เฉินเสียนหลับตาลง ฝืนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจัดการได้ แค่ท่านไม่ต้องออกมาก็พอแล้ว” เมื่อพูดจบก็หันหลังเดินออกมา
เธอคิดไปเองว่า เธอและจักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดและไม่มีมิตรภาพที่จะพูดถึง แต่ท้ายที่สุด ซูเจ๋อและเขามีความเกี่ยวข้องกัน เธอจึงต้องไว้หน้าเขาบ้าง เธอไม่ต้องการให้ซูเจ๋อเห็นว่าเธอแข็งกระด้างไม่ก้มหัวให้ใคร หรือเธอกลัวว่าเขาจะไปอยู่ฝั่งเดียวกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ย?
หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
เขาจำอดีตไม่ได้ แล้วเขาจะปกป้องเธอเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไร
ถึงอย่างไรเขาในตอนนี้ก็แตกต่างจากอดีตเล็กน้อย
เฉินเสียนไม่ต้องการที่จะยอมรับว่าจริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันอย่างมาก เธอกลัวว่าเมื่อยอมรับแล้วเธอจะท้อแท้และหดหู่ใจ
จักรพรรดิแห่งเป่ยเซี่ยสั่งให้นางกำนัลทั้งหมดออกไปจากเรือน และยืนอยู่เพียงลำพังในภายในเรือน ดูสง่างามและสูงส่ง และรัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวของเขานั้นแพร่ออกไปหลายสิบกิโลเมตร
เมื่อเฉินเสียนออกไป เธอปิดประตูและเงยหน้าไปเห็นว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยมองมาที่เธอ ดวงตาของเขาเฉียบแหลมและชัดเจน
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านเป็นจักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ แต่กลับมาอยู่ที่เป่ยเซี่ยไม่ไปไหน และเข้าออกจวนท่านอ๋องรุ่ยทุกวัน เฉินเสียน ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
เฉินเสียนกล่าว “ท่านรู้ว่าข้าต้องการมาทำอะไร”
“งั้นข้าบอกท่านไว้ตอนนี้ว่าท่านไม่มีวัน ข้าในนามของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ข้าไม่มีวันให้ท่านนำตัวท่านอ๋องไปไหนทั้งนั้น ส่วนในนามที่ข้าเป็นพ่อของเขา ข้ายิ่งไม่ต้องการให้ท่านนำตัวลูกชายของข้าไป!”
เขาเดินออกห่างจากเฉินเสียนไปเพียงไม่กี่ก้าว ความกดดันของเขาก็ปรากฏขึ้นทันที และเขากล่าวว่า “ถ้าท่านคิดได้แล้ว ท่านก็รีบกลับไปต้าฉู่ของท่าน และไม่ต้องกลับมาหาเข้าอีก”
เฉินเสียนมองตรงไปยังจักรพรรดิเป่ยเซี่ยด้วยความดื้อรั้นในสายตาของเธอและกล่าวว่า “หากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหัวเราะด้วยความโกรธ
“ท่านจะลองดีงั้นหรือ เด็กเมื่อวานซืนอย่างท่านไม่เห็นโลงศพน้ำตาไม่ไหล” จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหันหลังแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันกลับมาพูดอย่างไร้ความปรานี “เสด็จพ่อของท่านจากไปเร็ว เลยทำให้ท่านขาดการสั่งสอนอบรม อย่าฝืนทำอะไรที่มันเกินตัวท่าน องค์ชายของเป่ยเซี่ยไปตกระกำลำบากที่ต้าฉู่ ถึงแม้จะบอกว่าเสด็จพ่อของท่านมีพระคุณช่วยชีวิตเขาไว้ แต่เขาก็ช่วยท่านวางแผน ช่วยท่านทุกอย่างในการให้ต้าฉู่กลับมาสงบสุขเรียบร้อยขึ้นอีกครั้ง คอยเป็นวัวเป็นควายรับใช้ท่าน ช่วยให้ท่านได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดินี จนศึกสุดท้ายต้องมาตายในสนามรบ!”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเข้ามาใกล้เฉินเสียนและถามว่า “หรือท่านยังคิดว่ายังไม่พอ?”
คำพูดของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยกระแทกหัวใจของเธอด้วยความเจ็บปวด เฉินเสียนจ้องไปที่เขาและกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดว่าเขาเป็นวัวเป็นควาย”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่กลับพบว่าสิ่งที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพูดก็ไม่ได้ผิดเลย
ในช่วงหลายปีที่ซูเจ๋ออยู่ที่ต้าฉู่ เขามักจะทำงานหนักอยู่เสมอ และเขาไม่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเลย
เธอต้องการปฏิเสธ เธอต้องการโต้เถียง และเธอดูซีดเซียวและไร้เรี่ยวแรงเกินไป
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจว่าท่านจะคิดอย่างไร ความจริงก็เห็นอยู่ตรงหน้า ใคร ๆ ก็ต่างรับรู้! หากบอกว่าเขาอยู่ที่ต้าฉู่เพื่อช่วยเหลือท่าน เพื่อตอบแทนบุญคุณ งั้นตอนนี้ก็เท่ากับว่าท่านทำสำเร็จแล้ว เรื่องที่จะตอบแทนก็ตอบแทนไปหมดแล้ว ตอนนี้เขากลับมาอยู่ในที่ที่เขาควรจะอยู่แล้ว แต่ท่านกลับมายุ่งวุ่นวายกับเขาไม่ปล่อย ไม่คิดว่ามันไร้ประโยชน์ไปหน่อยหรือ?”
เขามองไปที่เฉินเสียนอย่างเย็นชาและดูถูกและกล่าวว่า “หรือท่านยังคิดอยากจะพาเขากลับไปเพื่อทำหน้าที่อัครเสนาบดีที่ต้าฉู่ต่อไป ให้เขาพยายามทำเพื่อท่านทุกอย่าง? ในขณะที่เขาอาจเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย ท่านก็จะใช้ประโยชน์จากเขาจนนาทีสุดท้ายของชีวิตงั้นหรือ?”
เฉินเสียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่ต้องการชดเชย ข้าไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากคุณค่าในตัวเขา และข้าก็ไม่ต้องการให้เขาต้องมาทุกข์ทรมานเป็นกังวล ข้าเพียงต้องการใช้ความพยายามทั้งหมดที่ข้ามีทำให้เขามีความสุข ไม่เป็นทุกข์ ข้าเพียงแค่ต้องการชดเชย”
เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ย แม้ว่าคำพูดของเขาจะรุนแรง แต่ดวงตาของเธอไม่สั่นเทา และเธอยังคงแน่วแน่ “ข้าก็ไม่สนว่าท่านจะคิดอย่างไร แต่ข้ามีเหตุผลของข้า ยังไงก็ต้องพาเขากลับไปที่ต้าฉู่ให้ได้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน บนโลกใบนี้ยังมีคนที่รอเขากลับบ้าน”
“กลับบ้าน” จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหัวเราะและกล่าวว่า “ต้าฉู่จะนับเป็นบ้านได้อย่างไร เป่ยเซี่ยต่างหากถึงจะเป็นบ้านของเขา!”
เฉินเสียนกล่าว “หากเป่ยเซี่ยคือบ้านของเขา แล้วทำไมตอนนั้นที่เขตชายแดน เดิมทีเขาสามารถกลับเป่ยเซี่ยได้ ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่กลับมากับท่าน?”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยสำลักและโกรธมากจนพูดไม่ออก
เฉินเสียนกล่าวอีกว่า “หากเป่ยเซี่ยคือบ้านของเขา แล้วทำไมตอนนั้นท่านปล่อยให้เขาระหกระเหินอยู่ข้างนอก อายุยังน้อยแถมยังถูกคนไล่ฆ่า ให้เขาใช้ชีวิตอย่างเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัย? ทำไมท่านถึงปล่อยเขาไว้แบบนี้หลายปี?” สีหน้าของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเปลี่ยนไปอย่างมากและมุมตาของเฉินเสียนก็แดง แต่เธอยังคงพูดอย่างเย็นชา
“ทำไมท่านถึงทนให้พวกเขาสองแม่ลูกระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอก? ตอนที่เขาสูญเสียท่านแม่ของเขาในวัยเด็ก ท่านอยู่ที่ไหน เขาคนเดียวไม่มีเรี่ยวแรงขุดหลุมฝังศพท่านแม่ของเขา แล้วท่านไปอยู่ที่ไหน คิดว่าท่านคงกำลังยุ่งอยู่กับการเรียกคืนอำนาจภายในเป่ยเซี่ยใช่ไหม”
ไม่ว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะสะกิดความเจ็บปวดของเฉินเสียนอย่างไร เขาก็ถูกเฉินเสียนแหย่กลับเข้าไปในความเจ็บปวดที่ลึกที่สุดในหัวใจของเขา
ท่านอ๋องมู่ได้ยินว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเสด็จมาที่จวนท่านอ๋องรุ่ย เฉินเสียนก็อยู่ที่จวนท่านอ๋องรุ่ย เขาจึงไม่สบายใจ และนำองค์หญิงจาวหยางมาที่จวนท่านอ๋องเพื่อมาดู
ทันทีที่สองคนพ่อและลูกสาวเดินเข้าไปในเรือน พวกเขาก็ได้ยินเสียงเฉินเสียน “ท่านพ่อท่านแม่ของข้าจากไปเร็ว แต่พวกเขาไม่เป็นแบบท่าน ที่คิดว่าลูกชายที่พลัดพรากจากไปหลายปี ให้เขารู้จักบรรพบุรุษของเขา ก็ทำให้เขามีความสุขงั้นหรือ?”
แล้วความทุกข์และความคับข้องใจของเขาล่ะ?
เฉินเสียนไม่เข้าใจเพราะเธอรู้สึกแบบเดียวกับซูเจ๋อ
ท่านอ๋องมู่ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไร แต่รู้สึกว่าเขาต้องอธิบายเรื่องนี้ก่อนจึงจะหาทางแก้ไขได้
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยโกรธจนมีร่องเส้นบนหน้าผากของเขาและกล่าวว่า “ท่านไม่มีคุณสมบัติที่จะมาพูดแบบนี้กับข้า”
เฉินเสียนกล่าว “หากเรื่องจริงไม่ได้เป็นแบบที่ข้าพูดไป สามารถยิ้มออกมาได้ ทำไมท่านถึงโกรธเคือง ท่านบอกว่าข้าหลอกใช้เขา ให้เขาทำงานหนักเพื่อข้า เป็นวัวเป็นควาย แต่เรื่องที่ข้าเสียใจมากที่สุดในชีวิตของข้าคือ ให้เขาขึ้นเป็นอัครเสนาบดีของต้าฉู่ ตอนนี้ท่านเข้าใจหรือยังว่าการที่ถูกกรีดบาดแผลมีความรู้สึกอย่างไร?”
มีคลื่นแห่งความพ่ายแพ้และความเหงาอยู่บนร่างกายของเธอ ซึ่งทำให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยระงับความโกรธของเขาไว้ชั่วคราว
และเฉินเสียนยังกล่าวอีกว่า “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้ามีเหตุผลที่จะพาเขากลับไปให้ได้ ต้าฉู่มีอีกคนที่เหมือนกับข้า เฝ้ารอให้เขากลับไปทุกคืนวัน ข้าสัญญากับเขาไว้แล้ว”
ท่านอ๋องมู่ถอนหายใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และเป่ยเซี่ยก็ตั้งตารอการกลับมาของซูเจ๋อ คิดว่าคงเป็นเด็กน้อยอาเซี่ยนแน่ ๆ อาเซี่ยนอายุยังน้อย หากไม่มีพ่อก็น่าสงสาร ต่ดูเหมือนจะไม่มีเวลาพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ และไม่มีที่ว่างให้เขาเข้าไปแทรกแซงการทะเลาะวิวาทระหว่างคนทั้งสอง
ไม่คิดว่าความโกรธที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเพิ่งระงับได้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เขาคิดว่าเฉินเสียนคนนี้น่ารังเกียจ ไม่เพียงแต่ไม่รู้จักลดละ แต่ยังกระตุ้นความโมโหของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเขาจะตบหน้าเธอในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสกว่าเธอก็คงไม่มากเกินไปใช่ไหม!
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยโกรธจัด แต่ในท้ายที่สุด เขาก็แค่ยกมือขึ้นและไม่ได้ตบเธอจริง ๆ เขาพูดเพียงอย่างโกรธเคือง “ข้ายังอยู่ และไม่มีทางที่จะยอมให้เขาก้าวเข้าไปในดินแดนของต้าฉู่แม้เพียงก้าวเดียว! ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง ข้าเป็นพ่อของท่านอ๋อง ต่อจากนี้ไป อาหารเลิศรส เสื้อผ้าอาภรณ์สวยหรูและจะมีชีวิตที่มั่งคั่ง ไม่ใช่ยอมเป็นยอมตายเพื่อต้าฉู่ ! ทางที่ดีท่านเลิกคิดไปได้เลย!”