ความระบมพึ่งจะทุเลาลงแท้ๆ จะเริ่มใหม่อีกแล้วหรือ ความปวดระบมร้าวเข้ากระดูก เฉินเสียนหายใจไม่สม่ำเสมอ จ้องมองซูเจ๋ออย่างแผ่วเบา ซูเจ๋อสอดลึกเข้าไปจนมิด เธอสูดลมหายใจเข้าลึก กัดกรามแน่น พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่าน……หมกมุ่นเกินไปแล้ว……”
“ท่านกับข้าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันหรอกหรือ อาจจะไม่เหมือนกันกระมัง”
ซูเจ๋อไม่ได้ขยับใดๆ เขาเพียงแค่กอดเธอไว้แบบนี้ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ให้ข้าได้สัมผัสท่านเช่นนี้ ก็พอแล้ว”
แต่เมื่อร่างกายของเฉินเสียนปรับตัวได้แล้ว ดวงตาของเธอก็เริ่มพร่ามัว ใบหน้าแดงก่ำ และถึงแม้ซูเจ๋อจะไม่ได้ขยับ แต่ร่างกายของเธอกลับบีบกระชับรัดแน่นขึ้นมา รู้สึกสุขจนแทบจะเอ่อล้มออกมาก็ไม่ปาน
เธอบีบรัดแน่นจนซูเจ๋อนั้นแข็งตัวและร้อนระอุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุด เวลาผ่านไปทั้งบ่ายแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ลุกจากเตียงมาเลย
ที่น่าแปลกก็คือ กลางวันของวันนี้ทั้งเธอและเขาไม่ได้ออกมาจากห้อง แต่กลับไม่มีใครเข้ามารบกวนพวกเขาเลย
ซูเซี่ยนตื่นมาแต่เช้า ภายใต้การดูแลของบ่าวรับใช้ เขาได้ล้างหน้าเอง ทานอาหารเช้าเอง หลังจากนั้นเขาก็ไปฝึกเขียนตำราที่ห้องตำราของซูเจ๋อ
หนังสือที่อยู่ในห้องตำราของซูเจ๋อ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่อยากดูอะไรก็สามารถเอาออกมาดูได้ การที่ไม่มีข้อห้ามและข้อจำกัด ก็รู้สึกอิสระไม่น้อย
ซูเซี่ยนไม่ได้ไปรบกวนเฉินเสียนและซูเจ๋อ และไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวนพวกเขาด้วย เขาพูดขึ้นว่า : “ตอนอยู่ในวังท่านแม่ของข้าเหน็ดเหนื่อยมาก กว่าจะได้เข้านอนก็ดึกมากแล้ว วันนี้ก็ให้ท่านแม่ของข้าได้นอนพักมากๆ หน่อยก็แล้วกัน”
เขาเองคงไม่รู้ ว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานี้ ท่านแม่ของเขานั้นนอนดึกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ในขณะที่ซูเซี่ยนกำลังรับประทานอาหารเที่ยงด้วยตัวคนเดียวอยู่นั้น เขาเองได้พูดกับพ่อบ้านว่า : “ท่านลุงพ่อบ้าน เอาอาหารเหล่านี้ไปอุ่นใหม่ รอพวกเขาตื่นแล้วจะได้ทาน”
พ่อบ้านรู้สึกรักและเอ็นดูเด็กคนนี้มากขึ้นเข้าไปใหญ่ เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านชายน้อยทานเถอะขอรับ อาหารส่วนขององค์จักรพรรดินี บ่าวได้เก็บไว้เรียบร้อยแล้ว”
บ่ายคล้อย เฉินเสียนอาบน้ำใหม่อีกครั้ง เมื่อสวมชุดเรียบร้อยแล้ว เธอก็ประคองเอวของตัวเองเดินออกจากหอนอนไป
ซูเจ๋อถอดผ้าปูเดิมออกและเปลี่ยนผืนใหม่อยู่ในหอนอน
ซูเซี่ยนทานอาหารอิ่มแล้ว ก็ไปอาบแดดที่ลานสวน ลมแห่งสารทฤดูชื่นใจเป็นที่สุด ทั้งเย็นและสบาย
ซูเซี่ยนเห็นสภาพของเฉินเสียนแล้ว ก็รีบถามขึ้นว่า : “ท่านแม่ เอวของท่านเป็นอะไรไปหรือ?”
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “……เอวเคล็ด”
ซูเซี่ยนหรี่ตาลง สีหน้าและแววตาเหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด เขาพูดขึ้นว่า : “เตียงของท่านพ่อไม่ได้กว้างเหมือนที่พระตำหนักไท่เหอ แล้วนอนอย่างไรเอวของท่านแม่ถึงเคล็ดได้ ท่านแม่นอนไม่เรียบร้อย ท่านพ่อไม่ดูแลบ้างเลยหรือ”
เฉินเสียนกระตุกมุมปากเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เรื่องของผู้ใหญ่ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าพูดมาก”
เมื่อทานมื้อเที่ยงเสร็จ เฉินเสียนยังคงรู้สึกเหนื่อยล้า เธอจึงเอนตัวนอนลงบนเก้าอี้พักผ่อนอยู่ที่ลานสวน ซูเจ๋อกำลังสอนหนังสือให้กับซูเซี่ยนอยู่ในห้องตำรา เฉินเสียนหรี่ตาลง ฟังเสียงคุยกันของสองพ่อลูก แล้วจึงผล็อยหลับไป
ยามพลบค่ำ ดวงอาทิตย์ทอแสงสีแดงทองสาดส่องไปทั่วลานสวนแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ
เวลาผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งวัน เฉินเสียนก็ได้กลับไปยังพระราชวัง และเริ่มยุ่งกับภาระหน้าที่การงานอีกครั้ง
เหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างพาเงียบปากไม่เอ่ยถึงเรื่องเฉินเสียนกับซูเจ๋อ ได้แต่ทูลอ้อมๆ ว่าองค์ชายควรจะถูกอบรมสอนสั่งอยู่ในพระราชวัง ไม่ควรออกเที่ยวเล่นอยู่นอกพระราชวังเช่นนี้
เฉินเสียนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า : “งั้น ให้ท่านบัณฑิตเข้าวังมาสอนตำราให้องค์ชายอีกครั้ง?”
บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่จึงรีบพูดปฏิเสธขึ้นว่า : “มิได้พ่ะย่ะค่ะ! ร่างกายของท่านบัณฑิตไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก ควรจะพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนดีที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นาน ราชทูตของอาณาจักรเย่เหลียงก็ได้เดินทางเข้ามาถึงเมืองหลวง เฉินเสียนได้เตรียมต้อนรับเป็นอย่างดี กับสถานการณ์ล่าสุดนี้ที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อซูเจ๋อเท่าไหร่นัก
เย่ซวิ่นเองก็ได้ออกไปรับเหล่าราชทูตพร้อมกับเฉินเสียนด้วย เมื่อเหล่าราชทูตเห็นองค์ชายหกสบายดี ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ราชทูตได้ทูลความประสงค์กับองค์จักรพรรดินีต่อหน้าเหล่าขุนนางรวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารและเหล่าบรรดาราษฎร
ตอนนั้น อาณาจักรต้าฉู่ได้ลงนามสนธิสัญญากับอาณาจักรเย่เหลียง ว่าหากความขัดแย้งและความโกลาหลวุ่นวายของอาณาจักรต้าฉู่สิ้นสุดลงแล้ว จะยอมยกสองเมืองให้กับทางอาณาจักรเย่เหลียง
เหล่าบรรดาขุนนางและเจ้าหน้าที่ทหารรวมถึงเหล่าบรรดาราษฎรก็เริ่มโกลาหลขึ้นมาทันที พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าอาณาจักรต้าฉู่เคยทำสัญญาเช่นนี้กับทางอาณาจักรเย่เหลียงมาก่อน
เฉินเสียนและซูเจ๋อได้ลงนามหนังสือสนธิสัญญาในตอนที่ทั้งคู่เดินทางไปเจรจาสันติภาพเมื่อครั้งก่อน ซูเจ๋อได้รับปากกับทางอาณาจักรเย่เหลียงว่าหากทางอาณาจักรต้าฉู่สงบลงแล้ว จะยอมยกสองเมืองให้กับทางอาณาจักรเย่เหลียง ลงนามชัดเจนบนกระดาษขาว พร้อมกับประทับตราด้วยตราประทับของอาณาจักรเย่เหลียง ชนิดที่ไม่สามารถดิ้นหลุดเลย
เหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักทั้งตกใจและฉุนเฉียวไปตามๆ กัน คลื่นลูกเก่าพึ่งจะสงบลงไป คลื่นลูกใหม่ก็ซัดเข้าซ้ำอีก เหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักถกเถียงขึ้นมาทันที : “ใต้เท้าซูมีฐานะอะไร มีสิทธิ์อะไรไปลงนามกับทางอาณาจักรเย่เหลียงกัน บังอาจลงนามแทนฝ่าบาท! บังอาจหลอกลวงและปิดบังทางราชสำนักและเหล่าบรรดาราษฎร การเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับทางอาณาจักรเย่เหลียงเยี่ยงนี้ มันแตกต่างอะไรกับการขายบ้านขายเมืองกัน!”
“เดิมทีกระหม่อมคิดว่าใต้เท้าซูมีความสามารถและมีกลยุทธ์ที่สูงส่งยอดเยี่ยมเหนือผู้อื่น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะใช้วิธีน่าอายเช่นนี้ในการเจรจาสงบศึก! แผ่นดินของทางอาณาจักรต้าฉู่ตกอยู่ภายใต้การตัดสินใจของเขาคนเดียวได้อย่างไรกัน อยากจะยกส่วนไหนให้ใครก็ยกให้ตามอำเภอใจเช่นนี้หรือ?”
“ในตอนแรกจักรพรรดิองค์ก่อนก็ได้ให้สามคูเมืองกับเขาเพื่อนำไปเจรจาสงบศึกแล้ว แต่เขากลับเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ยอมยกเมืองถึงสองเมืองให้กับทางอาณาจักรเย่เหลียงอย่างลับๆ เขาเป็นคนที่ทรยศต่อราชอาณาจักรต้าฉู่ ทรยศต่อความไว้วางใจของเหล่าบรรดาราษฎรทั้งเมืองอย่างไร้ซึ่งความละอายใจ!”
“ฝ่าบาท! โปรดทรงมีพระบัญชา จะทรงปล่อยเขาเหิมเกริมแบบนี้ต่อไปไม่ได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนจ้องมองเหล่าบรรดาขุนนางที่พากันโกรธแค้นซูเจ๋อด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ ครั้งนี้เธอไม่ได้อาละวาด โกรธเคืองคนเหล่านี้ไปก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างใด
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “หนังสือสนธิสัญญาได้ลงนามเสร็จสิ้นสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกท่านจะให้ข้าบ่ายเบี่ยงเมินต่อสัญญาหรืออย่างไร?”
หากทางอาณาจักรต้าฉู่ปฏิเสธหนังสือสนธิสัญญาฉบับนี้ไป อาณาจักรเย่เหลียงจะต้องตีแผ่สนธิสัญญาฉบับนี้สู่สาธารณชน ถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะรู้เรื่องที่ซูเจ๋อได้ลงนามสนธิสัญญากับทางอาณาจักรเย่เหลียงกันถ้วนหน้า ตอนนั้นชื่อเสียงเรียงนามของเขาจะต้องเสื่อมเสียพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน
เฉินเสียนไม่อาจจะปฏิเสธได้ และตั้งแต่ที่เธอได้ลงนามไป เธอก็ไม่ได้คิดจะหนีหรือบ่ายเบี่ยงแต่อย่างใด
เหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างพากันคุกเข่าวิงวอน : “นั่นเป็นหนังสือสนธิสัญญาที่ใต้เท้าซูลงนามกับทางอาณาจักรเย่เหลียงโดยลำพังเป็นการส่วนตัว ฝ่าบาทจะทรงยอมรับเงื่อนไขข้อนี้ไม่ได้เป็นอันขาด! วอนฝ่าบาททรงรับสั่งคาดโทษซูเจ๋อ ที่บังอาจลบหลู่เกียรติองค์จักรพรรดินี! เป็นบุคคลทรยศแผ่นดินของราชอาณาจักรต้าฉู่ ไม่ควรได้รับการเคารพยกย่องจากเหล่าประชาทั่วหล้า ให้เหล่าบรรดาราษฎรได้เห็นถึงใบหน้าที่แท้จริงของเขาและรับรู้ทุกสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “อ้ายชิงทั้งหลายจงอย่าได้ลืมว่าการไปเจรจาสันติภาพที่อาณาจักรเย่เหลียงครั้งนั้นไม่ได้มีแค่ซูเจ๋อเพียงคนเดียวเท่านั้น ยังมีข้าที่ร่วมเดินทางด้วย ตอนที่องค์จักรพรรดิเย่เหลียงให้ลงนามในสนธิสัญญา ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นข้ามียศเป็นเพียงองค์หญิงจิ้งเสียน ไม่ใช่จักรพรรดินีอย่างเช่นตอนนี้ เพราะฉะนั้นซูเจ๋อคนที่ปรนนิบัติรับใช้และดูแลข้า จึงเป็นคนทำหน้าที่แทนข้าทั้งหมดโดยปริยาย และบัดนี้ อาณาจักรเย่เหลียงได้กลับมาทวงสัญญา อ้ายชิงทั้งหลายต้องการจะให้ข้าบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบแล้วโยนความผิดให้กับเขาคนเดียว แล้วจะให้ข้าชี้แจงเรื่องนี้ต่อหน้าราษฎรอย่างไร?”
เมื่อคำพูดถูกพูดออกไป ภายในใจของเฉินเสียนก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันที ในตอนนั้นเพราะอะไรซูเจ๋อถึงได้ลงนามในสนธิสัญญากับทางอาณาจักรเย่เหลียงในนามเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
เขาได้คาดการณ์เหตุการณ์เหล่านี้ล่วงหน้าตั้งแต่แรกไว้แล้ว เขาตั้งใจจะรับผิดชอบทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวเท่านั้น ไม่ให้หลงเหลือและเล็ดลอดหรือพาดพิงไปถึงเฉินเสียนได้ เขาวางชีวิตของเขาไว้ในมือของเฉินเสียน วันข้างหน้าเขาจะพ่ายแพ้ล้มเหลวจนไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ หรือจะยังคงมีหน้ามีตาเป็นที่ยกย่องและที่ยอมรับ ล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
แม่ทัพโฮ้วเคยกำชับเธอว่าต้องระวังซูเจ๋อไว้เสมอ ที่เธอสามารถประสบความสำเร็จครั้งนี้ได้ ย่อมมีเงื่อนไขและเหตุผลเสมอ ไม่ใช่เพียงเพราะแม่ทัพโฮ้วเท่านั้น ยังมีเหล่าบรรดาขุนนางของราชสำนัก รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทหารและเหล่าราษฎรทุกคน ต่างก็ล้วนกำลังเฝ้ารอเฉินเสียนกำจัดคนที่หมดประโยชน์อย่างซูเจ๋อทิ้งไป
ตอนนี้เฉินเสียนพึ่งจะเข้าใจในทุกอย่าง ซูเจ๋อได้หาทางหนีทีไล่ไว้ให้กับเธอตั้งแต่แรกแล้ว หากว่าเธอต้องการมัน เขาก็พร้อมจะกระโดดลงนรกอย่างเต็มใจโดยที่ไม่มีทางจะสามารถกลับตัวหวนคืนได้อีก