เฉินเสียนเดินออกมาจากพระตำหนักฉีเล่อ ท่านแม่ทัพใหญ่ฉินหรูเหลียงที่เฝ้าอยู่นอกพระตำหนัก เขายังไม่เคยแม้แต่จะได้ครอบครองเฉินเสียน จะปล่อยให้องค์ชายหกที่เข้ามาแทรกได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน
ดังนั้นเมื่อเฉินเสียนเดินเข้าพระตำหนักฉีเล่อไปนั้น ฉินหรูเหลียงก็นำกำลังเข้ามาเฝ้าเวรยามไว้ข้างนอก เพื่อรอคำสั่งของเฉินเสียน และหลังจากนั้นองครักษ์วังหลวงก็สามารถเข้าไปจัดการได้
เฉินเสียนเดินไปข้างหน้า และกล่าวกับฉินหรูเหลียงว่า “ท่านเฝ้าดูองค์ชายหกไว้ ดูว่าเขามีการติดต่อกับคนข้างนอกวังหรือไม่ ตัดขาดการติดต่อของเขาและสายลับเย่เหลียงทั้งหมด”
หลังจากที่เฉินเสียนออกมาจากพระตำหนักฉีเล่อ องค์ชายหกก็กลับเข้าไปที่ห้องนอนในพระตำหนัก เขาไม่ได้สนใจว่าคนของเขาจะถูกโบยจนตายหรือบาดเจ็บปางตายหรือไม่
เขานอนอยู่ตามลำพังบนเตียงสีแดงขนาดใหญ่ มองดูเพดานสีแดงอบอุ่นเหนือศีรษะของเขา มือของเขาค่อย ๆ กำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “ซูเจ๋อ ช่างทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดนัก”
เฉินเสียนกลับมาถึงพระตำหนักไท่เหอ และก้าวข้ามสะพานเล็ก ๆ ในไฟในตำหนักยังคงสว่างไสวอย่างโปร่งใส่ ต่างจากพระตำหนักฉีเล่อ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและสบาย
เฉินเสียนฟังที่แม่นมซุยกราบทูลรายงาน หมอหลวงได้เข้ามาดูอาการของซูเจ๋อแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก และตอนนี้เขากำลังอยู่ในห้องนอนกับเจ้าน่องน้อย
ทันทีที่เฉินเสียนผลักประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เธอจับจ้องคือดวงตาเรียวสองคู่ทั้งเล็กและใหญ่
พ่อลูกทั้งสองคนกำลังนั่งเล่นบนพรมนุ่มด้วยกัน ซูเจ๋อสวมชุดลำลอง ส่วนชุดเครื่องแบบขุนนางนั้น เขาถอดและนำไปแขวนไว้ที่ฉากกั้นหยกแล้ว
คนเล็กดูตรงไปตรงมา ส่วนคนโตนั้นงดงามและน่ารื่นรมย์ ทั้งสองพูดพร้อมกัน “ท่านยังรู้ว่าต้องกลับมา”
เฉินเสียนแตะจมูกของเขาและกล่าวว่า “ข้ากลับมาถึงดึกมากเลยหรือ”
ซูเซี่ยนลุกขึ้น ดึงเสื้อผ้าของเขา และมองไปที่ซูเจ๋อ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านแม่กลับมาก็ดีแล้ว ท่านพ่อบอกว่าท่านพ่อปวดหัว ท่านแม่ดูให้ท่านพ่อหน่อยขอรับ”
ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเฉินเสียนได้ยินเช่นนี้ เธอจึงรีบเดินเข้ามาอย่างร้อนรนและกล่าวว่า “ทำไมถึงปวดหัวอีกแล้วล่ะ?”
ซูเซี่ยนกล่าว “ได้ยินมาว่าท่านแม่ไปหาคนอื่น คงเพราะตกใจขอรับ”
ไม่พูดเปล่า ซูเซี่ยนเดินออกมาจากห้องนอน และหลังจากออกมาจากห้องเขาก็คิดอยากจะปิดห้องให้สนิทเพื่อพวกเขาทั้งสองคน อย่างไรก็ตาม เพราะเขาตัวเล็กเกินไป พยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ อวี้เยี่ยนเข้ามาพบเข้าจึงช่วยเขาปิดประตูลง
ซูเซี่ยนหันหลังกลับมากล่าว “ขอบคุณ” และก่อนจะจากไปก็ได้บอกกับอวี้เยี่ยน “ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน ไม่ต้องเข้าไปรบกวนพวกเขา”
อวี้เยี่ยนอดยิ้มไม่ได้ “คิดว่าบ่าวดูไม่ออกหรืออย่างไรเจ้าคะ”
เฉินเสียนนั่งอยู่ข้างหลังของซูเจ๋อ ลูบศีรษะของเขา ในใจทั้งปวดร้าวและทั้งโกรธ และกล่าวว่า “ทั้งที่รู้ว่าร่างกายยังไม่แข็งแรงดี แทนที่จะพักผ่อนเยอะ ๆ แถมยังออกไปข้างนอกเพื่ออะไรกัน? หากไม่สบายจะทำเช่นไร? แผลที่ศีรษะติดเชื้อจะทำเช่นไร?”
ซูเจ๋อกล่าว “ข้าก็อยากจะทำเป็นไม่รับรู้อะไร ถ้าเป็นแบบนั้นท่านคงจะรู้สึกดีกว่านี้ใช่ไหม” หลังจากหยุกชะงักไปชั่วขณะ เขาก็พูดอีกว่า “แต่หากข้าไม่อยู่ ข้ากลัวว่าท่านจะลืมคำพูดของข้า ข้าจึงต้องไปเพื่อย้ำเตือนท่าน”
เฉินเสียนกอดเขาจากด้านหลังและพึมพำ “ข้าจะลืมได้อย่างไร ข้าจะกราบไหว้ฟ้าดินกับท่านเท่านั้น จะแลกดื่มสุราที่อยู่ในมือกับท่านเท่านั้น จะเข้าเรือนหอกับท่านเท่านั้น ชีวิตนี้ ข้ามีเพียงท่านคนเดียวที่เป็นของข้า”
จู่ ๆ กลางดึก ซูเจ๋อคงจะได้รับลมที่พัดเข้ามาจากภายนอก จึงทำให้เขาไข้ขึ้น ตัวเขาร้อนจนน่าตกใจ และดวงตาของเขาเป็นสีแดงดอกกุหลาบและเลือดเล็กน้อย
เฉินเสียนตกใจมาก และเรียกหมอหลวงทุกคนที่อยู่ในวังหลวงเข้ามา เธอไม่กล้าที่จะหลับลงไป และแทบไม่กล้าจะกะพริบตาแม้แต่นิดเดียว
เธอคอยดูแลอย่างใกล้ชิดที่ข้างเตียง และคอยทำให้ซูเจ๋อตัวเย็นลงจนถึงรุ่งเช้า ก่อนที่อุณหภูมิร่างกายของเขาจะค่อย ๆ ลดลง
เนื่องจากอยู่ด้วยกันมานาน และผ่านเรื่องราวเฉียดตายและอันตรายมาด้วยกัน ความรู็สึกที่เฉินเสียนมีต่อซูเจ๋อไม่ได้ลดน้อยลงตามกาลเวลาที่ผ่านไปเลย แต่กลับเพิ่มขึ้นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน
เธอกลัวมาพอแล้ว เธอไม่สามารถสูญเสียไปได้อีก เพราะฉะนั้นหากซูเจ๋อเป็นอะไรไปแม้เล็กน้อย เธอจึงมักตกใจกลัวและกังวลใจอย่างมาก
ไม่ว่าเหล่าขุนนางจะพูดจากล่าวหาสักกี่ครั้ง สุดท้ายเฉินเสียนก็เฉยเมยต่อคำพูดเหล่านั้น ส่วนเรื่ององค์ชายหกที่อยู่วังหลังกับเธอนั้น ก็เป็นเพียงแค่เครื่องประดับเท่านั้น
ในระหว่างการพักฟื้นของซูเจ๋อ เฉินเสียนมักไปดูอาการของเขาทุกวัน บางครั้งช่วงบ่าย บางครั้งก็ช่วงค่ำ การไปเยี่ยมดูอาการเขาแทบเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ พอ ๆ กับเรื่องในราชสำนัก
หมอหลวงบอกว่า โรคภัยไข้เจ็บมาเหมือนกับภูเขาถล่ม ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แผลเก่ายังไม่หายดี อาการเจ็บป่วยใหม่ก็เข้ามาแทรก จะต้องค่อย ๆ พักฟื้นถึงจะเริ่มกลับมาปกติได้
เป็นเวลานานพอสมควรที่ซูเจ๋ออ่อนแอลง และแตกต่างอย่างมากกับตอนที่เขาอยู่ในสนามรบที่ต้องผ่านความเป็นความตาย
เขาเป็นเหมือนลูกชายผู้สูงศักดิ์ และพาเฉินเสียนเข้าไปในป่าไผ่ ลมในป่าไผ่นั้นเบาหวิว และแสงแดดส่องลงมาบนใบไผ่ที่มีจุดวาววับ เขานั่งอยู่ในป่าไผ่ เขาสวมเสื้อผ้าอย่างประณีต และใบไผ่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น เขาสอนเฉินเสียนให้แกะสลักขลุ่ยไม้ไผ่
เฉินเสียนนำขลุ่ยไม้ไผ่ที่นำติดตัวมาเองออกมา และสลักชื่อตัวเองและซูเจ๋อไว้บนนั้น เธอหันศีรษะไปมองซูเจ๋อที่กำลังดูอย่างตั้งใจ เธอก็ไม่ลังเลเลยสักนิด เอนตัวไปอย่างรวดเร็วแล้วหอมแก้มของเขา
ซูเจ๋อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและยิ้ม และกล่าวว่า “ทำอย่างนี้ไม่ตั้งใจเลย ระวังจะบาดมือเอานะ”
เฉินเสียนแสร้งถือมีดแกะสลักเพื่อแกะสลักอักษรตัวสุดท้าย “เจ๋อ” แต่หูสีแดงเผยให้เห็นอารมณ์ของเธอ
แม้ว่าเฉินเสียนจะยุ่งมากในช่วงเวลานั้นเพื่อดูแลเรื่องราวในราชสำนักต่าง ๆ และยังต้องดูแลอาการป่วยของซูเจ๋อ แม้เฉินเสียนจะยุ่งมาก แต่การได้อยู่ด้วยกันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ลบไม่ออกสำหรับเธอเช่นกัน
ซูเจ๋อรู้ดีว่าเธอรับความกดดันจากราชสำนัก เพื่อออกมาใช้เวลาอิสระกับเขา และคงเพราะติดเชื้อจากเธอ เขาจึงต้องการที่จะยื้อช่วงเวลานี้ไว้
เหล่าขุนนางไม่เพียงแค่พูดจาหว่านล้อมเท่านั้น พวกเขายังเริ่มคิดหาวิธีใหม่
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกความคิดเห็นแปลกประหลาดเช่นนี้ เสนอให้จักรพรรดินีมีสนมชาย
ก็มีเหตุผลอยู่ที่จักรพรรดินีไม่ชอบองค์ชายหกแห่งเย่เหลียง และเป็นไปไม่ได้ที่จะชอบ ตอนนี้เธอก็เอาแต่ไปหาราชครูของเธอ บางทีอาจเป็นเพียงความหลงใหลเพียงชั่วขณะ เพียงแค่มีการแต่งตั้งคนเพิ่มเข้ามาในวังหลังที่เธอพอใจและทำให้เธอลดความสนใจ เธอก็จะไม่มีใจที่จะออกไปนอกวังหลวงได้อีก
เหล่าขุนนางหารือกัน และเห็นว่าเป็นเรื่องที่สามารถจัดการได้
ตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ขององค์จักรพรรดินี วังหลังก็ว่างเปล่า มีเพียงองค์ชายหกเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก ถึงอย่างไรวังหลังก็ต้องมีการเพิ่มคนเข้ามา
ดังนั้นในช่วงเช้าตรู่ บรรดาขุนนางกล่าว “วังหลังไม่เหมาะสมที่จะถูกทิ้งร้างไว้อย่างนั้น ฝ่าบาททรงโปรดแต่งตั้งสนมพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขุนนางยังพูดถึงความรุ่งเรืองของการสืบทอดวงศ์ตระกูลตั้งแต่สมัยโบราณของราชวงศ์ และเฉินเสียนก็นั่งเงียบ ๆ และบรรดาขุนนางก็พูดคุยกันไม่รู้จบ
เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้น และบรรดาขุนนางต่างก็ชินกับการได้เห็นหน้าตาของเธอ และพวกเขาต่างก็ดีใจและคิดว่ามันน่าสนใจ
เฉินเสียนถามออกไป “งั้นตามที่อ้ายชิงทั้งหลายเห็นนั้น มีผู้ใดที่เหมาะสมแล้วหรือไม่?”
เหล่าขุนนางพูดคุยหารือกันอีกครั้งและกล่าวว่า “หม่อมฉันเห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่ฉินหรูเหลียงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์จักรพรรดิมาก่อนหน้านี้ เพียงแค่จำต้องมาเลิกราความเป็นสามีภรรยาไปกับองค์จักรพรรดิในภายหลัง อีกทั้งยังเป็นพ่อแท้ ๆ ขององค์ชายใหญ่ หม่อมฉันเห็นว่าท่านแม่ทัพฉินเหมาะสมที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินหรูเหลียงยืนตัวตรงอยู่ในท้องพระโรงและเป็นหัวหน้านายทหาร เขาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่เขาไม่คิดว่าจะถูกพวกขุนนางอันธพาลเหล่านี้จับเป็นโล่กำบัง และเขาก็ไม่ได้รับการบอกล่วงหน้าสำหรับเรื่องนี้
เฉินเสียนจะคิดยังไง? คิดว่าเขาจงใจยุยงเหล่าขุนนางชั้นสูง?
หลังจากนั้นท้องพระโรงก็มีความเงียบงันอย่างแปลกประหลาด
เฉินเสียนลูบที่จับบัลลังก์มังกรอย่างสบาย ๆ และใช้นิ้วแตะเบา ๆ ราวกับว่ากำลังชั่งน้ำหนักเรื่องอย่างระมัดระวัง
เฉินเสียนกล่าว “เรื่องวังหลังจะมาเกี่ยวข้องกับการปกครองไม่ได้ หากท่านแม่ทัพฉินเข้ามายังวังหลัง อาณาจักรต้าฉู่ของข้าก็ต้องมีท่านแม่ทัพน้อยลงไปหนึ่งคน ใครจะรับผิดชอบดูแลปกป้องสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวง และส่งราชองครักษ์ไปหลายหมื่นคน ใครจะรับผิดชอบ? ใต้เท้าซวี่หรือ? หรือว่าใต้เท้าจ้าวมารับผิดชอบ?”
ขุนนางที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมดถอยหลังกลับ ในปัจจุบัน ราชสำนักมีนายทหารระดับท่านแม่ทัพน้อย และหากไม่มีฉินหรูเหลียง ก็ไม่มีใครมาแทนที่เขาได้จริง ๆ
เฉินเสียนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “อีกอย่าง ใครบอกว่าท่านแม่ทัพฉินเป็นพ่อแท้ ๆ ขององค์ชายใหญ่?”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา คนทั้งท้องพระโรงต่างก็โกลาหล