เธอชี้ไปยังดวงดาวบนฟากฟ้า พูดขึ้นกับซูเจ๋อด้วยรอยยิ้มที่อ้อยอิ่งว่า : “หลิ่วอีกว้าบอกว่าดาวแปดขาวข้างดวงดาวแห่งจักรพรรดิกลับมาสว่างไสวอีกครั้งแล้ว ซูเจ๋อ ท่านคือดาวแปดขาวของข้า และท่านจะต้องสว่างไสวเช่นนั้นอยู่เสมอ ทุกๆ ครั้งที่ข้าเงยหน้าขึ้นมา ก็จะสามารถมองเห็นท่านอยู่เสมอ”
“ซูเจ๋อ ซูเจ๋อ……”
ซูเจ๋อฟังเธอพร่ำเรียกชื่อของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่า
“หลายปีที่ผ่านมานี้ ทุกๆ ครั้งที่ข้าคิดถึงชื่อของท่าน ก็มักจะรู้สึกหวั่นไหวอยู่ร่ำไป ชื่อของท่าน ราวกับคาถาที่มีเวทมนตร์” เธอเอื้อมมือออกมา ลูบไล้ลวดลายบนคอเสื้อของเขาเบาๆ มันยังเหมือนเดิมดังเช่นเมื่อก่อนไม่มีผิด เป็นการสัมผัสหวานซึ้งที่เธอคุ้นเคยอย่างที่สุด
จากนั้นเธอก็เงียบไปเนิ่นนาน ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย
ซูเจ๋อโอบไหล่ของเธอเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ประทับคางลงบนผมของเธอ พร้อมกับถามขึ้นว่า : “กำลังคิดอะไรอยู่”
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยว่า : “ข้ากำลังคิด ว่าค่ำคืนนี้สามารถยืดยาวอีกหน่อยได้หรือไม่”
“ท่านอยากให้มันยืดยาวอีกสักหน่อย มันยังมีคืนพรุ่งนี้ คืนมะรืนนี้ และยังมีค่ำคืนอีกมากมายในอนาคตที่จะยังคงยืดยาวและดำเนินต่อไป”
เธอยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ รอยยิ้มนั้นปรากฏขึ้นตรงมุมปากของเธอ ราวกับว่าจะร้องไห้ก็ไม่ปาน บีบคั้นหัวใจอย่างที่สุด
หญิงสาววัยรุ่นที่กำลังพากันร้องรำทำเพลงอยู่รอบกองไฟอย่างครื้นเครงนั้นได้สังเกตเห็นเฉินเสียนเข้า จึงได้เข้ามาดึงเฉินเสียนให้ลุกขึ้นมาเต้นรำด้วยกัน
เฉินเสียนรู้สึกว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราแน่ๆ ที่ทำให้เธออารมณ์อ่อนไหวและพลุกพล่าน ไม่ควรจะจบการนัดพบกับซูเจ๋อค่ำคืนนี้ด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงตอบรับคำเชื้อเชิญออกไปเต้นรำกับหญิงสาวเหล่านั้น แต่ยังไม่ลืมที่จะหันมาพูดกับซูเจ๋อว่า : “ข้าไปเล่นสักหน่อย จะได้สร่างเมาด้วย”
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “ไปเถอะ”
เมื่อเฉินเสียนไปแล้ว ซูเจ๋อจึงหยิบไหสุราที่วางอยู่ข้างๆ เธอขึ้นมาดู ปรากฏว่าข้างในไหนั้นว่างเปล่า
ที่แท้แล้วเธอดื่มสุราอย่างนี้เองหรอกหรือ ดื่มสุราจนหมดไหอย่างไม่รู้ตัวเช่นนี้
ซูเจ๋อที่รู้สึกไม่วางใจเพราะเป็นห่วง จึงได้เดินตามเธอไป เขายืนอยู่รอบนอก มองเฉินเสียนเต้นรำอยู่ท่ามกลางบรรดาหญิงสาวเหล่านั้น จับมือกันเป็นวงกลม พากันเต้นรำหมุนไปมาอยู่รอบกองไฟ
ดูออกว่าเธอนั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เธอได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่สนุกสนานครื้นเครงอย่างเต็มที่
สายตาของซูเจ๋อจับจ้องไปที่เธออยู่ตลอดเวลา มองดูเธอหมุนเป็นวงกลมรอบแล้วรอบเล่า
เฉินเสียนที่รู้สึกหัวหมุนขึ้นมาฉับพลัน พื้นที่เท้าดูเอียงเอนไม่สม่ำเสมอ ราวกับว่ากำลังเหยียบย่ำอยู่บนปุยนุ่นที่กำลังล่องลอยก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าเธอหมุนวงกลมอย่างไรกัน หมุนจนตัวเองเซเข้าไปในอ้อมกอดของใครคนหนึ่งเข้า
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณาที่คุ้นเคย
ซูเจ๋อเห็นว่าเธอจะล้ม จึงได้รีบเข้ามาประคองเธอไว้
เธอซบหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปยังไงอย่างงั้น จู่ๆ ก็กอดเขาแนบแน่นโดยที่ไม่สนในอะไรและไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น
ลมยามค่ำคืน พัดเปลวไฟกระจายพลุ่งพล่านดุจดวงดาวที่นับไม่ถ้วน เงาของทั้งสองที่ทับซ้อนกันอยู่ เงาที่ถูกยืดจนยาวออกไป
ซูเจ๋อโน้มตัวลงมารวบเอวของเฉินเสียน มืออีกข้างของเขาจับแขนของเธอ รั้งเธอเข้ามากอดในอ้อมกอดของเขา แต่เขาก็ไม่อาจจะหยุดยั้งอาการสั่นเทาของไหล่เธอได้
คอเสื้อของเขาเปียกชุ่มและเย็นชื้น
นั่นเป็นเพราะเฉินเสียนได้ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา
เธอที่ไม่ค่อยได้สติ และก็ไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นกำลังทำอะไรอยู่ เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นว่า : “มีผู้อื่นกอดท่านเหมือนอย่างที่ข้ากำลังกอดอยู่หรือเปล่า? และท่านเองก็ได้กอดนางเหมือนที่ท่านกำลังกอดข้าใช่ไหม? สิ่งที่เราทั้งสองเคยทำด้วยกันเหล่านั้น ท่านเองก็ได้ทำกับผู้อื่นใช่หรือไม่? ซูเจ๋อ……ท่านไม่ได้เป็นของข้าเพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้วใช่หรือเปล่า? ……”
เธอเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมกอดของเขา ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เธอจ้องมองเขาอย่างลุ่มลึก แล้วถามขึ้นต่อว่า : “นางเคยสัมผัสคิ้วและดวงตาของท่านหรือเปล่า? นางเคยสัมผัสคอเสื้อของท่านแล้วใช่ไหม? นางได้จุมพิตริมฝีปากของท่านแล้วใช่หรือไม่? และนางเองก็เคยร้องไห้ในอ้อมกอดของท่านเฉกเช่นข้าในตอนนี้?”
ซูเจ๋อเช็ดคราบน้ำตาให้เธอด้วยความปวดร้าวในหัวใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เฉินเสียน ท่านเมาแล้วหรือ?”
“ข้าเปล่าเมา” เฉินเสียนจ้องมองเขาด้วยคู่ดวงตาที่พร่ามัว พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านตอบข้าก่อน ว่าใช่หรือเปล่า? พวกท่านแต่งงานกันถูกต้องตามหลักจารีตประเพณี กลายเป็นคู่สามีภรรยาอย่างเป็นทางการแล้วใช่ไหม? ทำไมท่านถึงไม่ยอมรอข้า ข้าเองก็ได้พยายามที่จะแกร่งกล้าอย่างสุดพละกำลังแล้ว ข้าได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว รอให้ข้าแกร่งกล้าจนผู้อื่นเกรงกลัวแล้ว ข้าจะต้องชิงมือของท่านที่ถูกอาณาจักรเป่ยเซี่ยมัดไว้คู่นี้กลับคืนสู่ข้าอย่างแน่นอน!”
เธอกำคอเสื้อของเขาแน่น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า : “ทำไมท่านถึงไม่ยอมรอข้าต่ออีกสักหน่อยเล่า!”
นี่คือเสียงที่แท้จริงที่สุดแสนจะเจ็บปวดจากหัวใจของเธอ
เธออยากจะมองดูเขามีความสุขอย่างนิรันดร แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอกลับอยากจะเฝ้าดูเขามีความสุขอย่างนิรันดรด้วยตัวเธอเอง คนเราก็เป็นกันเช่นนี้ ยากที่จะลบล้างและหลุดพ้นจากเหตุผลความนึกคิดที่ถูกครอบงำนี้
ดังนั้น ในชีวิตประจำวันของเธอนั้น เธอมักจะกดดันตัวเองอย่างหนักหน่วงอยู่เสมอ เก็บซ่อนและปิดบังความนึกคิดของตัวเองให้ลึกที่สุด เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้เข้า และยิ่งไปกว่านั้น ลึกๆ ภายใต้จิตใจและความนึกคิดของเธอนั้น กลัวว่าหากตัวเธอเองมีความคิดเช่นนี้แล้ว จะกลายเป็นคนโลภมากขึ้นมา
เพราะว่าเธอต้องการเขาเหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าจะไปทำร้ายเขาเข้า
ภายใต้ความเห็นแก่ตัวที่ถูกเก็บงำและซ่อนเร้นอยู่ในใจ เธอแอบหวังอยู่เสมอว่าจะมีวันนั้นในสักวัน รอให้เธอมีความสามารถเพียงพอแล้ว ไม่ต้องให้เขาคอยต้านลมต้านฝนให้เธอเหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมา ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอีก สามารถที่จะพยายามปกป้องเขาได้อย่างดีที่สุด
เธอไม่เคยจะยอมแพ้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นเธอจะอดทนฝ่าฟันมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรกันเล่า?
แต่สุดท้าย เธอก็ได้พบว่า ยังไม่ทันที่เธอจะได้รอจนถึงวันนั้น ทุกอย่างกลับสายเกินไปเสียแล้ว
เหมือนว่าตัวเธอนั้นได้ทำสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีวิตหายไป และเธอนั้นก็ไม่อาจจะฝืนทนมันได้อีกต่อไปแล้ว เป็นครั้งแรกที่เธอร้องไห้อย่างสิ้นหวังและโศกเศร้าเช่นนี้ต่อหน้าซูเจ๋อ
ความรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจตายมันเป็นเช่นไร ซูเจ๋อคงจะได้ตระหนักและรับรู้ถึงมันแล้ว เมื่อเขาได้มองดูเฉินเสียนที่กำลังร้องไห้อย่างนี้
“ท่านยังมีสติอยู่ใช่หรือเปล่า?” ซูเจ๋อประคองใบหน้าของเธอเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หากท่านยังมีสติครบถ้วน งั้นก็ตั้งใจฟังข้าให้ดี พรุ่งนี้หากท่านลืมคำพูดที่พูดออกมาในค่ำคืนนี้ ข้าจะไม่ให้อภัยท่านเลย”
ซูเจ๋อก้มลงมาชิดปลายจมูกของเธอ หายใจใกล้เธอเพียงไม่ถึงคืบ พูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำข้างๆ หูของเธอว่า : “ข้าจะไม่รอท่านได้อย่างไรกัน ท่านรู้ได้อย่างไรกันว่าข้านั้นไม่หวังให้ท่านรอข้า ข้าตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบหน้าท่าน ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งข้าจะสามารถเหยียบย่ำอยู่บนแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ของท่านอย่างอิสรเสรี ทุกๆ ครั้งที่ข้ามองเห็นเหล่าบรรดาผู้ชายที่เข้ามารายล้อมรอบกายท่าน ข้าก็โกรธจนเลอะเลือน จึงพูดคำพูดเหล่านั้นออกไป พระชายารุ่ยหรือสายสัมพันธ์ฉันภรรยาอะไรนั่น หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจะยังพัวพันตัดท่านไม่ขาดเช่นนี้อยู่ทำไมกัน?”
“แต่สุดท้ายก็ท่านกลับยังทนมันได้ จนข้าแทบจะบ้าตายอยู่รอมร่อเสียด้วยซ้ำ ท่านมักทำให้ข้ารู้โกรธและรู้สึกผิดพร้อมกับเสียใจไปในคราวเดียวกัน เฉินเสียน ข้าไม่ได้ชอบหญิงอื่นใด นับประสาอะไรกับการไปสู่ขอหญิงอื่นอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่มีคนในหัวใจอยู่แล้ว ฉะนั้น ข้าไม่เคยมีพระชายารุ่ยเลย ข้าเก็บตัวอยู่แต่ในห้องที่ว่างเปล่าทั้งวัน ไม่เคยเลยที่จะกอดหรือจูบใคร ไม่เคยจะให้ใครมาสัมผัสคอเสื้ออย่างที่ท่านทำอยู่ตอนนี้ หรือแม้แต่สัมผัสใบหน้าของข้า ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง?”
เฉินเสียนจ้องมองใบหน้าของเขาด้วยความอึ้ง เค้าโครงร่างของเขาสะท้อนลงบนดวงตาของเธออย่างชัดเจน
ซูเจ๋อพูดขึ้นต่อว่า : “ข้ารอคอยท่านอยู่เสมอ ในตอนแรกท่านเองที่เป็นคนทำลายงานแต่งของข้า คนในเมืองหลวงต่างรู้ว่าข้านั้นไม่ชอบในอิสตรี ภายภาคหน้าเกรงว่าคงไม่มีใครที่จะกล้าแต่งงานมาเป็นภรรยาของข้าอีก เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะไม่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างและโดดเดี่ยวเดียวดาย ข้ายังคงคอยเฝ้ารออยู่เสมอ รอให้ท่านสามารถแบกภาระที่ยิ่งใหญ่และหนักอึ้งนี้ได้ วังหลังเหล่านั้นของท่าน……”
ซูเจ๋อที่ในตอนแรกกำลังรอเธอพูดออกมา แต่เฉินเสียนกลับเงียบงันไม่ได้พูดอะไร แต่ในขณะที่ซูเจ๋อจะก้มลงมาเพื่อจะจูบเธอนั้น จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบาบางว่า : “ซูเจ๋อ”
เสียงกระซิบที่เบาบาง นำมาซึ่งน้ำเสียงที่หนักหน่วงและแหบพร่าเล็กน้อย แต่กลับไพเราะน่าฟังเป็นที่สุด
ครั้นเมื่อสัมผัสโดนริมฝีปากของเธอแล้วนั้น เธอก็หลับตาทั้งคู่ลง แล้วจึงผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของซูเจ๋อ
ซูเจ๋อจึงอุ้มเธอขึ้นมา เขาถอนลมหายใจเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ช่างเถิด อย่างไรเสีย คนที่ข้าต้องการก็คือท่าน”
เวลานี้เอง เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ราวกับว่าพวกเขากำลังดีใจที่ได้เป็นสักขีพยานให้กับความรักของคู่หนุ่มสาวที่ได้หวนกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง ฉะนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง