แม่นางผู้นั้นจึงได้ตอบกลับไปอย่างละอายใจว่า : “เพราะหม่อมฉันรีบเพคะ หากกลับไปช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ประตูเมืองก็จะปิดแล้ว เช่นนี้ก็ไม่สามารถกลับไปได้เพคะ”
แม่นางผู้นี้คือคนเดียวกับคนที่เคยช่วยรักษาอาการป่วยของเฉินเสียนเมื่อนานมาแล้ว ท่านปู่ของนางเคยเป็นหมอหลวงรักษาพระองค์ในวังของราชวงศ์ก่อน ฝีมือการแพทย์ของเขานั้นไม่ธรรมดา ซูเจ๋อเองก็ได้เคารพนับถือเขาด้วย
เฉินเสียนยังคงรู้สึกขอบคุณปู่หลานสองคนนี้อยู่เสมอ คนหนึ่งเคยช่วยรักษาเธอ ส่วนอีกคนเคยช่วยรักษาซูเจ๋อ
ทหารรักษาพระองค์ที่คอยอารักขาเฉินเสียนล้วนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นท่าทีที่สนิทสนมและคุ้นเคยของเฉินเสียนกับแม่นางผู้นี้แล้ว ก็ได้แต่รีบเดินทางกลับวังหลวงอย่างระมัดระวังต่อ
แม่นางผู้นั้นที่ทำตัวไม่ค่อยถูก ไม่รู้จะพูดอะไรดี เฉินเสียนจึงถามขึ้นเบาๆ ว่า : “ให้ข้าส่งเจ้ากลับไปที่โรงยาเดิมหรือเปล่า?”
“เข้าเมืองแล้ว ฝ่าบาทปล่อยหม่อมฉันลงก็พอแล้วเพคะ หม่อมฉันกลับเองได้” นางจะไปกล้าบังอาจให้องค์จักรพรรดินีส่งนางกลับบ้านได้อย่างไรกัน หากท่านปู่ของนางรู้เรื่องเข้าล่ะก็ มีหวังจับนางมาตีตายแน่ๆ
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ” เธอเหลือบไปดูตะกร้ายาสมุนไพรของแม่นางผู้นี้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้พูดขึ้นต่อว่า : “ดูแล้ววันนี้เจ้าคงเก็บเกี่ยวได้เยอะไม่น้อย”
แม่นั้นผู้นี้ได้คุยกับเฉินเสียนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเฉกเช่นเมื่อก่อน นางไตร่ตรองทุกคำพูดก่อนจะพูดออกมาอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจบดบังนิสัยใจคอที่แท้จริงของนางได้ นางเป็นคนปากไวและใจซื่อ เมื่อแอบเหลือบมองไปยังซูเซี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยนั้น ก็ได้พูดขึ้นอย่างไม่ทันระวังว่า : “หน้าตาเหมือนใต้เท้าซูไม่มีผิด!”
เมื่อพูดออกไปแล้ว แม่นางผู้นั้นก็พึ่งรู้สึกว่าตัวนางเองได้พูดคำพูดที่ไม่ควรพูดออกมาจนได้ แต่เฉินเสียนไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ซูเซี่ยนเองก็ไม่ได้สนใจมากมาย
เมื่อถึงโรงยาแล้ว เฉินเสียนก็ได้เข้าไปทักทายกับท่านผู้อาวุโส ท่านผู้เฒ่าเองรู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมากที่เธอมาส่งหลานสาวของเขากลับมาอย่างปลอดภัยด้วยตัวเอง จึงได้เชื้อเชิญให้เธอเข้าไปนั่งพักในโรงยาก่อน
แม่นางรีบไปชงชายามค่ำด้วยความตื่นเต้นและดีอกดีใจ เฉินเสียนได้พาซูเซี่ยนเข้าไปนั่งในโรงยาด้วย
เฉินเสียนยังจำได้ ครั้งแรกที่เธอลืมตาขึ้นในมิตินี้ ก็ถูกรักษาตัวอยู่ในห้องของโรงยาแห่งนี้ เมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้ง ลึกๆ ในใจก็ยังมีความรู้สึกเสียดายอยู่ไม่มากก็น้อย
ไม่เสียทีที่ขึ้นชื่อว่าโรงยา เพียงแค่ก้าวเข้าประตูมา ก็ได้กลิ่นหอมของยาสมุนไพรอบอวลไปทั่ว ในห้องมีหนังสือตำราอยู่มากมายวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เป็นหนังสือตำราที่เฉินเสียนไม่เคยเห็นในสำนักหมอหลวงมาก่อน
ท่านผู้เฒ่ามองซูเซี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้พูดขึ้นว่า : “องค์ชายใหญ่ขยับเข้ามาใกล้อีกได้หรือไม่ ขอให้กระหม่อมได้ตรวจดูหน่อย”
ซูเซี่ยนเดินเข้าไปใกล้ ท่านผู้เฒ่าได้จับชีพจรของเขา แล้วจึงได้ถามขึ้นว่า : “ผลข้างเคียงของยาแกล้งตายที่ทำร้ายร่างกาย รักษามาหลายปีคาดว่าคงจะหายดีแล้ว แต่เหตุใดร่างกายถึงยังอ่อนแอเช่นนี้ พึ่งป่วยรอบใหม่หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูเซี่ยนพยักหน้าเบาๆ
เฉินเสียนก็ได้ถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า : “ท่านผู้อาวุโสรู้เรื่องยาแกล้งตายด้วยหรือ?”
ท่านผู้เฒ่าจึงได้ตอบกลับไปว่า : “กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไรเล่า ยานั่นเป็นยาที่กระหม่อมและใต้เท้าซูใช้เวลาหลายคืนวันในการศึกษาคิดค้นออกมา ใต้เท้าซูจำเป็นต้องใช้ยานั้นเพื่อช่วยชีวิตของเด็กน้อย กระหม่อมมิกล้าประมาทเลินเล่อพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
จากนั้น ท่านผู้เฒ่าก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิธีการรักษาและยาที่ควรทานให้กับซูเซี่ยน เป็นแนวทางการรักษาที่สูงส่งและชัดเจนมากกว่าหมอหลวงในวังรวมถึงเฉินเสียนเป็นไหนๆ
เฉินเสียนอ่านสูตรวิธีการรักษาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้พูดขึ้นอย่างสุขุมว่า : “วิชาการแพทย์ของท่านผู้อาวุโสสูงส่งและล้ำลึก สุขภาพของท่านดีร่างกายก็ยังแข็งแรง ไม่ทราบว่าท่านยังอยากจะกลับไปเป็นหมอหลวงรักษาพระองค์อีกครั้งหรือไม่?”
ท่านผู้เฒ่าได้ปฏิเสธพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาของฝ่าบาท น่าเสียดายที่กระหม่อมชรามากแล้ว เกรงว่าจะไม่สามารถถวายงานได้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
จิบชาอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่เฉินเสียนเตรียมจะพาซูเซี่ยนจากไปนั้น เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงของท่านผู้เฒ่าถอนหายใจ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “อัครเสนาบดีซู ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของกระหม่อม เขามีพรสวรรค์ที่สูงส่งและยังชาญฉลาดเหนือผู้อื่นใด”
เฉินเสียนได้หยุดชะงักฝีเท้าลง
ท่านผู้เฒ่าได้ถามขึ้นว่า : “ฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่เขาเคยป่วยหนักหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ผ่านไปเนิ่นนาน เฉินเสียนก็ได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า : “ข้าไม่เคยรู้เลย”
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น คนที่พยายามแข็งแกร่งเช่นเขา สิ่งที่เขาไม่อยากให้ฝ่าบาททรงรับรู้ที่สุดก็คือการที่เห็นว่าเขาป่วย แม้ว่าจะเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก็ยังจะฝืนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ทำเรื่องสุดท้ายในชีวิตให้เสร็จสิ้น” ท่านผู้เฒ่าถอดถอนลมหายใจ แล้วพูดขึ้นต่อว่า : “นี่เป็นบุญวาสนาของราชอาณาจักรต้าฉู่ และก็เป็นความโศกเศร้าที่น่าอนาถใจของเขาด้วยเช่นกัน”
แสงสว่างเปลวไฟจากเทียนกระทบลงบนใบหน้าของเฉินเสียน เธอหรี่ตาลงต่ำ แววตาท่วมท้นไปด้วยความโศกเศร้าและเสียใจอย่างที่สุด
ท่านผู้เฒ่าได้พูดขึ้นว่า : “เขามุ่งมั่นทำงานอย่างหนักมาหลายปี จึงทิ้งผลข้างเคียงไว้ไม่น้อย เมื่อเริ่มป่วย ก็ป่วยเรื้อรังไปทั่วทั้งตัว กระหม่อมเคยโน้มน้าวให้เขารักษาอาการป่วยก่อน บางทีอาจจะสามารถยืดอายุได้อีกหลายปี แต่เขานั้น……ไม่ได้นำมาใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว”
เฉินเสียนจูงมือของซูเซี่ยน ไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่มืออีกข้างในแขนเสื้อนั้นได้กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามือ
ท่านผู้เฒ่าที่เศร้าเสียใจ เขาได้พูดขึ้นต่อว่า : “อาการป่วยของเขาแย่ลงเรื่อยๆ อาจจะเป็นอาการบาดเจ็บเก่าที่ศีรษะของเขา หรืออาจจะเป็นเพราะความผิดปกติของอวัยวะภายในของเขา ไม่ว่าอย่างไร สาเหตุที่ทำให้เขาอาการทรุดหนักนั้นช่างมีมากมายเสียเหลือเกิน เขารู้ว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่ก็ฟุ่มเฟือยอย่างบ้าคลั่ง ไม่ถนอมร่างกายเช่นนี้ คนหนุ่มสาวเอ๋ย ดื้อรั้นจนน่ากลัว เมื่อใช้ชีวิตจนอายุเท่ากระหม่อมแล้ว จึงจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้”
“ผู้ล่วงลับจากไปไม่หวนคืน แต่คนที่มีชีวิตยังคงต้องอยู่ต่อ” ท่านผู้เฒ่ามองไปยังแผ่นหลังของเฉินเสียนและซูเซี่ยน : “ฝ่าบาทควรพยายามรักษาสิ่งที่เขาปกป้องหวงแหนและแลกมันด้วยแรงกายและชีวิต ขุนเขาและแม่น้ำแห่งราชอาณาจักรต้าฉู่ องค์ชายใหญ่ และตัวฝ่าบาทเอง”
ท่านผู้เฒ่าเดินไปจัดของตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย ก็ได้พูดขึ้นพึมพำต่ออีกว่า : “อายุมากแล้ว ขี้บ่นเป็นธรรมดา ฝ่าบาทอย่าได้ถือสาคนชราอย่ากระหม่อมก็พอ เรื่องมันผ่านไปแล้ว กระหม่อมไม่ควรจะพูดถึงโดยแท้”
ความสงสัยที่เก็บมาเนิ่นนาน เธอถามตัวเองว่าเพราะอะไรมานับครั้งไม่ถ้วน นี่ถือเป็นคำตอบที่กระจ่างชัดเจนที่สุดแล้วกระมัง
แต่ว่ามันสายไปเสียแล้วนี่นา
อยากให้คนข้างใจอายุยืนร้อยปี มัวแต่อธิษฐานขอพรจากสรวงสวรรค์นั้น มันไม่สามารถเป็นจริงได้เลย สวรรค์งานยุ่งขนาดนั้น จะมาได้ยินได้อย่างไรกัน
ฉะนั้น หากอยากจะปกป้องดูแลคนข้างๆ ล้วนแต่จะต้องพึ่งความพยายามของตัวเองทั้งนั้น
เธอจะต้องถนอมทุกสิ่งทุกอย่างที่ซูเจ๋ออยากจะปกป้อง เธอจะทำให้ราชอาณาจักรต้าฉู่ รุ่งโรจน์ก้าวหน้า เธอและซูเซี่ยนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหวัง หากว่ามันเป็นความตั้งใจของซูเจ๋อ
เฉินเสียนหันกลับไปมองท่านผู้เฒ่า ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดถึงซูเจ๋อ เธอเพียงพูดขึ้นว่า : “แม้จะบอกว่าท่านผู้อาวุโสจะอายุชรา สำหรับท่านผู้อาวุโสแล้วงานในสำนักหมอหลวงนั้นถือว่าหนักเกินไป แต่หมอหลวงในสำนักของข้า ไม่มีผู้ใดมีฝีมือความรู้เทียบเทียนกับท่านผู้อาวุโสเลย ข้าจึงอยากให้เวลาที่ท่านผู้อาวุโสว่างเว้นนั้น เข้าไปสอนและให้ความรู้เรื่องการแพทย์ให้แก่หมอหลวงในวังบ้าง”
ท่านผู้เฒ่านิ่งไปครู่หนึ่ง สิ่งที่น่าปลื้มใจที่สุดก็คือการที่ไม่ได้เห็นความเศร้าโศกใดๆ บนตัวเธอเลย
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ทักษะการแพทย์ที่ข้าเคยได้ร่ำเรียนมา เมื่อเทียบกับท่านผู้อาวุโสแล้ว ก็ไม่นับประสาอะไรเลย ท่านผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ของเขา ข้าอยากที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่เขาเคยร่ำเรียนมา” เธอมองไปยังหนังสือตำราการแพทย์ที่เรียงรายอยู่เต็มห้องนั่น : “ไม่เพียงแค่เท่านี้ ข้ายังอยากได้หนังสือเหล่านี้ด้วย”
ท่านผู้เฒ่าจึงได้พูดขึ้นว่า : “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หนังสือตำราเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่กระหม่อมศึกษามาชั่วชีวิต”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “หากท่านผู้อาวุโสเมตตา ยินยอมที่จะสอน ข้าจะขอคัดสำเนาหนึ่งฉบับ”
เมื่อกลับวังหลวงแล้ว ในขณะที่อวี้เยี่ยนกำลังปรนนิบัติรับใช้เฉินเสียนอยู่นั้น ก็ได้สังเกตเห็นมีเลือดออกจากแผลที่กลางฝ่ามือของเธอ จึงรีบถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า : “ฝ่าบาททรงไปทำอย่างไร ถึงได้แป็นแผลเช่นนี้มาเพคะ?”
เฉินเสียนหันไปมองด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คงจะไปโดนอะไรบาดเข้ากระมัง ไม่ได้ระวัง อีกวันสองวันก็คงจะหาย”
วันถัดมาท่านผู้เฒ่าก็ยังไม่ยอมเข้ามาที่สำนักหมอหลวง แต่หลานสาวของเขาได้แอบเข้ามาแทน และได้นำหนังสือตำราการแพทย์มาให้เฉินเสียนหนึ่งเล่ม
ประสิทธิภาพการจัดการงานราชกิจที่เฉินเสียนดำเนินนั้นดีขึ้นมาเรื่อยๆ โดยปกติหลังจากที่ทานมื้อเที่ยงแล้ว ช่วงบ่ายเฉินเสียนก็มักจะมาอ่านตำราการแพทย์และทำการคัดสำเนา