ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 711 อย่าลังเลเมื่อถึงเวลาต้องลากขึ้นเตียง

นิ้วมืออันอบอุ่นสัมผัสลงมาบนลำคอของเธออย่างแผ่วเบา ลูบไล้อยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนโยน ซูเจ๋อยิ้มอย่างไร้พิษภัยและกล่าวว่า “เมื่อคืนห้ามใจไว้ไม่ไหวจึงควบคุมตัวเองไม่อยู่ ท่านโปรดอดทนหน่อยนะ”

นัยน์ตาของเฉินเสียนวาววับ เธอเม้มปากและกล่าวว่า “ท่านยังจะพูดอีก”

หลังจากนั้นเฉินเสียนจึงปล่อยผมลงมาบังลำคอไว้ตลอดทั้งวัน ตราบใดที่ไม่เคลื่อนไหวมากเกินไปก็จะไม่มีใครเห็นง่ายๆ

เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารเช้า เฉินเสียนก็นึกขึ้นได้และถามซูเซี่ยนว่า “เฮ่อโยวกับเหลียนชิงโจวมาหรือยังลูก ได้บอกหรือเปล่าว่าวันนี้จะออกเดินทางตอนไหน”

ซูเซี่ยนกินโจ๊กหนึ่งคำแล้วเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นมอง จากนั้นจึงตอบว่า “เมื่อคืนพวกเขาเมาหัวราน้ำ ตอนนี้น่าจะยังไม่ตื่น”

เฉินเสียน “…” เฮ่อโยวน่ะไม่แปลกอะไร แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนทำให้เหลียนชิงโจวเมาได้ด้วย

แต่ถึงจะไม่ถูกมอมจนเมา ทั้งสองคนก็ต้องแสร้งทำเป็นเมาอยู่ดี ไม่อย่างนั้นต่อให้พวกเขาบอกหรือไม่บอกให้เฉินเสียนกับซูเซี่ยนออกเดินทาง พวกเขาก็ลำบากทั้งขึ้นทั้งล่อง

ถ้าบอกให้ออกเดินทางก็จะไม่ดีสำหรับซูเจ๋อ แต่ถ้าไม่บอกก็จะขัดต่อคุณธรรมอันดีของขุนนาง

ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือการแกล้งทำเป็นเมาและไม่รับรู้อะไรเลย

ซูเซี่ยนกล่าวว่า “ที่ลุงเฮ่อกับลุงเหลียนทำก็เพื่องานราชการ ถ้ายังไม่สร่างเมาแล้วขึ้นเรือจะเมาเรือได้ง่ายๆ ปล่อยให้พวกเขาพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ รอจนพลบค่ำแล้วเราค่อยออกเดินทาง”

ถึงแม้จะเป็นการออกเรือในทะเล แต่ถ้าท้องฟ้ายามค่ำคืนปลอดโปร่งการออกเรือก็ย่อมทำได้

เฉินเสียนพยักหน้าและบอกว่า “กลับไปแล้วต้องส่งซุปแก้เมาค้างไปให้เสียหน่อย”

ซูเจ๋อถามอย่างไตร่ตรองว่า “วันนี้ท่านวางแผนจะทำอะไรหรือเปล่า”

เฉินเสียนคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ยังไม่มีนะ”

“ร่างกายยังไหวใช่หรือไม่ ข้าจะพาท่านไปเดินเล่น”

เฉินเสียนแทบจะกัดฟันตอบ “แน่ละสิ ข้าไม่มีทางแข็งแรงไปมากกว่านี้อีกแล้ว!”

หลังจากนั้นนางกำนัลก็เข้ามาในเรือนและบอกว่าหมอผีกำลังรอให้ซูเจ๋อกลับไปตรวจร่างกาย ซูเจ๋อจึงกลับไปก่อนและจะกลับมาอีกครั้งเพื่อมารับเฉินเสียนออกไปจากราชนิเวศน์

ซูเจ๋อยังจำเป็นต้องกินยาหม้อที่เขาควรจะกิน เขาหยิบถ้วยยาขึ้นมาดื่มจนหมดภายในรวดเดียวราวกับดื่มน้ำเปล่า จากนั้นจึงวางถ้วยลงในถาดและบอกกับหมอหลวงว่า “เร็วนิดหนึ่งได้ไหม ข้ารีบ”

หมอผีเอ่ยว่า “ท่านอ๋องรีบเพราะมีนัดกับจักรพรรดิต้าฉู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ซูเจ๋อเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ เขาเหลือบมองหมอผีนิดหนึ่ง แต่ไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่

ปกติหมอผีมีหน้าที่คอยดูแลสุขภาพร่างกายของซูเจ๋อ ดังนั้นทั้งสองคนจึงค่อนข้างสนิทสนมกัน

หมอผียิ้มและกล่าวว่า “ท่านอ๋องอย่าหาว่ากระหม่อมพูดมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องของพวกท่านสองคน ตอนนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งพระราชนิเวศน์แล้ว เกรงว่าแค่วันสองวันข่าวก็คงจะแพร่ไปถึงในเมืองชิงไห่”

ถึงอย่างไรก็ยากที่จะห้ามลมปากคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนใช้ชีวิตอย่างอยู่เย็นเป็นสุขจนแทบจะไม่มีเรื่องซุบซิบมาหล่อเลี้ยงชีวิต การแลกเปลี่ยนเรื่องซุบซิบนินทาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับให้ความบันเทิงแก่คนในโรงน้ำชาและโรงสุราหลังจากได้กินดื่มอย่างอิ่มหมีพีมัน

หมอผีวางมือหลังจากตรวจร่างกายให้ซูเจ๋อเสร็จแล้ว

ซูเจ๋อดึงชายเสื้อลงอย่างไม่ใส่ใจพลางฟังหมอผีเอ่ยอย่างมีนัยแฝงว่า “คอยดูแลสุขภาพร่างกายของท่านมาหนึ่งปี อาการคงที่ไม่ดีไม่ร้าย หลังจากผ่านไปหนึ่งคืนตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ดูเหมือนการออกแรงอย่างพอเหมาะจะทำให้เลือดลมของท่านไหลเวียนดีขึ้น สัญชาตญาณของร่างกายถูกปลุกให้เริ่มฟื้นฟูตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งยาหรือการรักษา นับเป็นความก้าวหน้าซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง” เขาเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ดูเหมือนการบำรุงร่างกายจะได้ผลดีเยี่ยมจริงอย่างว่า”

ทั้งยังรสชาติดีอีกด้วย

หมอผีกล่าวอย่างเคร่งขรึมอีกว่า “แต่ระวังอย่าให้กระชั้นถี่ ท่านอ๋องต้องใจเย็น อย่าให้เกิดความปรารถนามากเกินไป มิเช่นนั้นผลลัพธ์จะกลายเป็นตรงกันข้าม”

หลังจากหมอผีเก็บกล่องยาและเตรียมจะกลับไป ซูเจ๋อก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าอยากจะขอยาอย่างหนึ่งจากท่าน”

หมอผีจึงถามว่า “ยาอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ซูเจ๋อยันข้อศอกลงบนที่เท้าแขนและเอียงศีรษะครุ่นคิดนิดหนึ่ง จากนั้นจึงอธิบายว่า “เป็นยาที่จะทำให้คนกินหมดความรู้สึกเรื่องอย่างว่าระหว่างชายหญิง”

หมอผีถามว่า “ทำให้ผู้ชายหมดความรู้สึกหรือว่าทำให้ผู้หญิงหมดความรู้สึกพ่ะย่ะค่ะ”

ซูเจ๋อตอบว่า “ผู้ชาย”

หมอผีเหลือบมองเขาและเอ่ยว่า “ท่านจะเอาไปทำอะไร? ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนท่านรู้สึกดีมากหรอกหรือ ไม่เข้าใจเลยว่าจะทำอย่างนี้ไปทำไม!”

ซูเจ๋อเอ่ยเรียบๆ ว่า “แน่นอนว่าข้าขอยานี้ไปให้ผู้อื่น เป็นการดีที่สุดที่จะเผชิญหน้ากับคนที่นึกชื่นชมโดยไม่สนใจเรื่องอย่างว่านั่น”

หมอผีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “อยากให้เขายกขึ้นไม่ได้?”

ซูเจ๋อตอบกลับว่า “ท่านรู้ใจข้า”

หมอผีคิดในใจว่าใครกันที่ช่างโง่เขลามายั่วแหย่คนตรงหน้า จนทำให้เขาอยากจะทำให้ยกไอ้นั่นขึ้นไม่ได้!

สำหรับผู้ชาย นี่คือเรื่องใหญ่มาก!

หมอผีเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ว่ากันด้วยเรื่องของชายหญิงมันจะต้องมีเรื่องกามารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน เขาจะต้องใช้ยานี้เพื่อกำจัดศัตรูหัวใจเป็นแน่!

เรื่องนี้ง่ายมาก เป็นไปไม่ได้ที่หมอผีจะไม่ช่วยซูเจ๋อ ครั้นแล้วเขาจึงบอกว่า “ยานี้จะว่ามีก็มีอยู่พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่มีแบบที่พร้อมใช้ กระหม่อมจำเป็นต้องกลับไปปรุงเสียก่อน”

“ปรุงให้เสร็จก่อนพลบค่ำได้หรือไม่”

“ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ซูเจ๋อลุกขึ้นและกล่าวว่า “ข้าจะออกไปข้างนอกและจะไปส่งจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ขึ้นเรือตอนพลบค่ำ ถึงตอนนั้นท่านค่อยนำยาไปให้ข้าที่ชายหาด”

“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซูเจ๋อพบองค์หญิงจาวหยางระหว่างทางกลับไปรับเฉินเสียน นางวิ่งเข้ามาหาอย่างเบิกบานใจ พูดเจื้อยแจ้วอยู่กลางแดดและเดินตามซูเจ๋อไปอย่างใกล้ชิด ถามไปตลอดทางว่า “ท่านพี่ ท่านกับจักรพรรดิต้าฉู่คืนดีกันแล้วหรือ หลังจากพาพระนางออกไปจากท้องพระโรงเมื่อคืน ท่านอยู่กับพระนางทั้งคืนหรือเปล่า ข้าได้ยินมาว่ามีคนเห็นพระนางออกมาจากห้องของท่านเมื่อเช้านี้”

ซูเจ๋อไม่ตอบ

องค์หญิงจาวหยางยังเอ่ยอย่างไม่ลดละ “เฮอะ ต้องอยู่ด้วยกันสองต่อสองตลอดทั้งคืนแน่ๆ ช่างทำได้ดีเสียจริง! ไม่มีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธผู้ชายที่ทำตัวพาลและเผด็จการแบบนี้ได้หรอก! เมื่อถึงเวลาต้องลากขึ้นเตียงอย่าได้มัวลังเล ลากขึ้นเตียงไปเลย ท่านพี่ ว่าแต่ท่านจะกลับไปต้าฉู่กับพระองค์เมื่อไหร่ วันนี้ใช่หรือไม่”

ซูเจ๋อหยุดฝีเท้าและหันกลับไปมองใบหน้าที่ตื่นเต้นคึกคักของเด็กสาวตรงหน้า จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้ายังไม่ได้ออกเรือน รู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงชอบผู้ชายที่พาลและเผด็จการ รู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรควรลากขึ้นเตียง”

องค์หญิงจาวหยางบิดชายเสื้อและหัวเราะคิกคัก “ข้ายังไม่ได้ออกเรือนก็จริง แต่ข้าเคยอ่านหนังสือในตลาดมาเยอะนะ”

ซูเจ๋อหันกลับและเดินต่อไปพลางบอกว่า “ตื่นได้แล้ว ถ้าดูอะไรไร้สาระพรรค์นั้นอีก ข้าจะบอกท่านพ่อของเจ้า”

องค์หญิงจาวหยางเบะปาก แต่ยังคงเดินตามเขาไปและถามว่า “ท่านตั้งใจจะไปต้าฉู่เมื่อไรหรือ”

“เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับเจ้า”

“จะไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไร ท่านพี่ไปต้าฉู่ ในฐานะน้องสาวข้าต้องไปส่งอยู่แล้ว”

เมื่อมาถึงเรือนของเฉินเสียนและได้ยินว่าซูเจ๋อจะพาเฉินเสียนออกไปเดินเล่น องค์หญิงจาวหยางจึงไม่มีเหตุผลที่จะตามไปอีก

นางทำได้เพียงต้องอยู่ที่นี่กับซูเซี่ยน แต่เมื่อได้ยินเฉินเสียนฝากฝังให้นางดูแลซูเซี่ยน องค์หญิงจาวหยางก็มีความสุขสุดขีด นางรีบรับปากและกล่าวว่า “พวกท่านไปเที่ยวเถอะ ข้าจะดูแลหลานชายให้อย่างดี”

แต่เมื่อสายตาอันเฉียบแหลมขององค์หญิงจาวหยางมองเห็นความผิดปกติบางอย่างของเฉินเสียน นางจึงถามตรงๆ ว่า “จักรพรรดิต้าฉู่ คอของพระองค์เป็นอะไรหรือเพคะ ดูแข็งทื่อชอบกล”

เฉินเสียนหน้าถอดสีและบอกไปว่า “ไม่มีอะไร สงสัยคงเป็นเพราะเมื่อคืนนอนตกหมอน”

องค์หญิงจาวหยางโพล่งออกมาว่า “ท่านพี่ก็อยู่ด้วย เหตุใดจึงปล่อยให้นอนตกหมอนได้นะ”

เฉินเสียน “…”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset