แม่บ้านจ้าวได้ยินก็รีบคุกเข่ากล่าวขึ้น “องค์หญิงได้โปรดอย่าไล่บ่าวไป คำพูดเช่นนี้ต่อไปนี้บ่าวจะไม่พูดอีกแล้วเพคะ บ่าวแค่คิดว่า สามารถรับใช้และให้องค์หญิงให้กำเนิดทารกได้อย่างปลอดภัย ในอนาคตหากองค์หญิงอยากตั้งหลักในจวนแม่ทัพ ไม่ว่าอย่างไรบ่าวก็จะทำอย่างสุดความสามารถเพคะ”
เฉินเสียนกล่าว “แม่นมจ้าวกล่าวได้หนักแน่น หากแม่นมจ้าวยืนกรานที่จะอยู่ที่สวนสระวสันตฤดู ข้าก็วางใจไม่น้อย”
แม่บ้านจ้าวอยากให้เฉินเสียนปักหลักในจวนแม่ทัพจากใจจริง กลายเป็นนายหญิงของบ้านสมชื่อ
หากมีวันหนึ่ง เธอกับฉินหรูเหลียงสองสามีภรรยารักใคร่กัน กำเนิดบุตร จวนแม่ทัพจะมั่นใจในตัวเธอ นั่นคงเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก!
แต่ตอนนี้เฉินเสียนปฏิเสธอย่างแน่วแน่ แม่บ้านจ้าวยังอยากอยู่สวนสระวสันตฤดูทำเรื่องต่างๆ ต่อ จึงทำได้เพียงเก็บความคิดเหล่านี้ไว้ในใจ
หากมีโอกาสในอนาคต นางต้องพยายามเพื่อให้มันเกิดขึ้น
“ข้าเหนื่อยแล้ว พยุงข้าเข้าไปพักผ่อนหน่อย” เฉินเสียนลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ให้อวี้เยี่ยนพยุงเข้าไปในห้อง
ทุกวันนี้ต้มยาอาหารบำรุงอย่างไม่หยุดหย่อน เฉินเสียนฟื้นตัวเกินครึ่งแล้ว หมอบอกว่าเธอสามารถเดินได้สองสามก้าวต่อวันเพื่อบรรลุจุดประสงค์ในการออกกำลังกาย
เซียงซั่นทำงานอย่างหนักด้านหลังสวน เหนื่อยทุกวันจนไม่มีเวลาหายใจ
นางต้องทำความสะอาดสวนเช้าและเย็น เวลาที่เหลือนางก็ซักเสื้อผ้าที่ซักไม่เสร็จ
ไม่เพียงเสื้อผ้าเจ้านายเท่านั้น ยังมีเสื้อผ้าของสาวใช้ระดับสูงในจวนและสาวใช้อื่นๆ อีก
สาวใช้ที่ทำงานทุกอย่างด้วยกันหลังสวนจงใจมอบงานซักผ้าให้นางทำ เดิมทีแล้วมีสาวใช้ซักผ้าสามคน อีกสองคนหายไปทันทีเมื่อถึงเวลาทำงาน
ถึงตอนนั้นหากงานซักผ้าไม่เสร็จ แม่เฒ่าเบื้องบนก็จะลงโทษเซียงซั่นเป็นคนแรก
เซียงซั่นไม่ได้เป็นสาวใช้ผู้โอหังอวดดีเป็นที่โปรดปรานเคียงข้างหลิวเหมยอู่อีกแล้ว ตอนนี้นางถ่อมตนเยี่ยงมด
แค่สัมผัสด้วยตัวเอง ถึงได้รู้ว่าตายทั้งเป็นมันทรมานมากเพียงใด
ที่นี่ นางห้ามอารมณ์เสีย ห้ามเกลียดใคร ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก มิเช่นนั้นแม่เฒ่าก็จะทรมานนางทุกวิถีทาง แค่สองวิธีนี้ก็มากพอแล้วสำหรับนาง
เซียงซั่นอยู่ตามลำพัง บางครั้งหลังสวนก็มีพวกสาวรับใช้ผ่านมา เห็นนางแล้วก็พากันหัวเราะเยาะ รอยแผลเป็นบนใบหน้านางน่าเกลียดอัปลักษณ์ เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
แม่เฒ่าตบตีและดุด่านาง แน่นอนว่านางรู้วิธีการ แม่เฒ่าต้องได้ประโยชน์จากหลิ่วเหมยอู่เป็นการส่วนตัว จงใจส่งมาทรมานนาง
วันทั้งวันนางก้มหน้าก้มตาซักเสื้อผ้า มือสองคู่เดิมทีขาวเนียนในขณะนี้กลายเป็นแดงและบวม นางทำได้เพียงก้มหน้า ถึงจะป้องกันไม่ให้แสงแดดแผดเผาใบหน้านาง
ในช่วงพลบค่ำมันไม่ร้อนขนาดนั้นแล้ว แสงทองแวววาวปกคลุมสวนเล็ก
เซียงซั่นยังซักไม่เสร็จ เหงื่อไหลซึมผ่านเสื้อผ้า เหงื่อไหลอาบแก้มจากหางตา รวมตัวกันที่ปลายจมูก จากนั้นก็หยดลงบนถังซักผ้า
ทันใดนั้น ข้างถังซักผ้า มีแสงเงาหนึ่งกดลงมาปกคลุมศีรษะนาง
ไม่ใช่แม่เฒ่า
รองเท้าคู่สวยหนึ่ง ปักลายตกแต่งชัดเจนด้านบน ปลายกระโปรงสีกากีไหลลงมา ขับให้ขาเรียวคู่นั้นบอบบางและเล็ก
เซียงซั่นมือสองข้างหยุดชะงัก สายตาอดไม่ได้ที่จะค่อยๆ เลื่อนจากรองเท้าคู่นั้นและปลายกระโปรงสีกากีขึ้นไป
แววตาเซียงซั่นค่อยๆ เลื่อนไปยังหน้าท้องตั้งตรง หยุดที่ใบหน้าสบายๆของเฉินเสียน เข้าไปในแววตาสงบนิ่งของเธอ
เซียงซั่นไม่อยากจะเชื่อ ในขณะเดียวกันก็กระวนกระวายใจอย่างยิ่ง นางไม่ได้มองผิด ผู้ที่มาไม่ใช่หลิ่วเหมยอู่ แต่เป็นเฉินเสียน
นางรักษาท่วงท่าเชิดเอาไว้ นั่งยองที่พื้นมองเฉินเสียนตลอดเวลา สองเท้าค่อยๆ ชาจนไม่รู้สึก
เฉินเสียนเปล่งเสียงถามขึ้นก่อน “จำไม่ได้แล้วหรือ?”
เซียงซั่นได้สติกลับมา กล่าวขึ้น “จำไม่ได้ได้อย่างไรเพคะ พระองค์มาหัวเราะเยาะหม่อมฉันล่ะสิเพคะ”
เฉินเสียนพยักหน้า กล่าวขึ้น “แน่นอน”
ผู้อื่นต่างตกใจรูปลักษณ์น่ากลัวของเซียงซั่น ล้วนอยู่ห่างนาง มีเพียงเฉินเสียนผู้เดียวที่จ้องใบหน้านางอย่างสงบนิ่งไม่แยแส
เพราะเฉินเสียนเหมือนนาง ครั้งหนึ่งเคยเสียโฉม ในขณะนี้ใบหน้าก็มีรอยแผลเป็นน่าเกลียดเช่นกัน
เฉินเสียนย่อตัวลงไป นิ้วบีบคางเซียงซั่น ยกใบหน้านางขึ้นเบาๆ ตรวจสอบครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้น “เจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับตัวเองด้วยซ้ำ ก็ไม่น่าแปลกใจ ผู้อื่นถึงไม่กล้าจ้องมองเจ้า”
เซียงซั่นตัวสั่นเล็กน้อย ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย กล่าวขึ้น “หม่อมฉันจะกล้ามองได้อย่างไร กลัวว่าส่องกระจกแล้วตัวเองจะฝันร้ายตอนกลางคืน!” นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำมองเฉินเสียน “หม่อมฉันเทียบพระองค์ที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจไม่ได้หรอกเพคะ!”
เฉินเสียนเลิกคิ้ว กล่าวขึ้น “เจ้าโหดร้ายกับตัวเองแบบนี้ เพราะความเกลียดชังงั้นหรือ? ”
เซียงซั่นตัวสั่น กัดปากกล่าว “ใช่เพคะ หม่อมฉันเกลียดมาก! แต่หม่อมฉันจะทำอย่างไรได้บ้างเพคะ?”
อวี้เยี่ยนนำม้านั่งมาให้เฉินเสียน เฉินเสียนค่อยๆ นั่งตรงหน้าเซียงซั่น กล่าวว่า “เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดี เจ้าไม่ผิด ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกข้าตอนที่โดนทำลายโฉมแล้วหรือยัง? ในตอนนั้นข้าโง่เขลา ความสิ้นหวังและการดิ้นรนของข้าพวกเจ้ามองเป็นเรื่องตลก ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ข้ากล่าวประโยคนั้นคืนแก่เจ้า สาวใช้อย่างเจ้า มีหน้าตาสวยไปทำไม ตกต่ำจนเป็นแบบนี้ สมควรเป็นสัตว์ประหลาดน่ารังเกียจ”
เซียงซั่นจ้องมองเฉินเสียน ในที่สุดก็ตอบสนอง กล่าวขึ้น “ที่แท้ก็ท่านนี่เองสินะเพคะ”
เฉินเสียนเข้าไปใกล้นาง กล่าวเสียงเบา “ข้าทำไม? ”
“ท่านวางแผนมาอย่างดีใช่ไหมเพคะ? ท่านจงใจทำหนังสือตก จงใจให้หม่อมฉันหยิบมันขึ้นมา จากนั้นก็ให้หม่อมฉันเสี่ยงอันตราย เลยพบจุดจบเช่นนี้!”
เฉินเสียนหรี่ตายิ้มจางๆ กล่าวขึ้น “เจ้าทนสิ่งล่อลวงไม่ไหวไม่ใช่หรือ? เจ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ได้ อยู่เคียงข้างเหมยอู่ในฐานะสุนัขรับใช้ผู้ภักดีต่อไป แต่เช่นนั้นเจ้าไม่เต็มใจ เพราะเจ้ากดอวิ๋นเอ๋อร์ไว้บนศีรษะยังไงล่ะ”
เซียงซั่นโกรธจัด ยกมือขึ้นจะทำร้ายเฉินเสียน
เฉินเสียนจับข้อมือนางได้อย่างว่องไว เหลือบมองแล้วกล่าว “เมื่อก่อนมือสวยๆ คู่นี้บัดนี้กลายเป็นน่าเกลียดเช่นนี้แล้วหรือ เซียงซั่น ข้าจะแนะนำเจ้า ควรหาข้อบกพร่องในตัวเจ้าเอง มิเช่นนั้นคราวหน้าสะดุดอีกครั้ง จะไม่มีใครดึงเจ้าไว้”
เซียงซั่นดิ้นรนอย่างหนัก เฉินเสียนปล่อยมือกะทันหัน นางควบคุมความสมดุลไม่ได้ ต่อมาจึงล้มพับลงบนพื้น
เฉินเสียนมองนางเงียบๆ แล้วกล่าวขึ้น “ข้าเคยบอกแล้วอนาคตอีกยาวไกล เจ้าไม่เชื่อคำพูดข้าหรือ”
เซียงซั่นกัดปากพูดขึ้น “พระองค์มาหัวเราะเยาะใส่หม่อมฉันมีประโยชน์อันใดหรือเพคะ หม่อมฉันเป็นแค่สาวรับใช้! พระองค์มีความสามารถก็ไปจัดการหลิ่วเหมยอู่สิเพคะ ตอนนั้นนายหญิงสั่งให้หม่อมฉันไปทำให้พระองค์เสียโฉม ทำไมพระองค์ไม่ไปหานางล่ะเพคะ!”
เซียงซั่นยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “หรือพระองค์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง? พระองค์กลัวนางหรือ? ”
เฉินเสียนหางตาตกลงมาทันที
สีหน้าเช่นนั้นราวกับไม่ควรปรากฏบนใบหน้าหญิงสาว ไม่ใช่ความเกลียดชังบ้าคลั่งในดวงตา เบาสบายเหมือนในอดีต วินาทีต่อมาก็เกิดลมพัด น่ากลัวอย่างไม่มีเหตุผล
เพียงครู่เดียว ใบหน้าเฉินเสียนก็มีรอยยิ้มอ่อนโยน กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเหมยอู่สั่งให้เจ้าทำ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป อีกอย่างมีเจ้าอยู่ ข้าต้องทำด้วยตัวเองหรือ”