ค่อยๆ มีฎีกายื่นกล่าวโทษอัครเสนาบดีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีเหตุเป็นอย่างมาก มีความคิดที่ขัดแย้งกันทางการเมือง ทุกคนต่างก็เลือกเพียงแค่ความคิดของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องรีบฆ่าทั้งหมด แต่ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นบอกว่าไม่ใช่อัครเสนาบดี
และในเวลานี้ ขุนนางเก่าในราชสำนัก ก็ถูกเขากำจัดไปได้เกือบหมดแล้ว
ต่อไปก็จะไม่มีพวกแก่ๆ เหล่านั้นที่จะมารวมตัวกันที่เอาความตายหรือไม่มาที่ราชสำนักเพื่อมาบีบบังคับองค์จักรพรรดินี
ในขณะนั้นที่เหล่าขุนนางกระซิบกระซาบกันเบาๆ ซูเจ๋อเริ่มเตรียมแผนสำหรับต้าฉู่ในปีหน้าอย่างไม่ใส่ใจอะไร ไม่เพียงแต่ปีหน้า แต่กลยุทธ์ของงานราชการสำหรับสามถึงห้าปีต่อไปด้วย เขาได้บันทึกไว้อย่างพิถีพิถันในหนังสือ เพื่อที่จะได้ใช้ในวันต่อไป
เขาได้อยู่ในราชสำนักเลือกอาจารย์คนใหม่ให้กับซูเซี่ยน และรับผิดชอบการสอนในโรงเรียนไท่เหอที่วังหลัง ซูเซี่ยนในฐานะเป็นองค์ชายใหญ่ อีกไม่นานก็ต้องเข้าไปศึกษาอย่างเป็นทางการที่โรงเรียนไท่เหอ
นอกจากนี้เขายังขอให้ฉินหรูเหลียงเลือกในองครักษ์วังหลวงที่ดีที่สุดมาเป็นทหารอารักขา ให้ฉินหรูเหลียงฝึกฝนให้เป็นหน่วยองครักษ์ลับ ต่อไปรับผิดชอบความปลอดภัยของเฉินเสียน
ฉินหรูเหลียงขมวดคิ้วและมองไปที่ซูเจ๋อกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าอัครเสนาบดีซูจะรีบทำการให้เสร็จโดยเร็ว”
ซูเจ๋อเลิกคิ้วอย่างไม่ได้สนใจ
ฉินหรูเหลียงพูดอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าท่านมีวิธีเสมอ แต่เมื่อช่วงนี้มีคนมากขึ้นในราชสำนักที่กล้าเกลียดท่านแต่ไม่กล้าพูด หากท่านไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่มให้นาง ท่านก็ควรที่จะหยุด”
ซูเจ๋อยิ้มจางๆ หันหน้าหนีจากคนอื่นๆ และพูดว่า “สิ่งที่ข้าต้องการจะทำ น่าจะยังไม่ถึงให้ท่านแม่ทัพฉินต้องมาชี้แนะข้า ท่านแม่ทัพฉินเพียงแค่ทำเรื่องข้างในให้ดี และเรื่องการฝึกหน่วยองครักษ์ลับ ยังต้องขอให้แม่ทัพฉินโปรดใส่ใจด้วย อย่าปล่อยให้นานจนเกินไป
พูดจบ ซูเจ๋อก็ได้หันหลังออกไปก่อน ฉินหรูเหลียงยังอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังที่มีความเป็นขุนนางที่มือสะอาดไม่มีความด่างพร้อยของเขา ทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล
ซูเจ๋อตัดการติดต่อกับฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยวและข้าราชบริพารต่อไปที่สามารถไว้ใจได้ ปกครองทั้งหมดคนเดียว และทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง
แม้แต่ในงานเลี้ยงในพระราชวัง ซูเจ๋อก็เฉยเมยต่อขุนนางใหม่ที่พบรอเขามาโดยตลอด และซูเจ๋อก็ไร้ความปรานีที่จะพูดถึงเรื่องนี้
เหล่าขุนนางใหม่ก็ค่อยๆ เขามาอยู่ข้างองค์จักรพรรดินี และฎีกาที่ส่งขึ้นไปต่างก็มีความไม่พอใจต่ออัครเสนาบดีเป็นอย่างมาก
ซูเซี่ยนกลับมาจากโรงเรียนไท่เหอ และเห็นเฉินเสียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะยาว ในมือยังถือฎีกาพร้อมขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา
ซูเซี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ เฉินเสียนอย่างเงียบๆ และครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เสด็จแม่ มีคนด่าท่านพ่อหลายคนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนพูด “ทางที่เขาเดินนี้ ทุกอย่างมาบังต่อหน้าแม่ไว้ และคงต้องมีคนด่าเยอะ”
แต่นางกลับไม่อาจจะทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ตอนนี้ขุนนางในราชสำนักได้กล่าวโทษให้ซูเจ๋อ มันไม่ใช่ง่ายแล้วกับรวบอำนาจแต่เพียงผู้เดียวโดนพลการ
ฎีกาที่กล่าวโทษจะกองอยู่ที่มุมโต๊ะตามปกติ เมื่อเฉินเสียนไม่ได้ระวัง ซูเซี่ยนจึงหยิบไม่กี่เล่มออกมาเปิดดู
อักษรที่ง่ายเขาดูออก ในฎีกานั้นทั้งหมดต่างด่าพ่อของเขา โหดร้ายต่อความจงรักภักดี รวบการปกครองของราชสำนักเพียงคนเดียว และแสดงเจตนาร้ายเป็นการทรยศในอดีต ซึ่งมิอาจควรนิ่งเฉยได้
เหล่าขุนนางคิดว่าตัวคนเดียวจะมีความอดทนมากแค่ไหน และจะมีความทะเยอทะยานมากเท่าใด ก่อนหน้านั้นอัครเสนาบดีซูถูกซ่อนไว้อย่างลึกล้ำ แต่ตอนนี้เขามีอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือ ในที่สุดก็เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเขาออกมา
อย่างไรก็ตามในการดำเนินการของราชสำนัก ที่อยู่ในความดูแลของอัครเสนาบดี และไม่เคยมีข้อผิดพลาด นโยบายใหม่ที่มีในมือของเขาได้เห็นประโยชน์แล้ว แม้ว่าฝ่ายปกครองและฝ่ายค้านจะเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่คับขัน แต่ประชาชนก็ค่อยๆ เพลิดเพลินกับความสงบและความสามัคคี
ในระหว่างวัน เฉินเสียนได้เดินทางไปสถานที่ว่าราชการของอัครเสนาบดี
มีหิมะตกบนดอกบ๊วยซึ่งยังคงอ้อยอิ่งอยู่
คนในสถานที่ว่าราชการได้ทำความสะอาดหิมะหน้าถนน และเฉินเสียนเดินไปตามถนนหินเปียก เพื่อไปยังสถานที่ว่าราชการของซูเจ๋อ
ประตูหน้าบันไดถูกเปิดออก และลมหนาวก็พัดเข้ามา เฉินเสียนลืมตาขึ้นและเห็นเขานั่งอยู่หน้าโต๊ะในห้อง และมีฎีกามากมายกองอยู่บนหน้าโต๊ะ
ซูเจ๋อหยิบมันขึ้นมามองดูในลักษณะเดียวกัน ด้วยท่าทางที่เย็นชา นิ้วของเขาถูกผสมด้วยกลิ่นหอมของหมึกเล็กน้อย และเขาเขียนลงไปอย่างไม่ต้องคิดอะไร”
เฉินเสียนยืนอยู่นอกประตูครู่หนึ่ง
คิดไปซูเจ๋อก็รู้ว่านางอยู่นี่แล้ว เพียงแค่ตั้งใจดูเล่มพื้นฐานทั้งหมดที่อยู่ในมือเสร็จ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปที่นาง
เขาลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า โดยแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิและขุนนาง น้อมตัวประสานมือคารวะพร้อมพูด “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
เฉินเสียนเดินเข้าไปในห้อง และพบว่าข้างในเย็นพอๆ กับข้างนอก นางพูดว่า “หน้าหนาวเดือนสิบสอง ทำไมเสนาบดีซูไม่จุดเตาผิง?”
ซูเจ๋อพูด “กระหม่อมไม่รู้สึกหนาวพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนให้ผู้ติดตามออกไป นางได้นั่งที่ด้านข้างโต๊ะยาวของซูเจ๋อ คนในวังนำเตาถ่านมาหนึ่งอัน และนางกับซูเจ๋อนั่งตรงข้ามและผิงไฟด้วยกัน
ซูเจ๋อยื่นมือทั้งคู่ออกไปเหนือกองไฟ และนางก็เลิกคิ้วขณะที่มองดูแสงไฟสีแดงในเตาชุบไปที่นิ้วของเขาดูดีมาก
เฉินเสียนกระซิบ “ไม่ใช่บอกว่าไม่หนาวเหรอ?”แม้ว่าปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
ซูเจ๋อกล่าวว่า “นั่งอยู่เป็นเพื่อนกับฝ่าบาทสักครู่ ฝ่าบาททำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
นางสัมผัสถูกปลายนิ้วของเขา นิ้วมือดูอบอุ่น
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าแค่มาดู” หลังจากหยุดชั่วคราว “เป็นเสนาบดีของราชสำนัก ทำจนถึงตำแหน่งของท่านในตอนนี้ ช่างยุ่งมากจริงๆ คิดถึงตอนที่ท่านเฮ่ออยู่ในตำแหน่งนี้ มีช่วงเวลาเล็กๆ ท่านเฮ่อได้พักผ่อนที่บ้าน ก็ไม่สนใจไม่ถามอีกเลย”
ซูเจ๋อยิ้มและพูดว่า “วันนี้ไม่ได้ดีไปกว่าที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าสิ่งที่กระหม่อมจะทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยได้หรือไม่”
เฉินเสียนรู้สึกว่าเขาพูดคำก็ฝ่าบาทสองคำก็ฝ่าบาท ทำให้ในใจตัวเองตื่นตระหนกอึดอัด นางพูดว่า “เรียกข้าว่าอาเสียน”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของซูเจ๋อได้จางลง
เฉินเสียนจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “ข้าอยากฟังท่านเรียกข้าว่าอาเสียน”
ซูเจ๋อพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ที่นี่คือสถานที่ว่าราชการนะพ่ะย่ะค่ะ”
ครู่หนึ่งเฉินเสียนก็ได้กุมมือของซูเจ๋อ นิ้วมือนางพันที่มือเขา สิบนิ้วกำแน่น และพูดว่า “ทำไมท่านไม่ทำเหมือนที่นั่นผ่อนคลายลงบ้าง ท่านบ้างานรึ? ทำแทนข้าทุกอย่างแล้ว แล้วข้าล่ะทำอะไร?”
ซูเจ๋อพูด “กระหม่อมทำแทนฝ่าบาทแค่เพียงบางส่วนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ทุกวันฝ่าบาทไม่ใช่มีเรื่องราชสำนักต้องจัดการมากมายหรือ รอปีหน้า ทุกอย่างก็คงเดินไปในทางที่ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนนิ่งเงียบ จากนั้นพูดว่า “ความจริง ทุกวันดูแต่ฎีกา ก็ทำให้ปวดหัวมากแล้ว”
เฉินเสียนไม่ได้เห็นการเปลี่ยนไปของเขา นางพูด “ไม่ฟังว่าพวกเขาพูดถึงท่านว่าอะไร?”
“ว่าอะไรกระหม่อม”ซูเจ๋อพูดอย่างเมินเฉย
“พูดว่าท่านเป็นขุนนางทรยศ ทะเยอทะยาน พยายามยึดอำนาจของจักรพรรดิ”
ซูเจ๋อยิ้มอ่อนๆ ออกมา “น่าเสียดายจริงๆ สิ่งที่เหล่าขุนนางเฒ่ากังวลทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นแล้ว”
เฉินเสียน “ข้ารู้ว่าไม่ใช่อย่างที่พวกเขากล่าวหาเช่นนั้น ข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว”
ซูเจ๋อพูดเน้นคำท้าย “พระองค์เชื่อข้าขนาดนั้นรึ? หากว่าสิ่งที่พวกเขาพูดมานั้นเป็นเรื่องจริงล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนยิ้มและพูดว่า “นั้นข้าจะปลดตำแหน่งเสนาบดีท่าน และปล่อยให้ท่านเป็นคนที่ไม่มีอะไร ซึ่งเป็นสิ่งข้าต้องการ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “อาจจะไม่ได้ หากว่าข้าไม่มีอำนาจใดๆแล้ว ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไหร่ที่ต้องการฆ่าข้า”
สุดท้าย รอยยิ้มที่ได้ฝืนยิ้มบนใบหน้า ก็หายไป
เขามาถึงจุดที่เขาเป็นอยู่ในวันนี้ ไม่อาจจะถอยหลังกลับไปได้
“ทำไม?” เฉินเสียนถาม
“ฝ่าบาทถามทำไมพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมต้องพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น” นางจ้องไปที่ดวงตาของเขาอย่างแน่วแน่ “ก่อนหน้านี้ท่านไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ไม่ใช่หรือ ท่านสามารถทำเหมือนช่วงเริ่มต้นก็ได้ ชนะแล้วได้รับการคารวะ คำชื่นชมจากเหล่าขุนนาง ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้?”