เฉินเสียนหัวเราะพลางกล่าวว่า “หากแน่จริงก็มาแย่งเลย ไม่นานก็จะมีข่าวลือว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยผู้มีอายุสูงลงไม้ลงมือกับจักรพรรดิต้าฉู่อย่างไม่รู้จักละอายใจ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยแตกคอกับเธอแล้วอย่างสิ้นเชิง “ไร้ยางอาย!” จะให้บุตรชายตนเองอยู่กับสตรีแบบนี้ได้กระไร
สุดท้ายจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจากไปด้วยความรู้สึกฉุนเฉียว เธอได้รับชัยชนะชั่วคราว ทว่ากลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ท่านอ๋องมู่ตามจักรพรรดิเป่ยเซี่ยออกจากจวนอ๋องรุ่ย พลางเกลี้ยกล่อมให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยอย่าได้พิโรธ
ทันใดนั้นจักรพรรดิเป่ยเซี่ยตระหนักการใหญ่ขึ้นได้ ใช้แววตาที่มีเปลิวไฟลุกโชนมองท่านอ๋องมู่ กล่าวว่า “เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่หรือไม่ว่าพวกเขาทั้งสองมีใจต่อกัน?”
ท่านอ๋องมู่ตรึกตรองอย่างละเอียดพลันกล่าวว่า “พวกเขาผ่านพ้นอุปสรรคมากมาย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในเมื่อไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ไม่สู้ส่งเสริม……”
“หุบปาก!” จักรพรรดิเป่ยเซี่ยใช้แววตากราดเกรี้ยวจับจ้อง “หากขืนเจ้าพูดอีก ข้าจะลงโทษเจ้าที่รู้แล้วไม่รายงาน”
จากเสียงเอิกเกริกในจวนก็เงียบเชียบในบัดดล เงียบจนทำให้รู้สึกอึดอัด ตอนที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยออกไป องค์หญิงจาวหยางอยู่ต่อ นางไม่รู้ว่าควรไปหรืออยู่เพื่อปลอบประโลมจักรพรรดินี
ทว่าสีหน้าจักรพรรดินีเรียบเฉยราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น องค์หญิงจาวหยางรู้สึกว่าการปลอบประโลมเธอ ทั้งเสียมารยาทและไม่มีความจำเป็น
ก่อนจะจักรพรรดิเป่ยเซี่ยยกเท้าออกจากจวนอ๋องรุ่ย เขาได้ทิ้งพระราชโองการไว้ว่าห้ามเฉินเสียนก้าวเข้าจวนอ๋องแม้แต่ก้าวเดียว
เวลานี้พ่อบ้านเข้ามาในจวน เห็นได้ชัดว่าหมายจะเชิญเฉินเสียนออกไป มีบัญชาจากจักรพรรดิ ไหนเลยพ่อบ้านจะกล้าละเลยหน้าที่ รู้สึกจำใจเหลือเกิน
พ่อบ้านเอ่ยวาจาไล่แขกทางอ้อม ไม่รอให้เฉินเสียนตอบ องค์หญิงจาวหยางชิงตอบว่า “เจ้ารีบอันใดกัน ไม่ใช่ไม่ไปเสียหน่อย”
พ่อบ้านกล่าว “องค์หญิงอย่าได้ทำให้บ่าวลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ บ่างได้รับบัญชาจากจักรพรรดิ……”
เฉินเสียนรวบผมแล้วเสียบปิ่นหยกขาวไว้บนศีรษะอีกครั้งอย่างเงียบๆ
บัดนี้หลานเอ๋อร์เปิดประตูเห็นหน้าเฉินเสียนแล้วทำท่าลังเลที่จะพูด
เฉินเสียนจึงยกเท้าก้าวไปยังระเบียงหน้าห้องซูเจ๋อ
พ่อบ้านยังคิดจะส่งเสียง แต่ถูกองค์หญิงจาวหยางจ้องเขม็งอย่างรำคาญ “ไปเร็วหรือไปช้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ เจ้าลงไปได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะพาจักรพรรดิต้าฉู่ออกไปเอง ไม่ทำให้เจ้าลำบากเจ้าเด็ดขาด”
เมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว โต้เถียงต่อไปก็ไร้ประโยชน์ พ่อบ้านจึงออกจากจวนหลักอย่างเงียบๆ
ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรในช่วงเวลานี้ แม้นจะห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว กลับถูกความเงียบดึงให้เหินห่าง
แววตาเขาลึกบ้างตื้นบ้าง ทำให้เฉินเสียนสับสนว่ากลับไปเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ความจริงที่ปรากฏตรงหน้ากลับทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจและขมขื่นเล็กน้อย
เธอข่มกลั้นความขมขื่น เป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายความเงียบทิ้ง กล่าวอย่างแย้มยิ้ม “รู้ว่าสุดท้ายต้องทะเลาะกันแน่ อันที่จริงข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้หรอกนะ”
ซูเจ๋อคลี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าก็รู้ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ ตามลำดับเครือญาติแล้ว ท่านจะต้องเรียกข้าว่าท่านน้า”
รอยยิ้มมุมปากเฉินเสียนแข็งค้าง
ซูเจ๋อกล่าว “กลับไปเถอะ”
เฉินเสียนขมวดคิ้วแน่นเป็นปม ดวงตาเริ่มแดงขึ้นมา กล่าวว่า “ซูเจ๋อ ท่านรู้ไหมว่าอาเซี่ยนรอท่านอยู่”
“อาเซี่ยน” ซูเจ๋อขานเรียกชื่อนี้เบาๆ จากนั้นก็กล่าวกับเฉินเสียนว่า “อาเซี่ยนคือใครอีก?”
หลังจากที่เดินทางมาถึงเป่ยเซี่ย เฉินเสียนก็มองโลกในแง่ดีเสมอ ถึงแม้ซูเจ๋อไม่รู้จักเธอ เธอก็ไม่อนุญาตให้ตัวเองเสียใจ แต่เมื่อยืนหยัดมาถึงตอนนี้ ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ความแน่วแน่ของเธอแหลกสลายในชั่วพริบตา ทำให้เธอเจ็บปวดใจยิ่ง
เฉินเสียนหันกายเดินออกไป
ภายในจวนว่างเปล่า เธอจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
ซูเจ๋อได้ยินสายลมพัดผ่านเข้ามาในจวนก็เอ่ยเรียกเสียงเบาๆ “อาเสียน อาเซี่ยน”
ไม่นาน จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็จัดงานเลี้ยงส่งแด่จักรพรรดิต้าฉู่ เมื่องานเลี้ยงผ่านพ้นไป หากจักรพรรดิต้าฉู่ยังไม่ยอมไปจากเป่ยเซี่ย งั้นก็ไม่เกี่ยวกับเป่ยเซี่ย ยิ่งไม่เกี่ยวกับทั้งสองแคว้นแล้ว
สำหรับจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ถึงเป็นการขายหน้าของแว่นแคว้น เป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง
ทูตจากต้าฉู่ต่างรู้เคืองใจยิ่งนัก
ฉินหรูเหลียงทนมองเฉินเสียนลดฐานะตัวเองลดมาต่ำต้อยเช่นนี้ไม่ได้ เขากล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องฝืนทน เขาไม่ใช่ซูเจ๋อคนเก่าแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
เฉินเสียนข่มกลั้นอารมณ์ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตามนัดหมาย
คาดไม่ถึงว่าเธอจะพานพบซูเจ๋อในงานเลี้ยงด้วย ซึ่งซูเจ๋อได้พาว่าที่ชายาอ๋องนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอ
ซูเจ๋อพึ่งหายป่วย ไม่เหมาะที่จะมาร่วมงานสังสรรค์ เพียงแต่ได้ยินว่าเป็นงานเลี้ยงอำลาจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาก็มาร่วมงานด้วยแล้ว ส่วนจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเป็นผู้คัดเลือกว่าที่ชายาอ๋อง งานเลี้ยงเช่นนี้ย่อมต้องมาร่วมด้วยกันเป็นธรรมดา
เดิมทีเฉินเสียนคิดจะดื่มเหล้า เมื่อยกขวดเหล้ารินให้ตัวเอง สายตาฝั่งตรงข้ามก็จับจ้องมาที่ขวดเหล้าในมือเธอ
เฉินเสียนหยุดการกระทำ ทันใดนั้นเธอนึกได้ว่าไม่ดื่มสุรามานานนับปีแล้ว เพราะซูเจ๋อเคยบอกให้ดื่มเหล้าน้อยๆหน่อย เธอก็จดจำมาถึงทุกวันนี้
จากนั้นเธอวางขวดเหล้าลง เปลี่ยนมาใช้น้ำชาดื่มคารวะตลอด จนยามนี้น้ำชาเต็มท้องไปหมด ไม่ค่อยกินอย่างอื่นเท่าไหร่
ความรู้สึกเช่นนี้มันทรมานกว่าเมาเหล้าเสียอีก
น้ำชามีแต่ทำให้เธอยิ่งมีสติขึ้นเรื่อยๆ
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา กล่าวกับซูเจ๋อกล่าว “อ๋องรุ่ย ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ทำพิธีแต่งงานของเจ้ากับชายาอ๋องรุ่ย รอพักฟื้นร่างกายอีกสักพักแล้วทำพิธีแต่งงานกันเถอะ”
ว่าที่ชายาอ๋องก้มหน้าด้วยความเขินอาย
ซูเจ๋อเลิกคิ้วไม่ตอบ
ทันใดนั้นได้ยินเสียงหัวเราะดังกังวาน ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่มีสติแต่เจือความมึนเมาไว้เล็กน้อย ฟังแล้วไพเราะรื่นหูดุจไข่มุกที่ร่วงหล่นใส่ถาดหยก
สุดท้ายทุกสายตาจดจ่ออยู่กับเฉินเสียนผู้เดียว
เธอดื่มน้ำชาแทนเหล้าหลายต่อหลายแก้ว พลางหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อยๆ
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยถามด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “จักรพรรดิแห่งต้าฉู่หัวเราะอันใด?”
เฉินเสียนกล่าว “ข้าหัวเราะที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยชราจนเลอะเลือนแล้ว ท่านเสริมสิริมงคลให้แก่ท่านอ๋องรุ่ย เรื่องตลกเช่นนี้ก็แล้วไป” เธอมองซูเจ๋อด้วยรอยยิ้มเบ่งบาน แสงไฟสะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอจนทอแสงสว่างเจิดจ้า แต่กลับยิ่งเห็นความมืดมนในดวงตาเด่นชัดมากขึ้น เธอดื่มชาไปพลาง กล่าวไปพลาง “แต่ท่านก็ควรหาผู้ที่เหมาะสมหน่อยสิ”
แววตาที่ประกายแสงสดใสในตอนที่เธอมาแย่งเขา บัดนี้มลายหายไปหมดสิ้น
ซูเจ๋อกล่าว “ถึงแม้จะเป็นชาชั้นเลิศ หากดื่มมากไปก็เสียสุขภาพได้ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยควรดื่มพอประมาณ”
ว่าที่ชายาอ๋องที่อยู่ด้านข้างเขา ช่วยเขารินน้ำชาและคีบอาหารให้ด้วยอิริยาบถอ่อนช้อยเอาใจใส่ ทำให้เฉินเสียนรู้สึกบาดตาเหลือเกิน
เฉินเสียนเอนกายพิงด้านหลัง รอยยิ้มที่ปากไม่เคยเลือนหาย กล่าวด้วยความขบขันว่า “ท่านบอกว่าดื่มสุราไม่ดีต่อสุขภาพ นับจากนั้นข้าก็ไม่แตะสุราสักหยด ยามนี้ท่านกับบอกข้าว่าดื่มชาก็ทำร้ายร่างกายด้วย ท่านว่าข้าควรทำอย่างไรดี?”
ตั้งแต่ต้นยันจบเขาเป็นผู้คอยย้ำเตือนเธอ ส่วนเธอก็ทำตามอย่างเชื่อใจ
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าว “ชายารุ่ยแห่งเป่ยเซี่ยคือภรรยาของอ๋องรุ่ยที่ตบแต่งตามขนบธรรมเนียม นางจะดีหรือไม่ ไม่ใช่จักรพรรดิต้าฉู่จะตัดสินได้ มีเพียงอ๋องรุ่ยที่รู้ไม่ใช่หรือ”