ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 607 แม้แต่วิญญาณร้ายก็ทำอะไรข้าไม่ได้

ซูเจ๋อใช้นิ้วลูบไล้ที่ริมฝีปากของเธอ ปลายจมูกคลอเคลียกันก่อนที่ริมฝีปากจะประทับลงมา ลมหายใจของทั้งคู่เคล้าคลอพัวพันกันไปมาอย่างเอ้อระเหย เฉินเสียนอยากจะกัดเขาแรงๆ ทว่าสุดท้ายก็ทำใจไม่ได้ และกลายเป็นว่าค่อยๆ ถูกเขาสูบกลืนจนหมดเรี่ยวแรง

สายคาดเอวคลายออก ซูเจ๋อยกร่างของเฉินเสียนขึ้นและกดเธอไว้กับบานประตูด้วยความปรารถนา

เขาโอบร่างของเธอไว้อย่างระรานและเอาแต่ใจ แยกขาของเธอออก ทันทีที่ส่งแก่นกายเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงความเปียกลื่นและคับแน่น เฉินเสียนทนไม่ไหวเมื่อความอิ่มเอิบแทรกลึกเข้ามาอย่างกะทันหัน นิ้วเท้าของเธอหดเกร็ง งอขาโอบไว้รอบเอวซูเจ๋ออย่างแนบแน่น

ชายผ้าที่ห้อยลงมาพลิ้วไหวเบาๆ ทันทีที่ซูเจ๋อจู่โจมเข้ามาในร่างกาย เธอก็ฟุบลงไปบนไหลของเขาและส่งเสียงครางออกมา

เมื่อเขาตัดสินใจทำอะไร เธอไม่มีทางยับยั้งเขาได้

เฉินเสียนเหมือนเรือลำน้อยลอยคว้างอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ รองรับคลื่นลมที่ซูเจ๋อนำพาเข้ามา เธอกัดไหล่หนาของชายตรงหน้า มือเรียวพัวพันอยู่กับเส้นผมของเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “จะต้อง เป็นแบบนี้จริงๆ หรือ…”

ซูเจ๋อไม่ตอบ เขาเพียงแต่โอบรัดเอวของเธอไว้ ส่งแก่นกายเข้าไปลึกและร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม

เฉินเสียนถูกเขากดลงบนเตียงอย่างคนสติหลุดลอย เขาปัดเส้นผมที่ข้างหูเธอออก จุมพิตลงบนใบหูพลางเอ่ยว่า “ถ้าท่านตอบรับข้า แม้แต่วิญญาณร้ายก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ข้าจะปกป้องท่านได้ตลอดชีวิต ท่านก็เช่นกัน”

วันที่สองที่กลับไปที่ราชสำนัก ที่นั่นยังคงไม่มีขุนนางมาเข้าเฝ้า เฉินเสียนนั่งอยู่ในท้องพระโรงที่ว่างเปล่าเพียงผู้เดียว เหลือบมองดูพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา

อวี้เยี่ยนเข้ามาเตือนด้วยความเป็นห่วงเมื่อยามใกล้เที่ยง “ฝ่าบาท ควรเสด็จกลับพระตำหนักไท่เหอเพื่อเสวยอาหารกลางวันได้แล้วนะเพคะ ฝ่าบาททรงเหนื่อยเกินไปหรือไม่ หยุดพักเสียหน่อยดีกว่าไหมเพคะ”

เฉินเสียนนิ่งเฉยอยู่เป็นครู่ใหญ่ เธอเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูหานอู่เข้ามาในจัตุรัสขนาดใหญ่ สายลมพัดปะทะเครื่องแบบขุนนางของเขา เป็นชายชราทว่าดูเต็มไปด้วยกำลังวังชา

เขาเดินเข้ามาถึงบันไดหยกหนึ่งร้อยขั้นและค่อยๆ ก้าวขึ้นมาทีละขั้นๆ เนื่องด้วยอายุที่มากแล้ว เขาจึงก้าวขึ้นมาค่อนข้างช้า

อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างสำรวมว่า “ฝ่าบาท ดูเหมือนจะเป็นท่านเฮ่อเซียงเพคะ”

หลังจากนั้นไม่นานเฮ่อเซียงก็เดินขึ้นมาจนสุดขั้นบันไดสีขาวที่ทอดยาว เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าเฉินเสียน ประสานมือคารวะตามธรรมเนียมและเอ่ยว่า “กระหม่อมเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

เฉินเสียนประคองเขาให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “เฮ่อเซียงพักฟื้นอยู่ที่เรือน วันนี้มาเข้าเฝ้ายามเช้าหรือ? น่าเสียดายที่เหล่าขุนนางไม่ได้มาเข้าเฝ้า เฮ่อเซียงมาผิดเวลาเสียแล้ว”

เฮ่อเซียงถามว่า “แล้วเหตุใดฝ่าบาทจึงยังรออยู่ที่นี่และไม่ยอมกลับล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“อยู่ๆ ข้าก็ว่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำอะไร”

“เช่นนั้นกระหม่อมมีเรื่องจะทูลฝ่าบาทเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อเซียงโค้งคำนับ เขาดึงบางอย่างออกมาแล้วยื่นให้เฉินเสียน

เฉินเสียนรับไว้ เปิดห่อผ้าไหมสีเหลืองออก จากนั้นก็ชะงักไป “ตราประทับเสนาบดีของท่านนี่เฮ่อเซียง”

เฮ่อเซียงกล่าวว่า “กระหม่อมชรามากแล้วและเกรงว่าจะแบกรับหน้าที่สำคัญอีกไม่ไหว ช่วงหลังมานี้ก็มิได้เข้ามาควบคุมดูแลกิจในราชสำนักเลย กระหม่อมมิอาจเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เหล่าขุนนาง จึงทำให้เกิดความเงียบเหงาขึ้นในราชสำนักเช่นนี้ เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมมิอาจดำรงตำแหน่งในราชสำนักต่อไป จึงมากราบทูลฝ่าบาทเพื่อขอลาพ้นจากตำแหน่งอัครเสนาบดีแห่งต้าฉู่ ขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาต”

ทันใดนั้นมือที่ถือตราประทับอัครเสนาบดีไว้ก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

เนิ่นนานกว่าเฉินเสียนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้ายว่า “เฮ่อเซียงเองก็ประท้วงเพื่อกดดันข้าด้วยหรือ”

“กระหม่อมมิบังอาจ”

“หากไม่รังเกียจ ท่านอดีตอัครเสนาบดีช่วยนั่งกับข้าสักครู่ได้หรือไม่” เฉินเสียนชี้ไปที่ธรณีประตูที่อยู่ข้างๆ จากนั้นเธอจึงรวบฉลององค์ของจักรพรรดิและนั่งลงที่ธรณีประตูสีแดงสด

เฮ่อเซียงรวบเครื่องแบบขุนนางของเขาและค่อยๆ นั่งลงข้างๆ เธอ เขาทุบขาทั้งสองข้างของตัวเองและกล่าวว่า “แก่แล้วอะไรๆ ก็ไม่ดี หลังจากเดินมาได้สักพักกระหม่อมก็เริ่มปวดหลังปวดเอว”

เฉินเสียนถามว่า “ช่วงนี้สุขภาพของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งแก่ชราร่างกายก็ยิ่งอ่อนแออย่างไม่มีทางเลี่ยง กระหม่อมคิดว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี ได้แต่หวังว่าบุตรชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วๆ กระหม่อมจะได้มีหลานชายเสียที”

เฉินเสียนกล่าวว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก ถ้าเฮ่อเซียงถูกใจบุตรสาวเรือนไหนและอยากได้มาเป็นสะใภ้ ข้าจะพระราชทานงานแต่งให้ลูกชายของท่าน”

เฮ่อเซียงประสานมือคารวะ “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

เฉินเสียนก้มหน้าลงและมองตราประทับอัครเสนาบดีที่อยู่ในมือ ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ทุกคนพยายามบังคับให้ข้าจัดการกับซูเจ๋อ ไม่ลังเลที่จะหยุดเข้าเฝ้าเพื่อข่มขู่ข้า ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ข้าผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นเขาที่ยอมเดินไปยังถนนแห่งความตายแทนข้า เป็นเขาที่อดทนมาเป็นสิบปี คอยเหลียวหน้าแลหลังแทนข้า ฝ่าอันตรายในพายุที่นองเลือดเพื่อทวงทุกสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมาให้ข้า”

เฉินเสียนหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวอีกว่า “สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเข้าใจเขา ทุกคนมีแต่จะคอยป้องกันตัวจากเขาและหวาดกลัวเขา ถ้าข้าไม่ปกป้องเขาด้วยกำลังของตัวเอง มันจะไม่ทำให้บุคคลผู้อุทิศทุกอย่างเพื่อข้าด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าต้องเจ็บปวดหรอกหรือ”

เฮ่อเซียงถอนหายในนิดหนึ่งและกล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางยอมรับไม่ได้ไม่ใช่เพียงแค่เพราะฝ่าบาททรงปกป้องเขา แต่เป็นเพราะฝ่าบาททรงรักเขาด้วย”

เฉินเสียนถาม “ข้าผิดด้วยหรือ”

เฮ่อเซียงกล่าวว่า “สำหรับเรื่องถูกหรือผิดนั้นกระหม่อมไม่อาจตัดสินได้ แต่ขนบที่มีมาแต่เดิมมิอาจทำลายได้ มิฉะนั้นความผิดพลาดของต้าฉู่จะมีผลต่อฝ่าบาทก่อนผู้ใด และบัณฑิตผู้ชำนาญตำราปราชญ์จะเหยียดหยามท่านราชครู”

หลังจากหยุดไปนิดหนึ่ง เฮ่อเซียงจึงกล่าวอีกว่า “เวลานี้ต้าฉู่กำลังคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ หากฝ่าบาทเห็นแก่ต้าฉู่ เห็นแก่ท่านราชครู พระองค์ไม่ควรทำลายชื่อเสียงของเขา ทำให้ผู้ที่มาที่นี่เพราะชื่นชมเขาต้องผิดหวัง”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร”

เฮ่อเซียงลูบเคราของตนเองก่อนจะเงยหน้ามองขอบฟ้าอันไกลโพ้น เขากล่าวว่า “ในภายภาคหน้า… อาจจะเป็นองค์ชายที่ขึ้นครองราชย์ ฝ่าบาทจะวางพระหัตถ์จากราชสำนัก ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้สายตาของผู้คนตลอดเวลาอีกต่อไป”

เฉินเสียนไม่พูดอะไร

เฮ่อเซียงยันหัวเข่าและลุกขึ้น คำนับเฉินเสียนด้วยความเคารพ “กระหม่อมได้ถวายตราประทับเสนาบดีให้ฝ่าบาทแล้ว ขอฝ่าบาททรงพิจารณามอบตรานี้ให้แก่บุคคลที่จะแบกรับหน้าที่สำคัญของต้าฉู่ได้ กระหม่อมขอลาจากตำแหน่งไปก่อนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

เฉินเสียนกล่าวว่า “เที่ยงแล้ว อยู่กินข้าวกับข้าก่อนเถิดเฮ่อเซียง”

เฮ่อเซียงกล่าวว่า “ขอบพระทัยในความกรุณาของฝ่าบาท แต่บุตรของกระหม่อมกำลังรอให้กระหม่อมกลับไปกินข้าวอยู่ที่เรือนพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านก็ไปเถิด”

เฉินเสียนเฝ้ามองจนกระทั่งแผ่นหลังของเฮ่อเซียงหายลับไปจากประตูหานอู่ จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นและเอ่ยกับอวี้เยี่ยนว่า “เรากลับไปกินข้าวกลางวันกันเถอะ”

เมื่อผู้เฒ่าเฮ่อกลับมาถึงเรือน เฮ่อโยวก็เตรียมอาหารกลางวันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเฒ่าชรากลับมา เขาจึงเดินไปรับเขาที่ประตู ทันทีที่นั่งลง เฒ่าชราก็บ่นว่าเดินมาเหนื่อยเหลือเกิน

เฮ่อโยวส่งถ้วยชาให้เขาและกล่าวว่า “จัดการกิจธุระเรียบร้อยแล้วหรือ”

ผู้เฒ่าเฮ่อเหลือบมองเขานิดหนึ่ง ดื่มชาไปครึ่งถ้วยและกล่าวว่า “เพื่อความคับข้องใจของเจ้า ครั้งนี้ข้ายอมละทิ้งแม้กระทั่งสหายที่คบหากันมานานปี ถ้ามีครั้งต่อไป ข้าจะต้องโกรธเจ้าจนตายเป็นแน่”

เฮ่อโยวหัวเราะหึหึ “ท่านไม่ใช่อัครเสนาบดีอีกแล้ว ไหนเลยจะมีครั้งต่อไปอีก แต่สิ่งนี่ไม่ใช่เพื่อข้า ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อต้าฉู่”

ในยามบ่าย เหล่าขุนนางเฒ่าซึ่งหยุดอยู่ที่เรือนไม่ได้เข้าไปในราชสำนักได้ยินข่าวว่าเฮ่อเซียงลาพ้นจากตำแหน่งอัครเสนาบดีแล้ว ทุกคนตกใจมากและรีบไปเยี่ยมเยือนที่จวนตระกูลเฮ่อทันที

ขุนนางเฒ่าต่างทอดถอนใจและกล่าวว่า “ผู้เฒ่าเฮ่อ เรื่องของซวีเวยก่อนหน้านี้ก็มีให้เห็นตรงหน้า เรื่องนี้ท่านจะปล่อยให้เกิดขึ้นอีกไม่ได้! เหตุใดท่านจึงทำอะไรหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ท่านเป็นผู้นำของเหล่าขุนนาง ถ้าท่านออกจากตำแหน่งตอนนี้ พวกเราจะทำอย่างไรได้อีก”

เฮ่อเซียงเอ่ยคำโป้ปดด้วยสีหน้าที่คงเดิมและใจที่นิ่งสงบ เขาพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เพราะทนจนทนไม่ได้แล้วอย่างไรเล่า! เราละทิ้งราชสำนักมาสี่ห้าวันแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ยังไม่รีบจัดการซูเจ๋อ แบบนี้ไม่ได้การ ข้ารอต่อไปอีกไม่ไหว จึงถือโอกาสขู่ฝ่าบาทด้วยการลาพ้นจากตำแหน่งเสียเลย!”

ขุนนางเฒ่ากล่าวว่า “ท่านขู่ฝ่าบาทด้วยการบอกว่าจะลาพ้นจากตำแหน่งก็พอ แต่ท่านจะส่งมอบตราประทับอัครเสนาบดีไปทำไม!”

ผู้เฒ่าเฮ่อเอ่ยอย่างเตรียมตัวมาแล้วว่า “ข้าเป็นอัครเสนาบดีมานานกว่าสิบยี่สิบปี เมื่อมองไปทั่วทั้งราชสำนัก ยังมีผู้ใดอีกหรือที่เหมาะสมยิ่งไปกว่าข้า? พวกท่านวางใจเถิด เมื่อฝ่าบาทแบกรับความกดดันไม่ไหว ไม่ช้าก็เร็วพระองค์จะคืนตราประทับเสนาบดีให้ข้าเอง!”

ผู้เฒ่าเฮ่อเอาการลาออกมาข่มขู่ ยืนหยัดอย่างมั่นคงว่าจะยืนเคียงข้างเหล่าขุนนางเฒ่า ซึ่งนับได้ว่ามีคุณธรรมอย่างมาก เหล่าขุนนางเฒ่าต่างเลื่อมใสในจรรยาบรรณที่เคร่งครัด ความเฉียบขาดในการลงโทษขุนนางที่กระทำความผิด และการยืนหยัดในเกียรติของเขา

ไหนเลยจะรู้ว่าสถานการณ์ในราชสำนักจะเปลี่ยนไปในทางที่มิอาจคาดเดา เพียงแค่ไม่กี่วันถัดมา ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารต่างก็พากันตกตะลึงจนหน้าถอดสี

เฉินเสียนสั่งให้เฮ่อโยวร่างพระราชโองการ ทั้งยังสั่งให้สำนักทอผ้าเร่งทอเครื่องแบบประจำตำแหน่งอัครเสนาบดีขึ้นมาใหม่

ชุดประจำตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเป็นเสื้อคลุมตัวใหญ่ทอด้วยผ้าไหมสีสันงดงาม ที่แขนเสื้อและปกเสื้อปักด้วยไหมสีเข้มเสริมให้ดูโดดเด่น บนชุดปักด้วยลวดลายนกกระสาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตำแหน่ง ผู้ที่สวมใส่ชุดนี้คือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงและมากด้วยอำนาจ เป็นผู้เดียวในต้าฉู่ที่ไม่มีใครอื่นเหนือกว่านอกจากจักรพรรดิเพียงผู้เดียว

ซูเจ๋อใช้นิ้วลูบไล้ที่ริมฝีปากของเธอ ปลายจมูกคลอเคลียกันก่อนที่ริมฝีปากจะประทับลงมา ลมหายใจของทั้งคู่เคล้าคลอพัวพันกันไปมาอย่างเอ้อระเหย เฉินเสียนอยากจะกัดเขาแรงๆ ทว่าสุดท้ายก็ทำใจไม่ได้ และกลายเป็นว่าค่อยๆ ถูกเขาสูบกลืนจนหมดเรี่ยวแรง

สายคาดเอวคลายออก ซูเจ๋อยกร่างของเฉินเสียนขึ้นและกดเธอไว้กับบานประตูด้วยความปรารถนา

เขาโอบร่างของเธอไว้อย่างระรานและเอาแต่ใจ แยกขาของเธอออก ทันทีที่ส่งแก่นกายเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงความเปียกลื่นและคับแน่น เฉินเสียนทนไม่ไหวเมื่อความอิ่มเอิบแทรกลึกเข้ามาอย่างกะทันหัน นิ้วเท้าของเธอหดเกร็ง งอขาโอบไว้รอบเอวซูเจ๋ออย่างแนบแน่น

ชายผ้าที่ห้อยลงมาพลิ้วไหวเบาๆ ทันทีที่ซูเจ๋อจู่โจมเข้ามาในร่างกาย เธอก็ฟุบลงไปบนไหลของเขาและส่งเสียงครางออกมา

เมื่อเขาตัดสินใจทำอะไร เธอไม่มีทางยับยั้งเขาได้

เฉินเสียนเหมือนเรือลำน้อยลอยคว้างอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ รองรับคลื่นลมที่ซูเจ๋อนำพาเข้ามา เธอกัดไหล่หนาของชายตรงหน้า มือเรียวพัวพันอยู่กับเส้นผมของเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “จะต้อง เป็นแบบนี้จริงๆ หรือ…”

ซูเจ๋อไม่ตอบ เขาเพียงแต่โอบรัดเอวของเธอไว้ ส่งแก่นกายเข้าไปลึกและร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม

เฉินเสียนถูกเขากดลงบนเตียงอย่างคนสติหลุดลอย เขาปัดเส้นผมที่ข้างหูเธอออก จุมพิตลงบนใบหูพลางเอ่ยว่า “ถ้าท่านตอบรับข้า แม้แต่วิญญาณร้ายก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ข้าจะปกป้องท่านได้ตลอดชีวิต ท่านก็เช่นกัน”

วันที่สองที่กลับไปที่ราชสำนัก ที่นั่นยังคงไม่มีขุนนางมาเข้าเฝ้า เฉินเสียนนั่งอยู่ในท้องพระโรงที่ว่างเปล่าเพียงผู้เดียว เหลือบมองดูพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา

อวี้เยี่ยนเข้ามาเตือนด้วยความเป็นห่วงเมื่อยามใกล้เที่ยง “ฝ่าบาท ควรเสด็จกลับพระตำหนักไท่เหอเพื่อเสวยอาหารกลางวันได้แล้วนะเพคะ ฝ่าบาททรงเหนื่อยเกินไปหรือไม่ หยุดพักเสียหน่อยดีกว่าไหมเพคะ”

เฉินเสียนนิ่งเฉยอยู่เป็นครู่ใหญ่ เธอเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูหานอู่เข้ามาในจัตุรัสขนาดใหญ่ สายลมพัดปะทะเครื่องแบบขุนนางของเขา เป็นชายชราทว่าดูเต็มไปด้วยกำลังวังชา

เขาเดินเข้ามาถึงบันไดหยกหนึ่งร้อยขั้นและค่อยๆ ก้าวขึ้นมาทีละขั้นๆ เนื่องด้วยอายุที่มากแล้ว เขาจึงก้าวขึ้นมาค่อนข้างช้า

อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างสำรวมว่า “ฝ่าบาท ดูเหมือนจะเป็นท่านเฮ่อเซียงเพคะ”

หลังจากนั้นไม่นานเฮ่อเซียงก็เดินขึ้นมาจนสุดขั้นบันไดสีขาวที่ทอดยาว เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าเฉินเสียน ประสานมือคารวะตามธรรมเนียมและเอ่ยว่า “กระหม่อมเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

เฉินเสียนประคองเขาให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “เฮ่อเซียงพักฟื้นอยู่ที่เรือน วันนี้มาเข้าเฝ้ายามเช้าหรือ? น่าเสียดายที่เหล่าขุนนางไม่ได้มาเข้าเฝ้า เฮ่อเซียงมาผิดเวลาเสียแล้ว”

เฮ่อเซียงถามว่า “แล้วเหตุใดฝ่าบาทจึงยังรออยู่ที่นี่และไม่ยอมกลับล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“อยู่ๆ ข้าก็ว่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำอะไร”

“เช่นนั้นกระหม่อมมีเรื่องจะทูลฝ่าบาทเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อเซียงโค้งคำนับ เขาดึงบางอย่างออกมาแล้วยื่นให้เฉินเสียน

เฉินเสียนรับไว้ เปิดห่อผ้าไหมสีเหลืองออก จากนั้นก็ชะงักไป “ตราประทับเสนาบดีของท่านนี่เฮ่อเซียง”

เฮ่อเซียงกล่าวว่า “กระหม่อมชรามากแล้วและเกรงว่าจะแบกรับหน้าที่สำคัญอีกไม่ไหว ช่วงหลังมานี้ก็มิได้เข้ามาควบคุมดูแลกิจในราชสำนักเลย กระหม่อมมิอาจเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เหล่าขุนนาง จึงทำให้เกิดความเงียบเหงาขึ้นในราชสำนักเช่นนี้ เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมมิอาจดำรงตำแหน่งในราชสำนักต่อไป จึงมากราบทูลฝ่าบาทเพื่อขอลาพ้นจากตำแหน่งอัครเสนาบดีแห่งต้าฉู่ ขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาต”

ทันใดนั้นมือที่ถือตราประทับอัครเสนาบดีไว้ก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

เนิ่นนานกว่าเฉินเสียนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้ายว่า “เฮ่อเซียงเองก็ประท้วงเพื่อกดดันข้าด้วยหรือ”

“กระหม่อมมิบังอาจ”

“หากไม่รังเกียจ ท่านอดีตอัครเสนาบดีช่วยนั่งกับข้าสักครู่ได้หรือไม่” เฉินเสียนชี้ไปที่ธรณีประตูที่อยู่ข้างๆ จากนั้นเธอจึงรวบฉลององค์ของจักรพรรดิและนั่งลงที่ธรณีประตูสีแดงสด

เฮ่อเซียงรวบเครื่องแบบขุนนางของเขาและค่อยๆ นั่งลงข้างๆ เธอ เขาทุบขาทั้งสองข้างของตัวเองและกล่าวว่า “แก่แล้วอะไรๆ ก็ไม่ดี หลังจากเดินมาได้สักพักกระหม่อมก็เริ่มปวดหลังปวดเอว”

เฉินเสียนถามว่า “ช่วงนี้สุขภาพของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งแก่ชราร่างกายก็ยิ่งอ่อนแออย่างไม่มีทางเลี่ยง กระหม่อมคิดว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี ได้แต่หวังว่าบุตรชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วๆ กระหม่อมจะได้มีหลานชายเสียที”

เฉินเสียนกล่าวว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก ถ้าเฮ่อเซียงถูกใจบุตรสาวเรือนไหนและอยากได้มาเป็นสะใภ้ ข้าจะพระราชทานงานแต่งให้ลูกชายของท่าน”

เฮ่อเซียงประสานมือคารวะ “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

เฉินเสียนก้มหน้าลงและมองตราประทับอัครเสนาบดีที่อยู่ในมือ ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ทุกคนพยายามบังคับให้ข้าจัดการกับซูเจ๋อ ไม่ลังเลที่จะหยุดเข้าเฝ้าเพื่อข่มขู่ข้า ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ข้าผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นเขาที่ยอมเดินไปยังถนนแห่งความตายแทนข้า เป็นเขาที่อดทนมาเป็นสิบปี คอยเหลียวหน้าแลหลังแทนข้า ฝ่าอันตรายในพายุที่นองเลือดเพื่อทวงทุกสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมาให้ข้า”

เฉินเสียนหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวอีกว่า “สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเข้าใจเขา ทุกคนมีแต่จะคอยป้องกันตัวจากเขาและหวาดกลัวเขา ถ้าข้าไม่ปกป้องเขาด้วยกำลังของตัวเอง มันจะไม่ทำให้บุคคลผู้อุทิศทุกอย่างเพื่อข้าด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าต้องเจ็บปวดหรอกหรือ”

เฮ่อเซียงถอนหายในนิดหนึ่งและกล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางยอมรับไม่ได้ไม่ใช่เพียงแค่เพราะฝ่าบาททรงปกป้องเขา แต่เป็นเพราะฝ่าบาททรงรักเขาด้วย”

เฉินเสียนถาม “ข้าผิดด้วยหรือ”

เฮ่อเซียงกล่าวว่า “สำหรับเรื่องถูกหรือผิดนั้นกระหม่อมไม่อาจตัดสินได้ แต่ขนบที่มีมาแต่เดิมมิอาจทำลายได้ มิฉะนั้นความผิดพลาดของต้าฉู่จะมีผลต่อฝ่าบาทก่อนผู้ใด และบัณฑิตผู้ชำนาญตำราปราชญ์จะเหยียดหยามท่านราชครู”

หลังจากหยุดไปนิดหนึ่ง เฮ่อเซียงจึงกล่าวอีกว่า “เวลานี้ต้าฉู่กำลังคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ หากฝ่าบาทเห็นแก่ต้าฉู่ เห็นแก่ท่านราชครู พระองค์ไม่ควรทำลายชื่อเสียงของเขา ทำให้ผู้ที่มาที่นี่เพราะชื่นชมเขาต้องผิดหวัง”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร”

เฮ่อเซียงลูบเคราของตนเองก่อนจะเงยหน้ามองขอบฟ้าอันไกลโพ้น เขากล่าวว่า “ในภายภาคหน้า… อาจจะเป็นองค์ชายที่ขึ้นครองราชย์ ฝ่าบาทจะวางพระหัตถ์จากราชสำนัก ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้สายตาของผู้คนตลอดเวลาอีกต่อไป”

เฉินเสียนไม่พูดอะไร

เฮ่อเซียงยันหัวเข่าและลุกขึ้น คำนับเฉินเสียนด้วยความเคารพ “กระหม่อมได้ถวายตราประทับเสนาบดีให้ฝ่าบาทแล้ว ขอฝ่าบาททรงพิจารณามอบตรานี้ให้แก่บุคคลที่จะแบกรับหน้าที่สำคัญของต้าฉู่ได้ กระหม่อมขอลาจากตำแหน่งไปก่อนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

เฉินเสียนกล่าวว่า “เที่ยงแล้ว อยู่กินข้าวกับข้าก่อนเถิดเฮ่อเซียง”

เฮ่อเซียงกล่าวว่า “ขอบพระทัยในความกรุณาของฝ่าบาท แต่บุตรของกระหม่อมกำลังรอให้กระหม่อมกลับไปกินข้าวอยู่ที่เรือนพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านก็ไปเถิด”

เฉินเสียนเฝ้ามองจนกระทั่งแผ่นหลังของเฮ่อเซียงหายลับไปจากประตูหานอู่ จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นและเอ่ยกับอวี้เยี่ยนว่า “เรากลับไปกินข้าวกลางวันกันเถอะ”

เมื่อผู้เฒ่าเฮ่อกลับมาถึงเรือน เฮ่อโยวก็เตรียมอาหารกลางวันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเฒ่าชรากลับมา เขาจึงเดินไปรับเขาที่ประตู ทันทีที่นั่งลง เฒ่าชราก็บ่นว่าเดินมาเหนื่อยเหลือเกิน

เฮ่อโยวส่งถ้วยชาให้เขาและกล่าวว่า “จัดการกิจธุระเรียบร้อยแล้วหรือ”

ผู้เฒ่าเฮ่อเหลือบมองเขานิดหนึ่ง ดื่มชาไปครึ่งถ้วยและกล่าวว่า “เพื่อความคับข้องใจของเจ้า ครั้งนี้ข้ายอมละทิ้งแม้กระทั่งสหายที่คบหากันมานานปี ถ้ามีครั้งต่อไป ข้าจะต้องโกรธเจ้าจนตายเป็นแน่”

เฮ่อโยวหัวเราะหึหึ “ท่านไม่ใช่อัครเสนาบดีอีกแล้ว ไหนเลยจะมีครั้งต่อไปอีก แต่สิ่งนี่ไม่ใช่เพื่อข้า ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อต้าฉู่”

ในยามบ่าย เหล่าขุนนางเฒ่าซึ่งหยุดอยู่ที่เรือนไม่ได้เข้าไปในราชสำนักได้ยินข่าวว่าเฮ่อเซียงลาพ้นจากตำแหน่งอัครเสนาบดีแล้ว ทุกคนตกใจมากและรีบไปเยี่ยมเยือนที่จวนตระกูลเฮ่อทันที

ขุนนางเฒ่าต่างทอดถอนใจและกล่าวว่า “ผู้เฒ่าเฮ่อ เรื่องของซวีเวยก่อนหน้านี้ก็มีให้เห็นตรงหน้า เรื่องนี้ท่านจะปล่อยให้เกิดขึ้นอีกไม่ได้! เหตุใดท่านจึงทำอะไรหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ท่านเป็นผู้นำของเหล่าขุนนาง ถ้าท่านออกจากตำแหน่งตอนนี้ พวกเราจะทำอย่างไรได้อีก”

เฮ่อเซียงเอ่ยคำโป้ปดด้วยสีหน้าที่คงเดิมและใจที่นิ่งสงบ เขาพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เพราะทนจนทนไม่ได้แล้วอย่างไรเล่า! เราละทิ้งราชสำนักมาสี่ห้าวันแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ยังไม่รีบจัดการซูเจ๋อ แบบนี้ไม่ได้การ ข้ารอต่อไปอีกไม่ไหว จึงถือโอกาสขู่ฝ่าบาทด้วยการลาพ้นจากตำแหน่งเสียเลย!”

ขุนนางเฒ่ากล่าวว่า “ท่านขู่ฝ่าบาทด้วยการบอกว่าจะลาพ้นจากตำแหน่งก็พอ แต่ท่านจะส่งมอบตราประทับอัครเสนาบดีไปทำไม!”

ผู้เฒ่าเฮ่อเอ่ยอย่างเตรียมตัวมาแล้วว่า “ข้าเป็นอัครเสนาบดีมานานกว่าสิบยี่สิบปี เมื่อมองไปทั่วทั้งราชสำนัก ยังมีผู้ใดอีกหรือที่เหมาะสมยิ่งไปกว่าข้า? พวกท่านวางใจเถิด เมื่อฝ่าบาทแบกรับความกดดันไม่ไหว ไม่ช้าก็เร็วพระองค์จะคืนตราประทับเสนาบดีให้ข้าเอง!”

ผู้เฒ่าเฮ่อเอาการลาออกมาข่มขู่ ยืนหยัดอย่างมั่นคงว่าจะยืนเคียงข้างเหล่าขุนนางเฒ่า ซึ่งนับได้ว่ามีคุณธรรมอย่างมาก เหล่าขุนนางเฒ่าต่างเลื่อมใสในจรรยาบรรณที่เคร่งครัด ความเฉียบขาดในการลงโทษขุนนางที่กระทำความผิด และการยืนหยัดในเกียรติของเขา

ไหนเลยจะรู้ว่าสถานการณ์ในราชสำนักจะเปลี่ยนไปในทางที่มิอาจคาดเดา เพียงแค่ไม่กี่วันถัดมา ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารต่างก็พากันตกตะลึงจนหน้าถอดสี

เฉินเสียนสั่งให้เฮ่อโยวร่างพระราชโองการ ทั้งยังสั่งให้สำนักทอผ้าเร่งทอเครื่องแบบประจำตำแหน่งอัครเสนาบดีขึ้นมาใหม่

ชุดประจำตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเป็นเสื้อคลุมตัวใหญ่ทอด้วยผ้าไหมสีสันงดงาม ที่แขนเสื้อและปกเสื้อปักด้วยไหมสีเข้มเสริมให้ดูโดดเด่น บนชุดปักด้วยลวดลายนกกระสาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตำแหน่ง ผู้ที่สวมใส่ชุดนี้คือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงและมากด้วยอำนาจ เป็นผู้เดียวในต้าฉู่ที่ไม่มีใครอื่นเหนือกว่านอกจากจักรพรรดิเพียงผู้เดียว

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset