วันนี้ในวังหลังมีความว่างเปล่า พอเทียบกับพระตำหนักเย็นแล้ว ไม่ได้หนาวยะเยือกขนาดนั้น เจ้านายที่อยู่ในพระตำหนักเย็นจะมีนางกำนัลมาคอยปรนนิบัติโดยเฉพาะ มิต้องกลัดกลุ้มเรื่องเสื้อผ้าอาหาร เพียงแต่สถานที่นี้เงียบสงบอยู่บ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง
คิดไม่ถึง ดอกบ๊วยในพระตำหนักเย็นเบ่งบานแล้ว ทิวทัศน์ในท้องนภาเต็มไปด้วยหิมะ
เย่ซวิ่นว่างไม่มีอะไรทำ ฝึกฝนร่างกายทุกวัน และได้เด็ดดอกบ๊วยลงมาแล้วนำไปใส่ในแจกันดอกไม้ มีเวลาว่างสบายอกสบายใจก็ตัดเล็มให้เข้ารูปทรง
ตอนที่ซูเซี่ยนไป เห็นในมือของเขาถือกรรไกร นั่งอยู่ในศาลาเซวีย ร่างกายมีเสื้อคลุมกันลมปกคลุมอยู่ ใบหน้าราวกับดอกบ๊วยที่อยู่ในแจกันดอกไม้ ค่อนข้างเชื่อมโยงสง่างามอย่างมาก
ดอกบ๊วยที่เขาตัดเรียบร้อยแล้ว ไม่เสมอกันแต่ทว่าสวยงามมาก
ซูเซี่ยนยืนมองเขาอยู่ด้านนอกศาลาเซวีย
เย่ซวิ่นยิ้มขึ้นมา อย่างคนอารมณ์ดี กล่าวขึ้นว่า “โอ้ แขกที่นานๆมาครั้งนี่”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “ถูกให้มาอยู่ที่พระตำหนักเย็น พระองค์ยังมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสมรื่นรมย์”
ในมือเย่ซวิ่นรองแจกันดอกบ๊วยไว้ แล้วเดินออกมาจากศาลาเซวียอย่างเอ้อระเหย ก้มศีรษะลงมองเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า แล้วกล่าวว่า “นางกำนัลของข้าที่นี่คอยปรนนิบัติอย่างดี หิวแล้วมีของกิน หนาวแล้วมีไฟผิง เบื่อแล้วยังสามารถให้นางกำนัลเต้นระบำให้ข้าดูได้ ยังนับว่าสุขสบาย ก็ไม่รู้ว่าออกจากประตูของพระตำหนักข้าแล้ว สรุปว่าด้านในประตูพระตำหนักเป็นพระตำหนักเย็น หรือว่าด้านนอกประตูเป็นพระตำหนักเย็น”
ใบหน้าเล็กๆของซูเซี่ยนไร้อารมณ์ความรู้สึก มือไขว้หลังแล้วหันเดินกลับตามเส้นทางที่มา กล่าวว่า “ช่างเถิด เหมือนว่าพระองค์จะชอบที่นี่ เช่นนั้นก็อยู่ต่อไปเถิด”
เย่ซวิ่นกล่าวว่า “ท่านพ่อของเจ้าตายแล้ว ข้าเพิ่งจะรู้สึกว่าเจ้ากลายเป็นเด็กที่น่าสงสาร เหตุใดชั่วพริบตาเดียวก็ยังน่าเกลียดน่าชังอยู่ล่ะ”
ซูเซี่ยนหยุดชะงักฝีเท้า
เย่ซวิ่นมองร่างเล็กของเขา ทันใดนั้นรู้สึกว่าตนเองได้พูดเกินไปแล้วหรือใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กห้าขวบ ไม่มีท่านพ่อแล้วอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดทรมานใจ วันนี้เขาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเฉินเสียนจะเป็นเช่นไร
ข่าวเรื่องการตายของซูเจ๋อเขาก็เพิ่งรู้เมื่อสองวันก่อนหน้า เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าซูเจ๋อจะอายุสั้นเช่นนี้ เขายังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรมากมาย เขาบอกว่าตายก็ตายแล้ว
เย่ซวิ่นลูบคลำที่จมูก เดินมาแล้วกล่าวว่า “เดิมข้าคิดว่าบุคคลที่เป็นบ่อเกิดของความหายนะอย่างท่านพ่อของเจ้า จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปีนะ”
เย่ซวิ่นกับซูเจ๋อไม่ได้มีหนี้แค้นอาฆาตกัน มากที่สุดคือเกลียดชังซูเจ๋อ จนกระทั่งอิจฉาริษยาเขา พอซูเจ๋อตาย หมดศัตรูไปหนึ่งคน เย่ซวิ่นควรจะดีใจถึงจะถูกสิ
แต่พ่อนึกถึงเด็กน้อยกำพร้าและหญิงม่ายนี้ เขาก็ไม่มีอะไรที่น่าดีใจหรอก
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าก็คิดเช่นนี้ พระองค์อยากออกจากพระตำหนักเย็นหรือไม่?”
เย่ซวิ่นชะงักงัน แล้วกล่าวว่า“ท่านแม่ของเจ้ายอมปล่อยข้าออกไปแล้วหรือ?”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “ข้าจะปล่อยพระองค์ออกไป พระองค์ไม่ใช่ว่าลูกไม้มากมายหรือ หลังจากที่พระองค์ออกไปแล้วพระองค์พยายามก่อเรื่องนะ ทำให้ท่านแม่ของข้าโกรธก็ได้ เพียงแค่พระองค์ไม่รบกวนจุดสนใจความคิดท่านแม่ข้า ท่านแม่ข้าก็ไม่มีทางสังหารพระองค์หรอก”
เย่ซวิ่นขบคิด แล้วกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าอยากให้ข้าออกไปทำเรื่องไม่ดี เป็นเครื่องสูบลมให้ท่านแม่ของเจ้าโมโหสินะ”
ซูเซี่ยนเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอเบ้ามองที่เย่ซวิ่น กล่าวว่า “ตั้งแต่ท่านพ่อของข้าตาย ท่านแม่ก็ไม่เคยระบายอารมณ์ออกมาเลย มันจะทำให้พังทลายย่ำแย่ได้”
เย่ซวิ่นชะงักงัน เป็นเวลานานได้กล่าวถามว่า “ท่านแม่ของเจ้าใช้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านแม่ไม่ชอบกินข้าว ไม่ชอบนอน ชอบจัดการกิจการราชการ”
เย่ซวิ่นเลิกคิ้ว แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ง่ายต่อการเหนื่อยล้านะสิ”
ซูเซี่ยนมาแล้วก็จากไป แม่นมซุยที่อยู่ด้านหลังกล่าวว่า “ให้องค์ชายหกออกมายุยงสร้างปัญหาบ่อนทำลาย วังหลังก็ไม่ได้หยุดพักแล้ว”
ดวงตาแดงก่ำที่มีน้ำตาคลอเบ้าเมื่อครู่นี้ได้แห้งเหือดไปแล้ว ใบหน้าเล็กขาวบอบบางภายใต้หิมะ เรียบเฉยนิ่งสุขุม กล่าวว่า “ก็ให้เขาเป็นอิสระเถิด ท่านแม่ก็นับว่าตีเขาจนจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ได้ระบายอารมณ์ก็ดี”
แม่นมซุยไม้รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
อากัปกิริยาของซูเซี่ยนดูเหมือนว่าจะเหมือนกับท่านพ่อเขามากขึ้น ท่าทางน่าสงสารที่อยู่ต่อหน้าเย่ซวิ่นเมื่อครู่นี้คิดๆดูแล้วเป็นการแสดง นึกถึงตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าเฉินเสียนไม่ร้องไห้และไม่โวยวาย จะมีการพรั่งพรูเผยอารมณ์ความรู้สึกต่อหน้าเย่ซวิ่นได้อย่างไร
เขาต้องการหลอกลวงให้เย่ซวิ่นออกมาจากพระตำหนักเย็นเพื่อก่อเรื่อง แต่เขาจะไม่รับผิดชอบผลจากการกระทำนี้
ค่ำคืนนี้ เฉินเสียนออกมาจากห้องตำราหลวง เดินอยู่บนเส้นทางที่มีหิมะหนาวเหน็บเพื่อทะลุไปที่พระตำหนักไท่เหอ
ระหว่างทางได้ยินเสียงการผิวปาก เธอชะงักฝีเท้า มองไปที่กลุ่มของหิมะ
“อยู่ทางนี้”มีเสียงหยอกล้อดังขึ้น
เฉินเสียนหรี่ตามอง เห็นชายผู้หนึ่งเอนกายพิงอยู่ใต้ต้นไม้ บนใบหน้ามีรอยยิ้มและกำลังเดินมาทางเธอ
รอจนเข้ามาใกล้เล็กน้อย เฉินเสียนถึงได้มองออกว่าคือผู้ใด เขาคือเย่ซวิ่น
เพียงแต่นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอ เขาเติบโตยิ่งละเอียดงดงามมากขึ้น เดินออกมาจากกลางหิมะ ราวกับออกมาจากภาพวาด ด้านหลังของเขาเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ยิ่งขับความงดงามของเขาให้เด่นขึ้น
“ใครให้เจ้าออกมา ”เฉินเสียนกล่าวถาม
“นี่ไม่ใช่ใกล้จะฉลองตรุษจีนแล้วหรือ ข้าออกมาเดินเล่น เมื่อก่อนท่านเคยรับปากข้า พอถึงวันเทศกาลสามารถออกมาได้ ท่านลืมแล้วหรือ?”
เฉินเสียนดึงสายตากลับมา เดินไปทางด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ทหาร เชิญองค์ชายหกออกไปเดินเล่นสถานที่อื่น”
เย่ซวิ่นถูกขวางไว้อยู่ทางด้านหลัง แต่ก็ยังเดินตามอยู่ เขายิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “พวกเราสองคนมิได้เจอกันนานแล้ว ท่านเชิญข้าดื่มกินชาร้อนหน่อยเถิดนะ”
“เจ้าอยากกินอะไร บอกให้พระตำหนักจัดเตรียม”
“แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากกิน สถานที่อื่นกลับไม่มี นี่ ครั้งก่อนเหล้าเย่เหลียงที่ท่านยึดจากข้าไปยังมีอยู่หรือไม่ ข้าคิดถึงเหล้าบ้านเกิดเมืองนอนนั่นมาโดยตลอด ”เย่ซวิ่นกล่าวอยู่ทางด้านหลังว่า “ข้าไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ไม่ว่าอย่างไรดื่มเหล้าบ้านเกิดเมืองนอนสักหน่อยก็ได้ไหมเล่า?”
เย่ซวิ่นหน้าด้านไร้ยางอายเดินตามไปที่พระตำหนักไท่เหอ ถือโอกาสตอนที่ทหารอารักขาไม่ได้เตรียมระวังตัว วิ่งขึ้นไปบนสะพานเล็กอยู่ทางฝั่งของพระตำหนักไท่เหอแล้ว
ซูเซี่ยนอนุญาติแนะนำให้เขาทำ ในพระตำหนักไท่เหอเลยไม่มีคนกล้าไล่เขาออกไป เขารู้สึกสดชื่น ครั้งแรกที่ได้มาสถานที่ที่เฉินเสียนพักอาศัยอยู่
บริเวณโดยรอบถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบ ในพระตำหนักไม่มีหิมะสั่งสมอยู่ คล้ายกับว่าอบอุ่นกว่าฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย
ในพระตำหนักไท่เหอยังมีเหล้าสับปะรดเป็นจำนวนมาก เฉินเสียนเคยเมาหนึ่งครั้ง ต่อมาก็กองรวมกันฝุ่นเกาะ
เฉินเสียนไม่ได้รั้งที่เขาไปเคลื่อนย้ายเหล้า แต่พอเขาเคลื่อนย้ายมาแล้วทว่าไม่ยินยอมกลับไป เปิดออกต่อหน้าของเฉินเสียนด้วย และเชิญเธอมาร่วมดื่มด้วยกัน
ส่วนตัวเย่ซวิ่นคิดว่า เธอต้องดื่มให้เมาถึงจะสามารถระบายอารมณ์ออกมาได้
เย่ซวิ่นดื่มไปแล้วหลายจอก มองเห็นจอกเหล้าที่อยู่ข้างมือเฉินเสียนไม่เคลื่อนไหวเลย ครั้นแล้วก็เอนตัวเคารพอยู่บนพื้นพรม กล่าวติดตลกขึ้นว่า“ไม่เจอกันนานเลย ท่านเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แม้แต่เหล้ายังไม่ดื่มเลย?”
เขาหวนรำลึกเมื่ออดีต กล่าวอย่างท้อแท้ว่า “นึกถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ครั้งนั้นที่อยู่พระตำหนักรับรอง ท่านเหมือนกับเสือตัวเมียที่เกรี้ยวกราด ก่อกวนสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้ ต่อมาท่านจับคว้าข้าไปจัดการตีในหิมะ ยังจำได้หรือไม่? ปีนี้เป็นเหมันตฤดูอีกแล้ว ด้านนอกเต็มไปด้วยหิมะ”
หากเธอยังคิดเช่นนั้น เขาก็ยังสามารถอยู่เป็นเพื่อนเธอได้
เย่ซวิ่นกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าท่านชอบเหล้าสับปะรดหรือ? ”เขารู้ว่าเธอชอบ เพราะฉะนั้นเมื่อสมัยนั้นที่เดินทางมาที่พระราชวังของต้าฉู่ เขานำมามากที่สุดนั่นก็คือเหล้า
เฉินเสียนมองเหล้าในจอก เหล้าเข้มข้นหอมละมุน ทันทีหลังจากนั้นได้ยกขึ้น วางบริเวณใกล้จมูกแล้วสูดดม ความหอมของเหล้าซึมซาบเข้าจมูก เดิมมันน่าจะหอมกรุ่นอย่างมากอยู่แล้ว แต่ตอนที่เธอกำลังจะดื่ม ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ เธอก็วางมันลง แล้วเทลงไปในเตา
ทันใดนั้นไฟก็ค่อยๆลุกขึ้น
เย่ซวิ่นไม่ถอดใจ เทเพิ่มให้เธออีกหนึ่งจอก