เย่ซวิ่นหัวเราะออกมา เขาใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง : “งั้นพรุ่งนี้ข้าขอเรียนเชิญฝ่าบาทไปที่ประตูเมืองกับข้า ส่งเหล่าบรรดาราชทูตของอาณาจักรเย่เหลียงกลับไปเสียหน่อย”
“เจ้าไม่กลับหรือ?”
“กลับไปทั้งอย่างนี้ ไม่ขายหน้าแย่หรอกหรือ?” เย่ซวิ่นพูดขึ้น : “ท่านโปรดรู้ด้วยว่าข้ามาที่อาณาจักรต้าฉู่ด้วยความทะเยอทะยานเต็มอก จะมายอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้อย่างไรกัน”
เฉินเสียนหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “งั้นก็จงรู้ไว้เสีย ว่าถึงแม้เจ้าจะอยู่ที่อาณาจักรต้าฉู่ต่อไป เจ้าก็ไม่มีโอกาสใดๆ ทั้งสิ้น พรุ่งนี้เมื่อราชทูตเดินทางกลับไปแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปที่ตำหนักเย็นทันที”
เย่ซวิ่นเอนตัวลงบนพนักพิงของเก้าอี้ด้วยความผ่อนคลาย สีหน้าของเขาเรียบเฉย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “งั้นขอรบกวนฝ่าบาทหน่อยได้หรือไม่ อย่าได้ตัดรอนเยื่อใยกันจนเกินไป เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ ก็ปล่อยข้าออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง เพราะถึงอย่างไรข้างในกำแพงที่สูงลิ่วของพระตำหนักเย็นนั่นก็เงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเสียจริง”
เฉินเสียนจ้องมองเขาเนิ่นนาน แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “เจ้าคือคนที่ทารุณตัวเองโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา”
เย่ซวิ่นเงยหน้ามองเธอ เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เพราะหากข้าไปจากที่นี่แล้ว ก็จะไม่สามารถย่างกรายเข้ามาในอาณาจักรต้าฉู่ได้อีก และข้าคงจะไม่ได้เห็นหน้าท่านอีก พอมานึกๆ ดูแล้ว มันก็คงจะทรมานไม่ต่างกัน”
เฉินเสียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันว่า : “เป็นไปได้หรือว่าเจ้าจะสามารถทำให้ข้ารู้สึกหวั่นไหวได้จริงๆ?”
เย่ซวิ่นไม่ตอบกลับ เขาเพียงพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาทคงต้องระวังตัวไว้บ้าง หากครั้งหน้ายังมีโอกาส ข้าจะไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะเป้าหมายที่ข้ามายังอาณาจักรต้าฉู่นั้นก็เพื่อที่จะมีลูกกับท่านนี่นา”
เฉินเสียนไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอลุกขึ้นแล้วเดินจากไป เย่ซวิ่นวางขาทั้งคู่ลงบนโต๊ะ เขาพูดขึ้นพึมพำด้วยความเสียดายว่า : “ข้าคิดว่าครั้งนี้ไม่ว่ายังไงซูเจ๋อก็คงจะดิ้นไม่หลุดแท้ๆ แล้วเชียว”
ข่าวคราวเรื่องที่ซูเจ๋อลักลอบลงนามสนธิสัญญากับทางอาณาจักรเย่เหลียงโดยลำพังนั้นยังไม่ทันจะแพร่ออกไป ก็ถูกเฉินเสียนตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียแล้ว เธอไม่อาจหลีกเลี่ยงเหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักได้ จึงได้ตัดสินใจอย่างเฉียบขาดและเด็ดเดี่ยว เผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งนี้ด้วยตัวเธอเอง ไม่เพียงแต่จะไม่หลบเลี่ยงและบ่ายเบี่ยงปัญหา เธอยังไม่ยอมปัดความรับผิดชอบอีกด้วย แถมยังเข้าไปรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวทั้งหมด
เธอได้ออกพระราชกฤษฎีกาอย่างเป็นทางการ ให้ทุกคนได้รับรู้กันอย่างถ้วนหน้า ดังนั้นข่าวลือที่เกี่ยวข้องซูเจ๋อในภายภาคหน้า ก็จะไม่มีน้ำหนักและมีผลร้ายใดๆ
นี่คือสิ่งที่เย่ซวิ่นคาดไม่ถึงเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ยังรวมไปถึงเหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักทางอาณาจักรเย่เหลียงด้วย ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึงเลย
เวลานี้เอง เฉินเสียนก็ได้ชะงักฝีเท้าลง เธอไม่ได้หันหน้ากลับไป เพียงแต่เงยหน้าขึ้นแล้วทอดสายตามองออกไปยังบรรยากาศที่โพล้เพล้ข้างนอกนั่น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “ข้าเคยบอกแล้ว ว่าจะไม่มีผู้อื่นใดสามารถทำลายเขาได้”
วันถัดมา เธอและเย่ซวิ่นรวมถึงเหล่าบรรดาขุนนางและเจ้าหน้าที่ของราชสำนักก็ได้ไปส่งเหล่าราชทูตของอาณาจักรเย่เหลียงที่ประตูเมือง หลังจากนั้น ไม่รอให้เฉินเสียนได้รับสั่งอะไร เหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักก็ได้จับตาและเฝ้าระวังเย่ซวิ่นทันที
เมื่อเย่ซวิ่นกลับมาแล้ว ก็ถูกย้ายจากพระตำหนักฉีเล่อไปยังพระตำหนักเย็นทันที ในด้านอาหารการกิน เฉินเสียนก็ไม่ได้ให้ขาดตกบกพร่องประการใด เพียงแต่เขาจะเจอเฉินเสียนยากมากขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้นเอง
ผ่านไปราวสองถึงสามเดือน ราชทูตอาณาจักรเย่เหลียงได้กลับไปถึงอาณาจักรเย่เหลียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทางอาณาจักรเย่เหลียงได้ทราบข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ตั้งแต่แรกแล้ว ต่างก็พากันรู้สึกโกรธเคืองไปตามๆ กัน
องค์จักรพรรดิเย่เหลียงทรงตรัสขึ้นด้วยความพิโรธว่า : “ข้าสั่งการตั้งแต่แรกไว้อย่างไร ข้าต้องการยืมแรงของอาณาจักรต้าฉู่มาช่วยในการลากซูเจ๋อลงคลอง ดูพวกเจ้าไปทำกันท่าไหน?”
ราชทูตทูลกลับด้วยความลำบากใจว่า : “ฝ่าบาท จักรพรรดินีของอาณาจักรต้าฉู่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการเบื้องต้น เหล่าบรรดาขุนนางและเจ้าหน้าที่ของราชสำนักได้พยายามอย่างมากที่จะกล่าวโทษเขา แต่จักรพรรดินีองค์นั้นได้สลัดและหลีกเลี่ยงพวกเขาทิ้งอย่างสิ้นเชิง พระนางได้ลงนามหนังสือสนธิสัญญาฉบับใหม่กับเหล่าขุนนาง แต่เหล่าขุนนางยังไม่ทันจะได้ประกาศออกไปเสียด้วยซ้ำ พระนางก็ได้ออกพระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่ออกมา เหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักไม่ทันแม้แต่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเย่เหลียงกำลังอยู่ในภาวะลังเลพระทัย ไม่สามารถตัดสินพระทัยได้ ภายภาคหน้าจะรับมือกับซูเจ๋ออย่างไร นี่เป็นสิ่งที่องค์จักรพรรดิเย่เหลียงทรงเป็นกังวลพระทัยอย่างที่สุด
ราชทูตได้ทูลขึ้นว่า : “แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ราชสำนักของอาณาจักรต้าฉู่จะดูแล้วสงบไร้คลื่นใดๆ แต่แท้จริงแล้วภายในวุ่นวายไม่น้อย อาจเป็นเพราะเหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักที่อยู่ในอาณาจักรต้าฉู่นั้นไม่สะดวกออกหน้ามากจนเกินไป พวกเหล่าบรรดาขุนนางอาวุโสที่เก่าแก่ไม่ได้จัดการง่ายๆ เช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
แท้จริงแล้ว ก่อนที่ราชทูตของอาณาจักรเย่เหลียงจะเดินทางออกจากอาณาจักรต้าฉู่นั้น สถานการณ์ของเหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักที่ดูแล้วสงบเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อราชทูตของอาณาจักรเย่เหลียงได้เดินทางกลับไปแล้ว ในวันถัดมา ก็ได้มีเหล่าขุนนางและเจ้าหน้าที่พลเรือนคุกเข่าร้องเรียนอยู่ด้านนอกของท้องพระโรง วอนจักรพรรดินีทรงรับสั่งปลดตำแหน่งของซูเจ๋อ เขายังคงสามารถเป็นท่านบัณฑิตต้นแบบที่น่าเคารพนับถือของอาณาจักรต้าฉู่ได้ แต่ด้วยความด่างพร้อยนี้ ไม่ควรจะได้ขึ้นมาเป็นขุนนางระดับสูงในราชสำนัก และยิ่งไม่ควรมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวใดๆ กับองค์จักรพรรดินีอีก
เฉินเสียนได้ยินแล้วก็อดขำเสียไม่ได้
ให้ซูเจ๋ออย่าได้มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับเธออีกอย่างนั้นหรือ? ซูเจ๋อเป็นบิดาของซูเซี่ยนนะ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำอยู่แล้ว จะให้ตัดขาดความสัมพันธ์ได้อย่างไรกัน? แม้จะตัดขาดทุกอย่างในหนึ่งดาบ แต่ก็ไม่อาจตัดขาดความสัมพันธ์ของเลือดเนื้อเชื้อไขได้
เฉินเสียนได้รับสั่งให้หมอหลวงประจำการรอรักษา หากขุนนางคนไหนร่างกายไม่ไหวแล้ว ก็ให้พาไปรักษาที่ตำหนักหมอหลวง
แม้ว่าเหล่าบรรดาขุนนางและเจ้าหน้าที่พลเรือนจะคุกเข่าวิงวอนขอให้เฉินเสียนมีรับสั่ง แต่เธอก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลยแม้แต่นิดเดียว
ในขณะที่เฉินเสียนกำลังสะบัดแขนเสื้อจะเดินจากไปนั้น ก็ได้มีขุนนางอาวุโสกล่าวแช่งขึ้นมาว่า : “ฝ่าบาททรงไม่รับฟังความเห็นของเหล่าบรรดาขุนนาง สุดท้ายแล้วมันก็จะย้อนกลับมาทำร้ายผู้อื่นและตัวพระองค์เอง เช่นนี้จะต่างอะไรจากกษัตริย์ทรราชกันเล่า! หรือทรงต้องการจะทอดพระเนตรเห็นเหล่าบรรดาขุนนางเสียสละชีวิตของตนเอง จึงจะสามารถเรียกสติของพระองค์กลับคืนมาได้หรืออย่างไรกัน? ฝ่าบาทไม่ควรจะกลายเป็นคนบาปของราชอาณาจักรต้าฉู่เสียเองพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนชะงักฝีเท้าลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เพียงแค่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์และความต้องการของพวกท่าน ก็จะกลายเป็นคนบาปของราชอาณาจักรต้าฉู่อย่างนั้นหรอกหรือ!”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้เป็นคนบาปก็ชั่งปะไรไป
เหล่าบรรดาขุนนางอาวุโสคุกเข่าไปเพียงแค่ครึ่งวัน ร่างกายก็เริ่มจะทนไม่ไหว ต่างพากันล้มไปตามๆ กัน
คำร้องของเหล่าบรรดาขุนนางและเจ้าหน้าที่พลเรือนในวันนี้สิ้นสุดลงโดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ในวันถัดมา เหล่าบรรดาขุนนางและเจ้าหน้าที่พลเรือนก็ได้ถอนคำร้องและถอยไปในที่สุด
เมื่อเฉินเสียนไปถึงที่ท้องพระโรง ขึ้นประทับบนบัลลังก์ รอจนถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น นอกจากขุนนางที่ได้รับการเลื่อนขั้นจากเฉินเสียนไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีขุนนางและเจ้าหน้าที่พลเรือนคนอื่นมาอีกเลย
ครั้งนี้เหล่าบรรดาขุนนางอาวุโสฉลาดขึ้น ไม่ใช้หัวชนเสาเช่นซวีเวยที่ทั้งพ่ายแพ้และเจ็บตัวอีก
เฉกเช่นตอนนี้ เหล่าบรรดาขุนนางอาวุโสได้ถอนคำร้องไป พวกเขาแต่ละฝ่ายคณะต่างล้วนปฏิบัติตามสีหน้าคน ด้วยเหตุนี้ การว่าราชกิจของราชสำนักจึงถูกระงับเป็นการชั่วคราว ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ จึงทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
คนเหล่านั้นต้องการใช้วิธีนี้ในการบีบและกดดันให้เฉินเสียนยอมจำนน เพื่อขับไล่ซูเจ๋อไป
ในตอนที่ซูเซี่ยนอายุครบสามขวบนั้น เฉินเสียนเลือกที่จะใช้เวลาเหล่านี้กับซูเจ๋อ เมื่อเดินเข้าประตูเรือนของซูเจ๋อแล้ว ก็จะไม่พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักอีก
เฉินเสียนลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง เพื่ออบขนมเค้กวันเกิดให้กับซูเซี่ยน
ซูเซี่ยนนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดินกับพ่อของเขา รอเวลาพลบค่ำ เขาพูดกับซูเจ๋อด้วยน้ำเสียงที่สุขุมว่า : “พวกเขาต่างล้วนพากันทำให้ท่านแม่ของข้าลำบากใจ กดดันให้ท่านแม่ของข้าออกห่างจากท่านพ่อ”
ซูเจ๋อไม่ได้พูดอะไรออกมา
ซูเซี่ยนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บางเบาว่า : “ท่านแม่ของข้าไม่ยอม พวกเขาจึงหลบอยู่แต่ในเรือน ไม่ยอมออกมาทำงานกัน”
ซูเจ๋อรู้สถานการณ์ในราชสำนักเป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่สามของการประท้วงขอเพิกถอนราชวงศ์ หากเป็นแบบนี้ต่อไป จะไม่เป็นผลดีต่อราชอาณาจักรอย่างแน่นอน เหล่าบรรดาขุนนางอาวุโสต่างก็รู้เป็นอย่างดี ครั้งนี้พวกเขาตั้งใจจะกดดันซูเจ๋อให้ออกจากราชสำนักไป
หากตอนนี้เฉินเสียนยอมถอยมาหนึ่งก้าว ปลดซูเจ๋อออกจากราชสำนักไป คนเหล่านี้ก็จะสามารถทำให้ซูเจ๋อลำบากในภายภาคหน้าได้
ซูเจ๋อเอื้อมมือไปลูบศีรษะของซูเซี่ยนเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “อาเซี่ยน หากภายภาคหน้าพ่อไม่สามารถอยู่เคียงข้างพวกเจ้าสองแม่ลูกอย่างราบรื่นได้ เจ้าจะเป็นเช่นไร?”
ซูเซี่ยนจึงตอบกลับไปว่า : “หากข้าและท่านแม่คิดถึงท่านพ่อขึ้นมา ก็จะออกจากพระราชวังแล้วมาที่นี่ นี่เป็นเพียงแค่สถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น ท่านพ่อช่วยท่านแม่หน่อยได้หรือไม่ ให้คนเหล่านั้นไม่กล้าสร้างความลำบากใจและบังอาจมารังแกท่านแม่ของข้าอีก”
ซูเจ๋อหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ตอนนี้สถานการณ์ได้ผ่านไปแล้ว พ่อจะทนดูแม่ของเจ้าถูกรังแกได้อย่างไรกันเล่า”