จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตรัสว่า “เช่นนั้นข้าจะไม่เสียแค่หลานชาย แต่ยังต้องเสียลูกชายไปด้วยงั้นหรือ”
ซูเซี่ยนเอ่ยว่า “แต่ถ้าพระองค์ให้พ่อของข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็จะต้องอยู่ที่ต้าฉู่โดยไม่มีพ่อ และเสด็จแม่จะต้องสูญเสียสวามี แต่ถ้าพระองค์เห็นแก่เรา เราทั้งหมดจะได้อยู่ด้วยกันที่นั่น ในภายภาคหน้าหากมีเวลาก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนพระองค์ ถึงเวลานั้นบางทีข้าอาจจะมีน้อง ซึ่งพระองค์จะมีหลานเพิ่มขึ้นด้วย แบบนี้ไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมองซูเซี่ยน ทั้งรักทั้งโกรธเด็กชายซึ่งงดงามราวกับงานแกะสลักอันวิจิตรคนนี้ พระองค์ตรัสว่า “ข้ารู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมาหาข้าวันนี้ เจ้ามาเพื่อพูดแทนพ่อกับแม่ของเจ้า”
ซูเซี่ยนส่งไพ่ให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยและเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีใครที่จะอยากให้พวกเขามีความสุขไปมากกว่าข้าอีกแล้ว ข้าเองก็อยากมีพ่อแม่คอยรักคอยดูแลเหมือนเด็กคนอื่นบ้าง แต่ในความทรงจำของข้า พวกเขาไม่เคยได้อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริงเลยสักวัน ไม่มีวันไหนเลยที่ท่านพ่อจะยอมรับได้อย่างมีเกียรติว่าข้าคือลูกชายของเขา”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยนิ่งเงียบ
องค์หญิงจาวหยางถอดถอนใจด้วยความรักใคร่สงสาร “ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารอะไรเช่นนี้”
ซูเซี่ยนกระตุกมุมปากเล็กน้อยและเหลือบมององค์หญิงจาวหยาง ปกติท่านอาผู้นี้เป็นคนที่มักเอาแน่เอานอนไม่ได้และเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง จึงค่อนข้างยากที่จะเชื่อสายตา เมื่ออยู่ๆ ความเป็นแม่ของนางก็ท่วมท้นขึ้นมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงถอนพระทัยและตรัสว่า “ข้าตามหาพ่อของเจ้ามาหลายสิบปี อาเซี่ยน เจ้าช่วยเห็นใจข้าหน่อยไม่ได้หรือ”
ซูเซี่ยนก้มศีรษะและกล่าวว่า “เช่นนั้นพระองค์ยิ่งน่าจะเข้าใจความเจ็บปวดของการแยกจากมากกว่าข้า”
องค์หญิงจาวหยางรอแล้วรอเล่าทว่าไม่มีใครเรียกเจ้าบ้าน เมื่อเห็นว่าการเล่นไพ่พิชิตเจ้าของที่รอบนี้ท่าจะไม่สนุกเสียแล้ว นางจึงนั่งขัดสมาธิและยกถาดองุ่นมาหนึ่งถาด ปอกเปลือกองุ่นส่งให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเสวย แต่พระองค์ไม่เสวย พอส่งให้อาเซี่ยน อาเซี่ยนก็ไม่กิน สุดท้ายนางจึงต้องกินเอง
ซูเซี่ยนลูบไพ่ในมือเบาๆ และกล่าวอีกว่า “เมื่อก่อนท่านปู่น้อยเคยเล่านิทานให้ข้าฟัง ว่ากันว่าตอนที่เป่ยเซี่ยเกิดสงครามกลางเมือง องค์จักรพรรดิกับเหล่าพระญาติได้แยกสองแม่ลูกออกไป นั่นคือเรื่องของท่านพ่อกับท่านย่าของข้า”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างเศร้าพระทัยว่า “ปู่น้อยเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังหรือ”
ซูเซี่ยนพยักหน้าและเอ่ยว่า “ท่านปู่บอกว่าพระองค์ไม่มีทางเลือก ต้องทิ้งท่านย่ากับท่านพ่อไว้และออกไปปราบกบฏ จนเมื่อพระองค์กลับมา พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในวังอีกแล้ว พระองค์ออกตามหาไปทั่วทุกหนแห่งแต่หาไม่พบ สุดท้ายพวกเขาก็ร่อนเร่ไปถึงต้าฉู่”
ซูเซี่ยนยังเอ่ยต่อไปว่า “ข้าเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ท่านย่าเคยอาศัยอยู่ ท่านพ่อท่านแม่เคยพาข้าไปเคารพที่หลุมศพของท่าน ท่านย่าคงจะรอให้พระองค์กลับไปหาพวกท่านอยู่ตลอด แต่สุดท้ายพระองค์ก็ไม่ไป”
เรื่องราวในอดีตพรั่งพรูขึ้นมาในพระทัยของพระองค์ ทำให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรปล่อยให้พวกเขาสองแม่ลูกต้องร่อนเร่อยู่ข้างนอกอย่างไร้ที่พึ่งแต่เพียงลำพัง ข้ารู้สึกละอายใจพ่อของเจ้ามาโดยตลอด ต่อแต่นี้ไปข้าจึงอยากจะให้เขาอยู่เคียงข้างเพื่อชดเชยเรื่องในอดีต อาเซี่ยน เจ้าช่วยเข้าใจความรู้สึกของข้าหน่อยได้หรือไม่”
ผ่านไปครู่หนึ่งซูเซี่ยนจึงเงยหน้ามองพระองค์และเอ่ยว่า “แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่พระองค์ทำอยู่ตอนนี้กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในตอนนั้น… พระองค์กำลังทำให้ท่านพ่อของข้าต้องประสบกับความผิดพลาดซ้ำอย่างในอดีต
ถ้าเขาอยู่ที่นี่ ข้ากับท่านแม่จะโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง แม่ของข้าจะรอเขาตลอดไป แต่สุดท้ายเขาจะไม่กลับมา
สุดท้ายก็เหลือเพียงความเสียใจและความรู้สึกผิดไว้ให้เขา เหมือนดั่งที่พระองค์รู้สึกอยู่ตอนนี้… และข้าต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกับที่ท่านพ่อเคยเดิน มีชีวิตวัยเด็กเหมือนกับท่านพ่อ
พระองค์ทรงคิดว่าข้าเป็นหลานของพระองค์จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ ขอบตาของซูเซี่ยนเริ่มแดงก่ำ เขาเอ่ยกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่กำลังตกใจว่า “ในตอนที่ท่านพ่อกับท่านย่าต้องพึ่งพากันและกัน พวกท่านคงจะนึกโทษที่พระองค์ไม่ไปหา ต่อไปข้าเองก็คงจะโทษพ่อของข้า และข้าจะโทษพระองค์ด้วย เรื่องแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง พระองค์ทรงทราบดีว่าเขาต้องการอะไร และพระองค์ก็ทรงทราบว่าอะไรคือวิธีชดเชยที่ดีที่สุด แต่พระองค์แค่ไม่คิดที่จะช่วยให้เขาสมหวังเท่านั้น”
หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมท้องพระโรง
องค์หญิงจาวหยางกินองุ่นลูกสุดท้ายเงียบๆ จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “เสด็จลุงเพคะ ข้าคิดว่าที่อาเซี่ยนพูดก็มีเหตุผล”
แต่ทั้งปู่ทั้งหลานกลับไม่มีใครสนใจนาง
ยามบ่ายคล้อย ทุ่งหญ้าบนเนินเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลถูกทาบทับไปด้วยลำแสงสีทองอันอบอุ่น เฉินเสียนกับซูเจ๋อเดินอยู่บนทุ่งหญ้า มองเห็นฝูงวัวควายและฝูงแกะเล็มหญ้าอย่างสบายใจ
สายลมบนภูเขาซึ่งพัดพากลิ่นอายของความอบอุ่นมาด้วย พัดชายกระโปรงกับเส้นผมของเฉินเสียนจนปลิวไหว เธอยืนอยู่บนจุดสูงของเนินเขาและหรี่ตามองวิวทิวทัศน์ ซึ่งมีภาพของเมืองชิงไห่ทั้งเมืองปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า ถัดออกไปไกลกว่านั้นคือท้องทะเลสีครามที่ทอดยาว
คนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้าแห่งนี้ต่างนิสัยดีและมีไมตรีจิต พวกเขาเชิญทั้งสองคนไปที่เรือนซึ่งอยู่ไม่ไกลเพื่อชิมนมวัวสดที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ นอกจากนี้ยังจูงวัวเชื่องๆ มาให้หนึ่งตัวโดยมีพรมหนังแกะปูไว้บนหลังของมัน ซูเจ๋ออุ้มเฉินเสียนขึ้นไปบนหลังวัวตัวนั้นและจูงวัวเดินเล่นไปรอบๆ
หลังของวัวทั้งแข็งและกว้าง ให้ความรู้สึกแตกต่างจากการขี่ม้าเป็นอย่างมาก เฉินเสียนนั่งตะแคงข้างพาดขาทั้งสองข้างไว้ทางด้านหนึ่ง เธอก้มลงมองดูซูเจ๋อซึ่งกำลังจูงวัว กลิ่นอายของต้นหญ้าโชยมาพร้อมกับสายลมและพัดมาที่แขนเสื้อของเขา มือข้างที่จับบังเหียนเอาไว้ทั้งเรียวยาวและขาวสะอาด
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ตอนที่คนเลี้ยงสัตว์บนเนินเขาแต่งงานกับภรรยาของเขา พวกเขาจะใช้วัวแบบเดียวกันนี้บรรทุกเจ้าสาวและจูงไปที่เรือนของเจ้าบ่าว”
เฉินเสียนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกระแอมในลำคอและถามว่า “แล้วท่านบอกข้าทำไมหรือ”
ริมฝีปากของซูเจ๋อตวัดขึ้นเป็นเส้นโค้งเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วและบอกว่า “นั่นสินะ ข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านทำไม เพราะข้าเองก็ไม่ใช่คนเลี้ยงสัตว์”
หลังจากหยุดไปนิดหนึ่งเขาก็พูดอีกว่า “แต่ข้าอยากแต่งงานกับท่าน” ดวงตาของเฉินเสียนเบิกกว้าง ฟังเสียงที่เรียบเรื่อยและนุ่มนวลของเขา “อยากจะบอกให้โลกรู้ อยากจะแต่งงานกับท่านอย่างถูกต้องและมีเกียรติ”
ขอบตาของเธอเริ่มแดงระเรื่อ ทว่ารอยยิ้มที่มุมปากกลับอ่อนหวานและงดงาม เธอเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “เมื่อก่อน สิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ระหว่างเราก็คือความถูกต้องและมีเกียรติ ข้าไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าท่านจะได้แต่งงานกับข้าอย่างถูกครรลอง”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “เช่นนั้นตอนนี้ท่านก็คิดได้แล้ว แต่ถ้าข้าไปต้าฉู่ ดูเหมือนจะไม่ใช่ท่านที่แต่งมาอยู่กับข้า แต่เป็นข้าที่แต่งไปอยู่กับท่าน”
เฉินเสียนหัวเราะและกล่าวว่า “คนในแต่งออก คนนอกแต่งเข้า”
“ซูเจ๋อ”
“หืม?” เขาขานรับสั้นๆ อย่างเรียบเรื่อยผ่อนคลาย น้ำเสียงอ่อนโยนและแผ่วเบาราวกับขนนก กระทบใจคนฟัง
เฉินเสียนยืนขึ้นบนหลังวัว เธอกล่าวว่า “ท่านรับข้านะ”
พูดจบเธอก็ทิ้งตัวลงไปทางซูเจ๋อ เขาเบี่ยงตัวและกางแขนรับเธอไว้ แต่ถูกเธอโถมตัวเข้าใส่จนลงไปนอนราบอยู่บนพื้น ทั้งสองกลิ้งลงไปบนผืนหญ้าสีเขียวขจี เฉินเสียนโผตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ฝังศีรษะไว้แนบแผงอก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหัวเราะเสียงดัง
เฉินเสียนลูบไล้ปกเสื้อของเขาและบอกว่า “การได้อยู่ร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยากับท่าน ต่อให้ต้องวุ่นวายไปอีกครึ่งค่อนชีวิตก็นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก”
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ เฉินเสียนได้นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินซึ่งเธอคิดว่างดงามที่สุดกับซูเจ๋อ
ท้องฟ้ายามเย็นเต็มไปด้วยปุยเมฆสีสันสวยงาม พระอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไปหลังลูกคลื่นของเนินเขาซึ่งอยู่ไกลออกไป เฉินเสียนเอียงศีรษะซบไหล่ซูเจ๋อ แสงอาทิตย์สีเหลืองอมแดงสาดส่องจนท้องฟ้ากลายเป็นสีทองอมชมพู
หลังจากนั้นจันทร์กระจ่างก็โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาที่กลางทะเล ดวงดาวเริ่มปรากฏอยู่บนท้องฟ้า สะท้อนลงมาบนท้องสมุทรอันกว้างใหญ่
เฉินเสียนรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เต็มไปด้วยความสุข จนกระทั่งความมืดย่างกรายจึงเริ่มรู้สึกถึงความอ้างว้าง
เรือที่ชายฝั่งเตรียมพร้อมจะออกเดินทางแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอกำลังจะจากไป
เฉินเสียนกระซิบว่า “ซูเจ๋อ ข้าจะต้องไปแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงนั้นไม่อาจซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้ได้