เฉินเสียนกล่าว “ข้าทำสัญลักษณ์สีแดงนั่นไว้คือเมืองใหญ่ที่ร่ำรวยที่สุดของเย่เหลียงทั้งหมด ข้าอยากให้เจ้าเข้าไปในอาณาเขตของพวกเขา โดยเริ่มจากการค้าขายในสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดก่อนอาทิเช่น อาหารแห้งและน้ำมัน เพื่อให้เจ้าตั้งหลักให้มั่งคง จากนั้นที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเจ้าในการแสดงความสามารถแล้ว การรวมรวบทรัพย์สินโดยมิชอบนั้นเป็นจุดแข็งของเจ้า มีต้าฉู่เป็นกองหนุนให้ เจ้าไม่มีอะไรที่ต้องเกรงใจ ”
เหลียนชิงโจวตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างจริงใจ เป็นจริงดั่งที่ว่าต้องเต็มที่จริงใจกับคนอื่นเพื่อนเส้นทางที่กว้างขึ้นในอนาคต ที่แท้ความหอมหวานมักจะมาอยู่ในตอนท้ายเสมอ เขามองไปที่แผนที่แล้วก็เอ่ยถามไปด้วยว่า“เหตุใดฝ่าบาทถึงได้เข้าใจเศรษฐกิจของเย่เหลียงได้ชัดเจนยิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าว“ต้องขอบใจเย่ซวิ่น ถ้าเสด็จพ่อของเขารู้ก็คงโกรธแค้นเป็นแน่”
ครั้งที่แล้วเมื่อตอนที่อยู่พระตำหนักไท่เหอเย่ซวิ่นนั้นดื่มเหล้าจนเมามาก พูดทุกสิ่งอย่างที่ตัวเองรู้ให้กับเฉินเสียนฟัง กลับไม่คิดว่าเฉินเสียนจะจำคำพูดนั้นไว้ในใจมาตลอด
การแข่งขันระหว่างสองอาณาจักรนั้นไม่จำเป็นต้องก่อสงคราม แต่เป็นการเริ่มจากเจาะเข้าไปในฐานเศรษฐกิจ ถ้าเกิดเหลียนชิงโจวตั้งรกรากมั่นคงในเย่เหลียงได้แล้ว อนาคตเย่เหลียงก็ไม่อาจกล้าที่จะก่อสงครามอย่างง่ายดาย เพียงแต่ถ้าคิดจะถอนรากถอนโคนต้าฉู่ เย่เหลียงนั้นก็ต้องประสบปัญหาที่วุ่นวายเสียก่อน
เฉินเสียนกล่าว“ทางฝั่งเย่เหลียง มีเรื่องอะไรเจ้าก็ไม่ต้องออกหน้า ต้องระวังระวังความปลอดภัยไว้ก่อน”
เหลียนชิงโจวกล่าว“ถึงอย่างไรก็ต้องไปสำรวจเส้นทางที่เย่เหลียงด้วยตัวเองก่อนสักครั้ง ”
“ก่อนปีหน้าเจ้ากลับมาทันหรือไม่ ข้าหวังว่าต่อไปนี้เจ้าจะกลับเข้ามาในเมืองหลวงให้บ่อยขึ้น เจ้าเป็นตัวแทนของข้า ข้าคงไม่ได้ถึงข่มขู่เจ้าจนทำให้เจ้าไม่กล้ากลับบ้านนะ ”
เหลียนชิงโจวหัวเราะแล้วกล่าวว่า“เมื่อก่อนนั้นการค้ายุ่งมากจริงๆพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้ว ข้าน้อยจะพยายามกลับมาก่อนปีหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนยังถามขึ้นว่า“แล้วภรรยาคนใหม่ของเจ้า จะพาไปด้วยหรือไม่?”
เหลียนชิงโจวเงียบไปสักครู่ ก็พูดขึ้นว่า“การเดินทางนั้นแสนลำบาก แล้วไม่ได้ไปเพื่อที่จะเสวยสุข ข้าน้อยก็คงจะให้นางได้อยู่ที่บ้านพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนพยักหน้าแล้วพูดว่า“ข้าจะช่วยเจ้าดูแลให้เอง พูดแล้วข้าก็ยังไม่เคยได้เจอนางเลย”
“ต่อไปภายหน้าต้องมีโอกาสได้พบพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเหลียนชิงโจวกำลังจะทูลลาออกไป เฉินเสียนก็รีบเอ่ยปากขึ้นทันทีว่า“จิ้งจอกเหลียน”
เหลียนชิงโจวหันหลังกลับมา
เฉินเสียนพูดด้วยเสียงเบาว่า“เคยมีคนกล่าวไว้ว่า การร่ำรวยในประเทศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี เจ้าควรจะเรียนรู้คำสั่งสอนจากเขาไว้”
เหลียนชิงโจวเงียบไป แล้วเอ่ยว่า“ข้าน้อยจะจดจำคำสั่งสอนเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อตอนที่สารของท่านอ๋องมู่ได้ส่งมาถึงยังฉู่จิง ก็เป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นวสันตฤดูในเดือนที่สองพอดี ถึงแม้ว่าจะคงเป็นช่วงเวลาที่อากาศยังเย็นอยู่ แต่นั่นก็ไม่สามารถต้านทานสรรพสิ่งต่างๆให้กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้งหนึ่ง
ดอกมะลิที่ริมฝั่งทั้งสองของแม่น้ำหยางชุนได้เริ่มผลิดอกออกใบแล้ว บรรยากาศที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยอยู่จางๆทำให้ร่างกายและจิตใจคนนั้นเบิกบานมีความสุข
เหลียนชิงโจวเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากวังไป ผู้ส่งสารนั้นก็เข้าก้าวเท้าวังมาพอดี
ในตอนแรกเฉินเสียนนั้นก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก เพราะว่าเป็นสารที่ท่านอ๋องมู่นั้นได้ส่งมาเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่สารของทางเป่ยเซี่ย และเธอยังคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอและท่านอ๋องมู่นั้นก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
เมื่อเฉินเสียนได้รับสารฉบับนั้นแล้ว เธอเริ่มจากการแกะตราประทับขี้ผึ้งบนซองจดหมายออก ดึงกระดาษข้างในออกมาคลี่เพื่อเปิดอ่านเนื้อหาข้างใน
เมื่อได้อ่านครั้งแรก จากเดิมที่มีสีหน้าเรียบเฉยก็แปรเปลี่ยนไปเป็นแข็งทื่อทันที ในดวงตานั้นมีแสงสว่างสลัวๆ กระดาษจดหมายนั้นราวกับจักจั่นที่กำลังกระพือปีกในคิมหันตฤดู
สายตาของเฉินเสียนเลื่อนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะอ่านยืนยันเนื้อหาในสารนั่นอีกครั้ง เธอกดเสียงต่ำถามออกมาว่า“ตอนนี้ท่านอ๋องมู่ของพวกเจ้าไปอยู่ที่ใด?”
ผู้ส่งสารเอ่ย“ข้าน้อยรีบมาส่งสาร ดังนั้นข้าน้อยจึงไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทหาร เชิญผู้ส่งสารไปพักผ่อนสักหน่อย ข้าจะตอบสารทันที”
เฉินเสียนร้อนลนรีบวางกระดาษจดหมายนั่นวางแผ่บนโต๊ะ เธอก็น่าจะเหมอลอยไปกับเรื่องเก่าในอดีต พู่กันในมือถูกจุ่มน้ำหมึกจนสึกหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือเขียน น้ำหมึกบนปลายพู่กันก็กระจายอยู่บนกระดาษจดหมายแล้ว
มือของเธอสั่นเทา ถึงแม้ว่ามีมืออีกข้างจับข้อมืออย่างระมัดระวังไว้อยู่ แต่อาการสั่นนั้นก็ยังไม่หายไป
สุดท้ายเฉินเสียนก็ไม่รู้จะเขียนอะไรออกมา แต่กลับทำกระดาษจดหมายนั้นเลอะเทอะไปหมด จนเธอต้องมีรับสั่งออกไปว่า“ไปตามเฮ่อโยวมาเข้าเฝ้าข้าประเดี๋ยวนี้”
เฮ่อโยวรีบเข้าวัง เมื่อได้เห็นเฉินเสียนกำลังนั่งเขียนพระราชโองการอยู่บนโต๊ะเอกสารราชการ แต่ว่าพระราชโองการนั้นกลับว่างเปล่า
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขา ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมา เธอก็หัวเราะขึ้นมาก่อนจนดวงตามีความชุ่มชื้นของน้ำน้ำตา จึงทำให้เฮ่อโยวตกตะลึง นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเฉินเสียนสูญเสียการควบคุมเช่นนี้
เฉินเสียนกวักมือเรียกเขา แล้วเอ่ยว่า“มานี่เร็ว มาเขียนแบบร่างพระราชโองการแทนข้าที วันนี้ข้ามือสั่นเลยเขียนไม่ออกสักคำ”
เฮ่อโยวก้าวเท้าไปด้านหน้าอย่างไม่ประมาท แล้วนำพู่กันจุ่มน้ำหมึกอีกครั้ง และเริ่มเขียนแบบร่างพระราชโองการตามที่เฉินเสียนสั่ง
เธอต้องการเขียนพระราชโองการเกี่ยวกับการแต่งตั้งมกุฎราชกุมาร โดยแต่งตั้งให้องค์ชายใหญ่ซูเซี่ยนได้เป็นมกุฎราชกุมาร
เฮ่อโยววางพู่กันในมือลง แล้วเอ่ยว่า“นามสกุลของมกุฎราชกุมารคือซู เป็นนามสกุลของขุนนาง การเขียนพระราชโองการเช่นนี้ไป เกรงว่าขุนนางทั้งหลายจะคัดค้านเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าว“ข้ามีแค่องค์ชายเพียงคนเดียว ถึงแม้เหล่าขุนนางจะคัดค้านก็ไม่มีทางเลือก ”
เฮ่อโยวกำลังลังเลอยู่สองจิตสองใจ แต่ก็ยังเอ่ยขึ้นว่า“องค์ชายใหญ่เป็นผู้สืบสานความชอบธรรม ความหมายของกระหม่อมหมายถึงนามสกุลนี้……”
“ขุนนางทั้งหลายจะคัดค้านก็คัดค้านไป ถึงอย่างไรช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้เห็นจนทำให้ต้องรำคาญใจอยู่แล้ว”
“ฝ่าบาทจะเสด็จประพาสต้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“อ่า”
“เสด็จไปไหนพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไปชายแดน”เฉินเสียนกล่าว“วันนี้ข้าจะจัดวางกิจราชให้เสร็จ แล้วพรุ่งนี้จะออกเดินทาง”
เธอพูดออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เขาพูดแทรกขึ้นมาได้
แต่เฮ่อโยวนั้นก็ยังคงสงสัยอยู่ จะเสด็จประพาสต้นก็เสด็จไป แต่เรื่องการแต่งตั้งมกุฎราชกุมารในตอนนี้มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ องค์ชายใหญ่เพิ่งจะมีพระชนมพรรษาเพียงแค่เจ็ดพรรษาเท่านั้นเอง
เฉินเสียนรีบถามขึ้นว่า“เฮ่อโยว เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่?”
เฮ่อโยวสะดุ้ง แล้วหันไปมองเฉินเสียน
เฉินเสียนนำสารที่ได้จากเป่ยเซี่ยให้เฮ่อโยวดู หลังจากที่เฮ่อโยวได้อ่านแล้วก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ เหมือนกับเธอในตอนแรก จึงได้อ่านเนื้อหาในจดหมายนั้นซ้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
สารนี้เป็นสารจากท่านอ๋องมู่ของเป่ยเซี่ย เป็นข่าวคราวเกี่ยวการยังมีชีวิตอยู่ของซูเจ๋อ และขอเชิญเฉินเสียนให้เสด็จไปที่ชายแดนระหว่างของสองอาณาจักร
เฮ่อโยวรู้สึกเหลือเชื่อ แล้วเอ่ยว่า“ท่านอ๋องมู่ผู้นี้เชื่อถือได้หรือพ่ะย่ะค่ะอาจจะเป็นการหลอกลวง ถ้าหากว่าเขาจะล่อให้ฝ่าบาทเสด็จไปที่ชายแดนแล้วไม่เกิดผลดีต่อฝ่าบาท…… ”
เฉินเสียนกล่าว“ข้าเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ถึงเขาตายแล้วดีกว่ามาให้ความหวังริบหรี่กับคนอื่น”
มิน่าล่ะเธอถึงได้รีบแต่งตั้งมกุฎราชกุมาร และถึงแม้ว่าท่านอ๋องมู่ของเป่ยเซี่ยจะวางแผนหลอกล่อให้เธอไป เธอก็ต้องเดินทางไปที่นั้นอย่างแน่นอน
นั่นเป็นเหมือนกับการได้กอบกู้แสงสว่างของเธอคืนมา
เฉินเสียนลงตราประทับหยกบนพระราชโองการ แล้วเอ่ยว่า“เจ้าวางใจเถิด เป่ยเซี่ยและต้าฉู่ต่างอยู่ในความสงบ พวกเขาคงไม่ใช่วิธีนี้ริเริ่มความขัดแย้งหรอก”
“แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงรีบแต่งตั้งมกุฎราชกุมารหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เฮ่อโยถาม
“ข้าเพียงแค่ไม่รู้ว่าข้าจะได้กลับมาเมื่อใด กิจราชการในราชสำนักจะปล่อยให้ว่างไม่ได้ ถ้าเกิดข้าไม่ได้กลับมา ข้าขอสั่งให้เจ้าเป็นผู้ช่วยมกุฎราชกุมารปกครองบ้านเมือง”
เฮ่อโยวโค้งคำนับแล้วเอ่ยว่า“กระหม่อมจะไม่พูดตักเตือนฝ่าบาทก็ไม่ได้ ฝ่าบาทต้องระวังการหลอกลวง ต้องคิดให้รอบคอบก่อนแล้วค่อยตัดสินพระทัยนะพ่ะย่ะค่ะ”
อำนาจการทหารของต้าฉู่ถูกรวบรวบอยู่ในมือของเฉินเสียนทั้งหมดแล้ว เธอไม่กังวลใจที่เธอจะออกจากพระราชวังแล้วจะทำให้ต้าฉู่เกิดเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น อีกอย่างสองปีที่ผ่านมานี้ต้าฉู่นั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ประชาชนสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวให้เกียรติจักรพรรดินีอย่างยิ่ง ไม่มีใครจะสามารถจัดการกับอำนาจการปกครองประเทศที่แข็งแร่งขึ้นทุกๆวันของเธอได้
ถึงอย่างไรบนโลกใบนี้ก็ไม่มีซูเจ๋อคนที่สอง
เมื่อจัดวางกิจราชการในราชสำนักเสร็จ ก็จัดวางกำลังเหล่าองครักษ์เพื่อป้องกันเมืองหลวง เฉินเสียนได้สั่งให้ขุนนางนำเย่ซวิ่นกลับไปขังไว้ที่พระตำหนักเย็นเหมือนเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาสร้างปัญหาในวังหลังตอนที่เธอไม่อยู่
เฉินเสียนไปรับซูเซี่ยนที่โรงเรียนไท่กลับพระตำหนักไท่เหอด้วยตัวเอง เมื่อกลับมาถึงพระตำหนักแล้วเธอก็โอบกอดซูเซี่ยนเอาไว้เป็นเวลานาน
เนื่องจากซูเซี่ยนถูกเธอกอดไว้ จึงพูดเพียง“วันนี้ท่านดูแปลกไป”
เฉินเสียนก้มศรีษะลงไปซบที่ไหล่น้อยๆของเขา พูดด้วยเสียงในลำคอว่า“วันนี้แม่ได้รับสารจากเป่ยเซี่ย พูดถึงข่าวคราวของท่านพ่อเจ้า”