เฉินเสียนกล่าว “ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในวังหรือนอกวัง ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้ายามเอง ต่อไปให้ท่านกลับไปพักผ่อนแต่เช้า ท่านก็ควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง อย่ามัวแต่จดจ่ออยู่แต่เรื่องงานทหารเลย”
ทว่าการรักษาความปลอดภัยของเธอ กลายเป็นสิ่งที่เขาขาดไม่ได้ในชีวิตอย่างไม่รู้ตัว
ไม่ใช่ถึงคราที่เขาต้องเฝ้าเวรหรอก เขาก็แค่รอให้ตะเกียงในพระตำหนักไท่เหอดับลงแล้วค่อยออกจากวัง
ฉินหรูเหลียงกล่าว “คงได้ยุ่งงานต่อไม่นานแล้ว หากมีเขาคอยปกป้องอยู่ข้างกายท่าน ข้าก็จะหละหลวมได้แล้ว”
แววตาที่เคร่งขรึมของเขาทอประกายแสงเฉียบขาด
เมื่อสายลมพัดผ่านก็นำกลิ่นหอมบุปผาจางๆมาแตะจมูก
ดอกยี่เข่งในลานบ้านกำลังผลิบาน กลีบดอกโปรยปรายลงไหล่ฉินหรูเหลียงเล็กน้อย ทำให้ท่วงท่าเย็นกระด้างของเขาแต่งแต้มความอ่อนโยนหลายส่วน
ฉินหรูเหลียงไม่รู้สึก เฉินเสียนกลับยกมือปัดกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยมาอยู่บนบ่าของเขา คล้ายกับเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว กล่าวว่า “ดอกไม้นี้งามหยาดเยิ้มเกินไป ไม่พอกับท่านแม่ทัพ”
ฉินหรูเหลียงชะงัก กล่าวว่า “กระหม่อมส่งฝ่าบาทวังหลังพ่ะย่ะค่ะ”
บัดนี้เย่ซวิ่นกำลังรออยู่ในห้องบรรทมที่วังหลัง มีฉินหรูเหลียงคุ้มกันเฉินเสียนด้วยตัวเอง อวี้เยี่ยนที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็วางใจลง
แสงเปลวไฟในห้องบรรทมสว่างไสว ด้านหน้าประตูมีทาสรับใช้จากเย่เหลียงสองนาย ฉินหรูเหลียง ฉินหรูเหลียงก็รออยู่ในวังหลังพร้อมกับเหล่านางกำนัล
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ข้าอยู่ด้านนอก มีอันใดก็เรียกข้าได้ตลอดเวลา”
ไม่รอให้เฉินเสียนตอบ ด้านในก็มีเสียงขี้คร้านของเย่ซวิ่นแว่วออกมา “จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ พระองค์กำลังระวังตัวจากข้ากับโจรหรือ? เอิกเกริกเช่นนี้ เกรงว่าข้าจะกินพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนยกเท้าเดินเข้าไป เย่ซวิ่นก็ปิดหน้าต่าง พลางรูดม่านหน้าต่างลง จากนั้นก็หันมาทางโต๊ะเอกสารราชการ จ้องมองเธอด้วยอารมณ์สุนทรีย์
ค่ำคืนนี้เขาสวมอาภรณ์ชิ้นเดียว ทั้งยังเผยรูปกายกว่าครึ่ง สามารถมองเห็นความล่ำสันของผิวพรรณได้อย่างเลือนราง เส้นผมดกดำระอยู่บนบ่าเสื้อ ความใสซื่อในแววตาจางหาย ทิ้งไว้แต่เพียงเสน่ห์ที่เฉิดฉายอยู่บนใบหน้า
“ท่านกำลังยั่วสวาทข้า?” เฉินเสียนกล่าว “เสียดายข้าไม่สนใจบุรุษเพศ” แน่นอน ยกเว้นซูเจ๋อ
“งั้นซูเจ๋อถือเป็นบุรุษเพศหรือไม่?” เย่ซวิ่นเดินเข้าใกล้เธอทีละก้าว เผยรอยยิ้มเต็มหน้า “เขาเคยใช้ความงามยั่วเย้าฝ่าบาทเช่นข้าหรือไม่?”
เฉินเสียนจ้องมองเขาด้วยใบหน้าเย็นเยียบ กล่าวเย้ยหยัน “ความงามของท่าน คู่ควรเทียบกับเขาแล้วหรือ?”
“ฮ่าๆ? ข้าเห็นความรังเกียจเดียดฉันท์ในแววตาของฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ชอบให้บุรุษยั่ว? ฝ่าบาทยังไม่เคยลิ้มลอง ไม่แน่หากได้สัมผัสเมื่อใด คงจะเลิกรังเกียจแน่แท้ รสชาติแตกต่างจากซูเจ๋อยิ่ง ฝ่าบาทจดจ่ออยู่แต่รสชาตินั้น ไม่หน่ายหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าว “หากท่านแสดงท่าทีปกติเฉกเช่นสองปีก่อน ไม่แน่ว่าข้าอาจไม่รังเกียจท่าน”
“ฝ่าบาทรู้ได้อย่างไรเล่า ข้าในสองปีก่อนกับข้าในปัจจุบัน อย่างไหนคือตัวตนที่แท้จริงของข้า”
“ข้าไม่สนความพิสดารของท่าน” เฉินเสียนหย่อนกายนั่งลงข้างโต๊ะ แล้วดีดนิ้วบนโต๊ะ พลางกล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา “อย่าเสียเวลา ข้ายังต้องกลับไปสะสางราชกิจต่อ ไม่ใช่จะคุยเรื่องสองเมืองกับข้าหรอกหรือ?”
เย่ซวิ่นก็ทิ้งกายนั่ง รินน้ำชาให้เฉินเสียนกับมือ เพียงแต่ถ้วยชาที่วางอยู่ด้านข้างเธอ เธอไม่คิดจะแตะต้อง
เย่ซวิ่นกล่าวแย้มยิ้ม “หากไม่คุยเรื่องสองเมือง คาดว่าฝ่าบาทคงไม่เสด็จมากระมัง เดิมทีเย่เหลียงให้ข้าเอ่ยถึงเรื่องคำมั่นสัญญาที่กล่าวว่า จะมอบเมืองของต้าฉู่ให้เย่เหลียงสองเมืองทันทีที่ข้าเดินทางมาถึงพระราชวังต้าฉู่”
เขาจิบชาหนึ่งคำ “คำนวณเวลาแล้ว ไม่ช้าขอเรียกร้องของเย่เหลียงคงส่งมาถึงเมืองหลวงของต้าฉู่แน่ ถึงเวลาเกรงว่าราชสำนักที่ยังไม่มั่นคง คงต้องโกลาหลเป็นแน่”
เย่ซวิ่นมองเธอแวบหนึ่ง กล่าวต่อว่า “ซูเจ๋อเป็นผู้ร่างสัญญาฉบับนี้ หากให้เหล่าขุนนางรับรู้ว่าซูเจ๋อให้คำมั่นสัญญากับเย่เหลียงไว้เช่นนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือเยี่ยงใด? หากเบาหน่อยก็แค่ตำหนิติเตียนซูเจ๋อที่ทำให้ผืนแผ่นดินต้าฉู่สูญสิ้น ทำให้แว่นแคว้นเสียผลประโยชน์ ซึ่งไม่ได้ผู้เป็นขุนนางควรกระทำ หากรุนแรงหน่อยก็จะตราหน้าเขาว่าคิดคดทรยศชาติ ไม่ว่าอย่างไรเสีย ชื่อเสียงและศักดินาของเขาก็จะป่นปี้อย่างย่อยยับ กลายเป็นผู้ที่ถูกปวงชนต้าฉู่ด่าทอ”
จากนั้นเย่ซวิ่นกล่าวต่อไปทีละถ้อยคำ สีหน้าเฉินเสียนพลันแปรเปลี่ยนจนดูไม่ได้
“ก่อนหน้านี้เขาวางแผนการใหญ่เพื่อฝ่าบาท เหล่าขุนนางล้วนรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ เพลานี้บรรลุเป้าหมายแล้ว เหล่าขุนนางก็เริ่มคลางแคลงใจ หวาดระแวงไปทั่ว กลัวจะถูกช่วงชิงชัยชนะ มนุษย์ก็อย่างนี้แหละ ล้วนเห็นแก่ตัว ปากพร่ำแต่ว่าทำเพื่อต้าฉู่ อันที่จริงแล้วล้วนทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น”
บรรดาขุนนางน้อยใหญ่รู้ว่าซูเจ๋อเป็นผู้นำพาชัยชนะนี้มา และกลัวว่าความสามารถของเขาจะนำชัยชนะนี้ไป ขุนนางผู้มีผลงาน ถึงจะโดดเด่นเพียงใด สุดท้ายก็ยังเป็นขุนนางอยู่ดี
เฉินเสียนเข้าใจหลักการนี้ดี ขุนนางเก่าแก่ที่ปีนไต่มาถึงทุกวันนี้ ย่อมรู้ดีกว่าเธอเป็นไหนๆ เพียงแต่เธอไม่เคยมองซูเจ๋อเป็นขุนนางของเธอมาก่อน
วิธีการกอบโกยผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่ง เธอไม่มีทางใช้กับซูเจ๋อแน่นอน
เฉินเสียนกล่าว “พูดตรงๆเลย ท่านคิดจะทำกระไร”
เย่ซวิ่นนั่งพิงพนักอยู่บนเก้าอี้ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “กลิ่นหอมของบุปผาในยามราตรีคิมหันต์ฤดูช่างน่าหลงใหลนัก”
เฉินเสียนก็ได้กลิ่นหอมด้วยเช่นกัน ทว่าดมไม่ออกว่าเป็นบุปผาชนิดใด
ได้ยินเย่ซวิ่นกล่าวอีกว่า “ข้าเปลี่ยนใจกะทันหันแล้ว เย่เหลียงไม่เอาสองเมือง สัญญาที่ซูเจ๋อร่างไว้กับเย่เหลียงก็ถือเป็นโมฆะได้”
เฉินเสียนชำเลืองมองเขา แววตาของเขาส่องประกายราวกับใยไหม และยังเหมือนพิษงู กำลังกลืนกินความทะเยอทะยานในก้นบึ้งดวงตาของเขา
ทันใดนั้นเฉินเสียนรู้สึกร้อนโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งความร้อนนี้แผ่ขยายไปทั่วร่างกายของเธอ ประหนึ่งแหจับปลาที่เข้าใกล้อย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็คิดจะหว่านใส่ตัวเธอ มันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดที่สุด
เฉินเสียนกล่าวเสียงเคร่งขรึม “เงื่อนไขคืออะไร”
ทันใดนั้นเย่ซวิ่นก็ลุกขึ้น ด้วยการขยับตัวของเขา จึงพากลิ่นหอมกรุ่นมาจู่โจมสมองของเฉินเสียนอย่างฉับพลัน
เย่ซวิ่นหลุบตาลง มองเธอด้วยแววตาลุ่มลึก พลางกระซิบว่า “ข้าใช้สองเมืองแลกกับการนอนกับท่านหนึ่งคืน เป็นอย่างไร?”
เฉินเสียนสะเทือนจิตใจ ปั้นรอยยิ้มเย็น “ให้ข้านอนกับท่าน ไม่รู้สึกว่าสิ่งแลกเปลี่ยนนี้ขาดทุนหรอกหรือ?”
“เกี่ยวข้องกับบุรุษในดวงใจของฝ่าบาท ข้าต้องลงทุนบ้าง” เย่ซวิ่นเป่าลมหายใจได้หอมละมุน ชวนให้เคลิบเคลิ้มยิ่ง “ทำไม คืนนี้พักอยู่ที่นี่ ฝ่าบาทก็จะรักษาชื่อเสียงของเขาไว้ได้”
เป็นครั้งแรกที่เย่ซวิ่นเข้าใกล้เธอมากขนาดนี้ มองเห็นหางตาสีแดงฉานของเธอประดุจดอกบ๊วยตูมที่ใกล้จะผลิดอกต่อหน้าเขา
ทั้งๆที่สตรีตรงหน้าไม่ได้ประทินผิวแต่อย่างใด และไม่ได้อ่อนโยนดั่งหญิงงามพิสุทธิ์ ไม่ได้ตกแต่งเครื่องประดับบนศีรษะ ตามเนื้อผ้าก็ไม่มีเครื่อง อากัปกิริยาก็ไม่ได้สง่างามดุจเทพธิดา ทว่าเรือนร่างเธอยังคงหอมกรุ่น และความเฉยเมยเหินห่างที่ทะลักออกจากกระดูกเป็นความงดงาม ทำให้เย่ซวิ่นยิ่งไม่ได้ครอบครอง ยิ่งอยากไขว่คว้ามากขึ้น
เมื่อก่อนทุกอย่างที่เขาปรารถนาล้วนได้มาเชยชมหมดสิ้น