เย่ซวิ่นเป็นคนมีเป้าหมายหนักแน่นและเขาก็มีสติดี เขาไม่ได้ล้อเล่นกับเฉินเสียน เขาอยากได้สตรีตรงหน้าจริงๆ แม้นจะรู้ว่าหัวใจเธอมีบุรุษอื่น แม้นจะรู้ว่าเธอมีลูกกับคนอื่นแล้วก็ตาม
องค์ชายหกที่ต่อสู้กับเธอท่ามกลางหิมะสองปีก่อน สุดท้ายแล้วก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งไม่ใช่หรือ?
ในสายตาเธอเมื่อก่อน บุรุษตรงหน้าว่าคือผู้ที่ไม่รู้จักโต ณ ขณะนี้เธอพบว่ารู้สึกเช่นนั้นกับเขาผิดเพี้ยนไป
ร่างกายเขาแผ่รังสีของบุรุษเพศและความดื้อรั้น ทะเยอทะยาน ซึ่งหาได้เป็นคุณสมบัติที่บุรุษทั่วไปมีไม่
ซูเจ๋อเคยเตือนเธอก่อนหน้านี้ว่า เย่ซวิ่นไม่ได้ใสซื่อเฉกเช่นที่เห็น
เย่ซวิ่นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เหมือนเขาสามารถมองทะลุปรุโปร่งความคิดเธอ พ่นลมหายใจกล่าวข้างหูเธอ “ฝ่าบาทมองกระหม่อมเยี่ยงนี้ ข้าคงทนไม่ไหว ฝ่าบาทกำลังคิดว่าข้าเด็กเกินไป ไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่ ความจริงแล้วปีนี้ข้าย่างเข้ายี่สิบสี่ปีแล้ว แค่ดูหน้าเด็กไปหน่อย หากฝ่าบาทไม่เชื่อก็ลองดูได้ว่าข้าคือบุรุษหรือเด็กชายกันแน่”
เย่ซวิ่นเข้ามาใกล้ทีละนิด สองมือจับบนเก้าอี้ที่เฉินเสียนนั่ง เมื่อครั้งใกล้จะมาชิดริมฝีปากเธอ เขาก็ต้องกลืนน้ำลายเพราะได้สัมผัสลมหายใจของเธอ
ชั่วพริบตานั้น เฉินเสียนหรี่ตาพลันยกเท้าจู่โจม เย่ซวิ่นยิ้ม กระโดดถอยหลังอย่างคาดใจถูก ซึ่งการพลาดเป้าครั้งนี้ เย่ซวิ่นมัวแต่ป้องกันท่อนล่าง สองมือก็ยังวางอยู่บนเก้าอี้ เฉินเสียนเบี่ยงเบนความระวังตัวของเขาได้สำเร็จก็รีบยกมือจู่โจมอีกครั้ง
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็เอามือบีบคอเย่ซวิ่นจนได้ ซึ่งเรี่ยวแรงที่ใช้มหาศาลเสียจนเย่ซวิ่นต้องตกตะลึงพรึงเพริด เธอประหนึ่งหม่าป่าเพศเมีย เมื่อกระโจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ แค่พลิกกายก็กดศีรษะของเย่ซวิ่นไว้บนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหมเสียแล้ว
เย่ซวิ่นไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ผมยาวของเขาทิ้งตัวลงมาฟาดอยู่บนโต๊ะ โครงหน้าที่ประณีตอันทรงเสน่ห์ดุจดั่งปีศาจมาร
เขารับรู้ได้ถึงการหายใจรัวแรงของเฉินเสียน อ้าปากหัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า “ฝ่าบาทดูสิ พระองค์ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกับข้าแล้วไม่ใช่หรือ?”
“มีปฏิกิริยาตอบสนองกับท่าน?” เฉินเสียนถลึงตามองเขา เธอยกกาน้ำชาขึ้นมาสาดใส่ใบหน้าเย่ซวิ่น เปล่งถ้อยคำอย่างแผ่วเบา “อย่าว่าแต่สองเมืองเลย ถึงแม้ท่านเอาทั้งเย่เหลียงมาแลก ข้าก็ไม่สนใจในตัวท่าน”
เย่ซวิ่นโกรธจัด ใบหน้าเต็มไปด้วยกากน้ำชา สำลักน้ำชาไปพลาง กล่าวไปพลาง “ผลประโยชน์มหาศาลกองอยู่ตรงหน้า ฝ่าบาทกลับไม่สะทกสะท้าน ฝ่าบาทเป็นจักรพรรดินี ทว่ามีแต่ผู้ชายเต็มสมอง ฝ่าบาทไม่ควรทำเพื่อดินแดนของต้าฉู่หรอกหรือ?”
เฉินเสียนหัวเราะ ยกคิ้วกล่าวว่า “เรื่องแว่นแคว้นของต้าฉู่ ข้าต้องหวังให้ท่านมาคิดแทนหรือ?”
สิ้นเสียง เธอก็เขวี้ยงกาน้ำชาลงพื้นสุดแรงเหวี่ยง จากนั้นกาน้ำชาก็แตกสลายเป็นชิ้นเล็กๆ
ฉินหรูเหลียงที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงก็รีบทุบประตูพุ่งทะยานเข้ามา
เฉินเสียนหายใจหอบเหนื่อย ปล่อยตัวเย่ซวิ่น ค่อยๆลุกขึ้นยืน พลางปัดกากน้ำชาออกราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หันกายเดินไปยังต้นตอกลิ่นหอม
กลิ่นหอมจากบุปผาบ้าบออะไรกัน!
เธอแหวกม่านหน้าต่างออกด้วยท่าทางหยาบกระด้าง ดังคาด เจอธูปครึ่งดอกที่ยังจุดไฟไม่หมดในกระถางธูปจริงๆ
เฉินเสียนถือกระถางธูปมา ถามเย่ซวิ่นว่า “อันนี้คือสิ่งใด?”
เย่ซวิ่นหัวเราะด้วยสภาพมอมแมม กล่าวว่า “อันนี้หรือกลิ่นหอมสูตรลับในวังเย่เหลียง กลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายของมันน่าหลงใหลใช่หรือไม่?”
เฉินเสียนลองดูหลายครา ความหอมอบอวลเข้าสู่จมูก ทำให้รู้สึกภายในร่างกายกระสับกระส่ายประหนึ่งเส้นไหมที่ค่อยๆถักทอเป็นผ้าไหมทอ
เย่ซวิ่นเห็นสภาพของเธอ กล่าวต่อว่า “อย่าใจร้อน ถึงแม้กลิ่นหอมนี้จะอ่อนโยน แต่ก็เหมือนเหล้าสับปะรดของเย่เหลียง อานุภาพของมันอยู่ตอนหลัง เหมาะกับสตรีที่เย็นชาอย่างฝ่าบาทเป็นพิเศษ”
เฉินเสียนวางกระถางธูปไว้บนโต๊ะเสียงดัง จากนั้นก็สั่งการฉินหรูเหลียง “มัดเขาไว้ที่โต๊ะ”
เย่ซวิ่นหน้าเปลี่ยนสี ฉินหรูเหลียงยกเท้าเข้ามาอย่างไร้สีหน้า เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉินหรูเหลียงได้อย่างไร ไม่นานก็ถูกมัดติดอยู่กับโต๊ะเสียแล้ว
เฉินเสียนย้ายกระถางธูปมาใกล้ใบหน้าของเขา กล่าวว่า “อานุภาพรุนแรงมากใช่ไหม งั้นท่านก็ค่อยๆเสพสุขแล้วกัน”
เย่ซวิ่นชักดิ้นชักงอ ยิ่งดิ้นเงื่อนมัดก็ยิ่งแน่น เขาขบฟันก่นด่าว่า “เฉินเสียน ท่านมันสตรีวิปลาส ข้าพูดเกลี้ยกล่อมดีๆท่านไม่ฟัง ข้าใช้ผลประโยชน์เข้าแลกแต่ท่านก็ไม่รับ ท่านต้องการทำอย่างไรกันแน่?”
เฉินเสียนไม่แม้แต่หันไปมอง กล่าวว่า “ข้าไม่ใช่คนทารุณ แต่ท่านดันมาแกว่งเท้าหาเสี้ยน ท่านรนหาที่ตายเอง” เธอสั่งให้ข้าราชบริพารจากเย่เหลียงถอยไป คืนนี้ให้องครักษ์เฝ้าแทน ห้ามผู้ใดเยื้องย่างเข้ามาห้องบรรทมนี้เด็ดขาด ปล่อยให้เย่ซวิ่นรับกรรมที่ตนก่อเสีย
เย่ซวิ่นหน้าแดงฉาน กล่าวว่า “งั้นท่านก็ค่อยดูซูเจ๋อเสื่อมเสียชื่อเสียงได้เลย เขาจะถูกท่านทำลายในชั่วพริบตา”
เฉินเสียนเดินมาถึงหน้าประตูก็หยุด กล่าวเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “สิ่งที่เขาเป็นในวันนี้ ไม่ได้รับการส่งเสริมจากผู้ใด แน่นอน ไม่มีใครทำลายเขาได้ หากท่านคิดจะใช้สิ่งนี้ข่มขู่ข้า ข้าก็ไม่ได้ปวดเศียรเวียนเกล้าขนาดนั้น”
เฉินเสียนเดินออกจากพระตำหนักฉีเล่ออย่างมีสติ ด้านหลังมีนางกำนัลคอยติดตามกลุ่มหนึ่ง เธอหันหน้ากลับไปมองฉินหรูเหลียง ใบหน้าของเธอที่อยู่ใต้แสงเทียนงดงามเพิ่มขึ้นหลายส่วน สันจมูกมีเหงื่อซึมเล็กน้อย
ฉินหรูเหลียงขมวดคิ้วแน่นเป็นปม กล่าวเสียงเคร่งขรึม “เสด็จกลับพระตำหนักไท่เหอก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเชิญหมอหลวงมาเอง”
เขาเพิ่งทำท่าเตรียมจะไป เฉินเสียนพลันยกมือดึงแขนเสื้อเขา เธอหรี่ตาด้วยลมหายใจรุ่มร้อน กล่าวด้วยความขบขัน “ข้าไม่อยากให้หมอหลวงดูอาการ ท่านพาข้าออกจากวังได้หรือไม่?”
อวี้เยี่ยนก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล ถามว่า “ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือเพคะ ทรงพระประชวรหรือไม่เพคะ?” นางหันไปสั่งให้นางกำนัลไปเชิญหมอหลวงโดยด่วน
เฉินเสียนยกมือห้ามไว้ กล่าวทอดถอนใจว่า “ไม่ต้อง ข้าจะออกนอกวัง” กลางวันมีขุนนางชั้นสูงคอยขัดขวาง ซึ่งเธอกับขุนนางเก่าโต้แย้งดุเดือดเผ็ดร้อนมาก จึงไม่ได้ไปหาซูเจ๋อหลายวันแล้ว
พวกขุนนางเจาะจงมาที่เธอก็ยังพอว่า เธอกลัวก็แต่จะพลอยทำให้ซูเจ๋อเดือดร้อนไปด้วย ขอเพียงเขาได้รักษาตัวอยู่ในจวนดีๆ เธอก็สบายใจแล้ว
เพียงแต่ตอนนี้เธอคิดถึงเขามากกะทันหัน
ฉินหรูเหลียงเดินมาสองก้าวก็เดินมาถึง เขาโน้มตัวอุ้มเธอขึ้นมาโดยไม่กล่าวสิ่งใด เฉินเสียนรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนติ้ว ทัศนวิสัยพร่าเลือน
ฉินหรูเหลียงอุ้มเธอเดินไปเบื้องหน้า นางกำนัลด้านหลังไม่รู้ว่าควรเรียกให้หยุดหรือติดตามไปดี
มีเพียงอวี้เยี่ยนกล้าส่งเสียง “เรียนถามท่านแม่ทัพว่าจะพาฝ่าบาทไปไหนเจ้าคะ?”
ฉินหรูเหลียงก้มหน้ามองเฉินเสียนในอ้อมแขน กล่าวว่า “พระองค์จะออกจากวังไม่ใช่หรือ ข้าจะพาพระองค์ไปเอง”
เฉินเสียนยกมือโบกให้อวี้เยี่ยน กล่าวว่า “พวกเจ้ากลับไปเถอะ ข้าจะออกจากวังเสียหน่อย”
ฉินหรูเหลียงเหาะเหินผ่านกระเบื้องเคลือบ จากนั้นก็เห็นเหาะเหินอยู่ใต้ดวงจันทร์ ชั่วพริบตาต่อมาก็หายลับไป
ลมยามรัตติกาลพัดผ่านทำให้เฉินเสียนสดชื่นขึ้นมาบ้าง เธอซุกอยู่ในแผ่นอกของฉินหรูเหลียงคล้ายมีสติไม่มีสติ
ประตูวังอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ฉินหรูเหลียงกล่าว “เฉินเสียน ท่านยังไหวหรือไม่?”
เฉินเสียนยกมุมปากขึ้น กล่าวอย่างขี้คร้าน “แค่ดมไปเล็กน้อย ไม่ได้สูดยาพิษเข้าร่างเสียหน่อย ข้าไม่เป็นอะไร”
ทว่าฉินหรูเหลียงกลับไม่รู้สึกเช่นที่เธอบอกกล่าว ร่างกายเธอหดแข็ง มือของฉินหรูเหลียงที่กำลังอุ้มเธออยู่ร้อนระอุจนเหงื่อซึม