายนอกหน้าต่างนั้นทำให้ยอดไม้ที่พัดไปมาค่อยๆถูกย้อมกลายเป็นสีแดง
ซูเจ๋อกุมมือของเฉินเสียนอย่างเบา แล้วพูดว่า “ลืมตาขึ้นมาครั้งแรกแล้วได้เห็นท่าน ข้าก็รู้สึกดีมากแล้ว อาเสียน ข้าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ท่านพักผ่อนบ้างเถิด ”
ในเวลายามเช้าตรู่ ผู้เฒ่าก็ได้พาหลานสาวมายังจวนของซูเจ๋อ แล้วตรวจร่างกายเขาอีกรอบ เปลี่ยนตำหรับยา ผู้เฒ่ากล่าวว่า “บาดแผลนั้นกำลังเริ่มดีขึ้น ถ้ายังไม่อยากถึงแก่ชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มล่ะก็ ต่อไปเจ้าต้องพักผ่อนและดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้เหนื่อยเกินไป ไม่ควรจะทำลายร่างกายตัวเองอย่างตามอำเภอใจอีก”