ขณะที่ท่านอ๋องมู่และฉินหรูเหลียงรออยู่ ณ ห้องโถงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็เห็นจาวหยางเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อได้เห็นว่าจาวหยางนั้นปลอดภัยดีไม่ได้เป็นอะไร ท่านอ๋องมู่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรู้สึกดีใจจนน้ำตาซึมก็หันไปขอบคุณกับฉินหรูเหลียง
ท่านอ๋องมู่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า การมาในครั้งนี้คือเพื่อที่จะพาจาวหยางกลับไปแต่งงาน วันแต่งงานของเธอและคู่หมั้นได้กำหนดไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว
ท่านอ๋องมู่เกรงว่าจะมีอันตรายต่อจาวหยางอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้เขาจึงไม่ได้ถามเธอตรงๆว่าเธอโดนรังแกหรือไม่ แต่สำหรับท่านอ๋องมู่นั้นขอเพียงได้เห็นลูกสาวมีชีวิตที่ดีก็เพียงพอแล้ว สำหรับเรื่องอื่นๆนั้นก็คงต้องรอให้เธอได้กลับไปถึงเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยให้แม่ของเธอค่อยๆอบรมสั่งสอนอีกที
เมื่อไม่ได้สนว่าเธอจะถูกรังแกหรือไม่ ท่านอ๋องมู่ก็ตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องปกป้องดูแลเธอให้เป็นอย่างดี นั่นก็คือให้นางได้แต่งงาน แล้วต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครสามารถมารังแกนางได้อีก
แต่จาวหยางเมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้จะเดินกลับเมืองหลวง เธอก็รีบปฏิเสธขึ้นมาทันทีว่า“ข้าไม่กลับ ข้าไม่อยากแต่งงานเพคะ”
ท่านอ๋องมู่พูดเสียงสั่นว่า “การแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ นั่นเป็นคำสั่งที่พ่อแม่กับบอกกับแม่สื่อเอาไว้แล้ว เจ้ายังจะมาทำเล่นตัวอะไรอีก?”
จาวหยางเงยหน้าไปมองฉินหรูเหลียงอย่างกังวลใจ ฉินหรูเหลียงนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะช่วยเธอพูดอธิบายเลย เธอจึงกัดฟันชี้นิ้วไปทางเขา แล้วพูดขึ้นว่า“ข้าก็ไม่ใช่จะไม่แต่งงาน แต่ถ้าข้าจะแต่งก็ต้องแต่งกับเขา!”
เมื่อคำพูดนั้นออกมา ทำให้ฉินหรูเหลียงและท่านอ๋องมู่ต่างตกตะลึง
ท่านอ๋องมู่ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วจึงพูดขึ้นว่า“เจ้าพูดอะไรเหลวไหล?แม่ทัพฉินได้หมั้นหมายกับจาวเหอเอาไว้แล้ว เจ้าจะเล่นแง่อะไรในเวลานี้อีก?!แล้วยังไม่รีบไปเก็บข้าวของกลับไปกับข้าอีกรึ! ”
จาวหยางจึงเดินไปอยู่ข้างกายของฉินหรูเหลียง เธอก้มหน้ามองลงไปที่เขา ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา แต่รอยยิ้มนั่นกลับแอบแฝงมีเล่ห์นัยอยู่มากมาย เธอกล่าวขึ้นว่า“ข้าไม่สนว่าเขาจะหมั้นหมายกับใคร ใครใช้ให้เขามีความสัมพันธ์ทางกายกับข้ากันล่ะ ข้ากับเขานอนค้างคืนด้วยกันแล้ว ข้าคือผู้หญิงของเขา”
ท่านอ๋องมู่ตื่นตกใจ“เจ้าว่าอะไรนะ?!”
ฉินหรูเหลียงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขามีความหวังดีที่ช่วยเธอกลับมา แต่เธอกลับละเลยความจริงแล้วพูดออกมาอย่างไร้สาระโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดี!เธอไม่สนเกี่ยวกับชื่อเสียงเกียรติยศของเธอก็ว่าช่างแล้ว แต่ตอนนี้ยังกลับมาลากเขาให้เข้าไปฉีกหน้าอีก!
แววตาของฉินหรูเหลียงนั้นเย็นชา เมื่อกำลังจะอ้าปากพูด จู่ๆจาวหยางก็ก้มตัวลงไปกอดเขาไว้ทันที เขาพยายามจะดันตัวเองออก แต่เขาก็ยินเสียงสั่นที่ข้างหูว่า“ข้าขอร้องท่านล่ะ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนอื่น”
ฉินหรูเหลียงเม้มปากแล้วเอ่ยว่า“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ท่านอยากจะแต่งงานกับจาวเหอจริงๆหรือ นางก็ไม่ได้อยากแต่งงานออกไปไกลบ้านขนาดนั้น จะไม่ดีกว่าหรือถ้าเราทั้งสองคนร่วมมือกันแสดงละครฉากหนึ่งขึ้นมา รอเมื่อหลังจากงานแต่งงานจบลง ข้ากับท่านก็ต่างคนต่างอยู่อย่างอิสระ แล้วไม่มีที่อะไรเกี่ยวข้องกัน ท่านคิดว่าอย่างไร ?”
มือของฉินหรูเหลียงค่อยๆลูบคลำไปที่เอวของเธอ เขาต้องการที่จะผลักเธอออกหรือต้องการที่จะโอบกอดเธอเอาไว้ ทั้งหมดนั่นก็อยู่ที่ความคิดของเขาแล้ว
ท่านอ๋องมู่ตื่นตระหนกตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เหมือนกับในตอนนั้นที่ซูเจ๋อจูบดื่มด่ำกับเฉินเสียนในท้องพระโรงและจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเองก็ไม่สามารถที่ตอบโต้อะไรได้
เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของเขาอย่างมาก
จาวหยางกลัวว่าฉินหรูเหลียงจะไม่ยอมช่วยเธอ หรือไม่ก็กลัวว่ามือที่อยู่ที่เอวนั้นจะผลักเธอออกไปจากตัวเขา ดังนั้นเธอจึงโอบกอดไปที่คอของฉินหรูเหลียงเอาไว้อย่างแน่น
จาวหยางรีบพูดขึ้นอีกว่า “ท่านวางใจได้!ข้าจะไม่คิดอะไรเกินจริงกับการแสดงละครจอมปลอมนี้!เพียงแค่เมื่อข้าได้รับอิสระ ข้าก็จะรีบออกไปให้พ้นสายตาของท่าน!และต่อจากนี้ไปท่านจะแต่งงานกับใคร ข้าก็ไม่เข้าไปยุ่ง!ข้ารู้ ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้อยากจะแต่งงานกับจาวเหอ……ข้ารู้ ข้ารู้ว่าท่านมีคนในใจของท่านอยู่แล้ว……”
เธอซุกศรีษะไปในซอกคอของเขา พูดอย่างเบาๆด้วยน้ำตาซึมว่า“เมื่อสองปีที่แล้วท่านมักจะดื่มเหล้าจนเมาอยู่เป็นประจำ ตอนที่ข้าไปส่งท่านกลับจวน ข้าก็จะได้ยินท่านเรียกแต่ชื่อของจักรพรรดิแห่งต้าฉู่……ข้ารู้ว่าท่านชอบเธอ ท่านเห็นแก่เมื่อก่อนที่ข้าไปส่งท่านกลับจวนอยู่เป็นประจำแล้วช่วยข้าสักครั้งได้หรือไม่……”
เมื่อเธอพูดคำเหล่านั้นออกมา เธอก็รู้สึกได้ว่าเอวของตัวเองนั้นถูกกอดแน่นด้วยกำลังแรงที่ใจเย็น ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความปลอดภัยอย่างที่สุด
ที่แท้ความรู้สึกที่ถูกคนอย่างเขากอด มันเป็นความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง
เธอแอบหลั่งน้ำตาในตอนที่ฉินหรูเหลียงมองไม่เห็น เขามีสีหน้าที่อึมครึมยากที่จะพูดออกมา แต่ในท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนที่โอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน ไม่ได้ผลักเธอออกไป
เมื่อท่านอ๋องมู่มีสติกลับมา จึงถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจว่า“แม่ทัพฉิน ท่านจะว่าอย่างไร?”
ฉินหรูเหลียงเงยหน้าไปมองที่ท่านอ๋องมู่ แววตาที่เปิดเผยอย่างเที่ยงตรง เอ่ยขึ้นว่า“ข้าได้มีความสัมพันธ์ทางกายกับเธอแล้วจริงๆ ท่านอ๋องยังจะให้เธอไปแต่งงานกับคนอื่นได้อย่างไรหรือ ?”
ท่านอ๋องมู่ “……”
จาวหยางคิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้น ที่ฉินหรูเหลียงจะกอดเธอเอาไว้เอง แม้ว่ามันจะเป็นแค่แผนการชั่วคราว จาวหยางก็พยายามโอบกอดเขาทั้งน้ำตาและรอยยิ้มเอาไว้อย่างแน่น
เธอควรที่จะมีความสุข เพราะฉินหรูเหลียงยินยอมที่จะช่วยเหลือเธอ และเธอกำลังจะไม่ต้องถูกผูกมัดกับการแต่งงานที่น่ารำคาญอีกต่อไป แต่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจเสียมากกว่า
โชคดีที่ฉินหรูเหลียงยินยอมให้ความร่วมมือ เธอก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอะไรต่อไปอีกแล้ว
เรื่องที่ทั้งสองคนต่างยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว ถ้าเกิดว่าต่างคนต่างไปแต่งงานใหม่นั่นก็ถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบอย่างมาก
เดิมทีแล้วองค์หญิงจาวเหอก็ไม่ได้จะอยากแต่งงานออกจากบ้านไปไกลอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เป็นข่าวดีที่ได้ยินว่าท่านแม่ทัพใหญ่กับจาวหยางจะแต่งงานกัน เธอนั้นยินดีและสนับสนุนเป็นอย่างเต็มที่
ส่วนคู่หมั้นของจาวหยางนั้น ในตอนแรกก็เป็นกังวลกลัวว่าจาวหยางจะมาขโมยความบริสุทธิ์ของเขาไป การที่เธอยกเลิกการแต่งงานไปนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา
ดังนั้นการแต่งงานที่ไม่เชื่อมโยงกันของทั้งคู่ก็ได้ถูกยกเลิกและจัดคู่ใหม่ จาวเหอกับคู่หมั้นของจาวหยางได้ต้องตาชอบใจกัน ดังนั้นจึงกลายเป็นคู่แต่งงานคู่ใหม่ ส่วนคู่หมั้นของจาวหยางจะเป็นอย่างที่จาวหยางพูดเอาไว้อย่างเอือมระอาหรือไม่นั้น ก็คงต้องดูกันต่อไปถึงจะได้รู้
เดิมทีเฉินเสียนนั้นคิดว่าฉินหรูเหลียงจะพลาดจากจาวหยางไปตลอดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะมีจุดเปลี่ยนกลับมาในเส้นทางเดิมได้
เธอจะไปทำอะไรได้ ทั้งคู่ต่างยอมรับแล้วว่ามีความสัมพันธ์ทางกายกันจริง แล้วยังจะต้องเข้าไปขัดขวางอะไรอีกหรือ?แน่นอนว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็คิดเช่นเดียวกันแบบนี้ ครั้นแล้วก็ให้ทั้งคู่ได้นั้นหมั้นหมายกันใหม่อีกครั้ง
ท่านอ๋องมู่รู้สึกเสียใจ เขาไม่เคยคิดที่จะให้ลูกสาวของตัวเองนั้นแต่งงานออกไปไกลขนาดนั้น จากนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะได้เจอหน้ากันอีกสักครั้งหนึ่ง
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพูดโน้มน้าวเขาด้วยความรักและความจริงใจว่า“พ่อแม่อย่างพวกเราก็เป็นเช่นนี้แหละ จะไปเป็นทุกอย่างที่ลูกต้องการได้อย่างไรกัน ถ้าเราให้ในสิ่งที่เราคิดว่าดีกับลูกของเรา ก็ไม่แน่ว่าลูกจะคิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดีก็ได้ ให้พวกเขาเลือกกันเองดีกว่าอย่างนี้สิถึงจะดี ”
ท่านอ๋องมู่คิดไม่ตก พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “นั่นไม่ใช่ลูกสาวของเสด็จพี่ที่แต่งงานหนิ ท่านพูดแบบนี้ได้ก็เพราะท่านไม่ได้ปวดใจนี่พ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ทีตอนแรกที่เจ้าโน้มน้าวให้ข้ายินยอมส่งอ๋องรุ่ยไปต้าฉู่นั้น เจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้หรือ?”
ท่านอ๋องมู่แทบอยากจะดึงปากของตัวเองออก เขาพูดขึ้นอีกว่า“จาวหยางเป็นผู้หญิง ไม่สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ หรือเอาอย่างนี้ดีกว่า เสด็จพี่เรียกให้ฉินหรูเหลียงเข้ามาในเป่ยเซี่ยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าว “เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าฉู่ ถ้าเจ้าให้เขามาอยู่ที่เป่ยเซี่ย นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นการแต่งผู้ชายเข้าหรือ ข้านั้นไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องดูความสมัครใจของเขาว่ายินยอมหรือไม่ ”
ในวันที่ท่านอ๋องมู่ส่งจาวหยางไปแต่งงานนั้น เขาเจ็บปวดใจอย่างมาก เวลาที่พ่อแม่คนอื่นไปส่งลูกแต่งงานต่างก็จะพูดเตือนและกำชับกันเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวอย่างไรในเมื่ออยู่ในจวนของสามี แต่ตลอดทางท่านอ๋องมู่นั้นกลับด่าฉินหรูเหลียงว่าเป็นคนสารเลวต่ำช้า ที่มาทำลายความบริสุทธิ์ของลูกสาวตัวเองไป แล้วยังยุยงให้จาวหยางนั้นถอนหมั้นแล้วหนีงานแต่งอีกด้วย และสัญญาว่าจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นเอง
จาวหยางชำเลืองมองท่านอ๋องมู่ พร้อมกับกล่าวว่า“เมื่อก่อนที่ข้าอยากจะหนีการแต่งงานท่านก็ไม่ยอม แต่ตอนนี้ข้าคิดที่จะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว ท่านกลับอยากจะให้ข้าหนีงานแต่งซะเองหรือเพคะ”
เมื่อเดินทางมาถึงชายแดนของทั้งสองอาณาจักร ท่านอ๋องมู่ได้นำมือของจาวหยางยื่นไปวางบนมือของฉินหรูเหลียง
จาวหยางรู้สึกอาลัย หันกลับมาพูดกับท่านอ๋องมู่ด้วยน้ำตาว่า“ท่านพ่อ ต่อไปถ้าข้ามีเวลา ข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่านบ่อยๆนะเพคะ”
ท่านอ๋องมู่นำมือขึ้นมาปิดหน้าของตัวเอง แล้วร้องไห้ออกมา รู้สึกเสียใจที่ตอนแรกตัวเองไม่น่าพูดเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิเป่ยเซี่ยไปเช่นนั้นเลย ถึงเวลาที่ต้องยกลูกสาวสุดที่รักของตัวเองให้แต่งงานออกไปไกลบ้านจริงๆ นั่นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกไป
จาวหยางและฉินหรูเหลียงจูงมือกัน เข้าไปในจวนของเขา และแต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินกับเขา
เหล่าหญิงสาวในเมืองต่างพากันถอนหายใจอย่างน่าเสียดาย ท่านแม่ทัพผู้เย็นชาที่พวกนางพวกเอื้อมมือไม่ถึงนั้น ได้แต่งงานกับองค์หญิงของเป่ยเซี่ยเสียแล้ว ไม่รู้ว่ามีเหล่าหญิงสาวกี่คนที่ต้องใจแตกสลายเป็นเสี่ยงๆเพราะเรื่องนี้กัน
มีเพียงแค่จาวหยางและฉินหรูเหลียงที่รู้กันเองดีว่านี่มันเป็นเพียงบทละครที่ต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ต่อกัน คืนวันนั้นฉินหรูเหลียงไม่ได้เข้าร่วมเรือนหอกับจาวหยาง เพียงเพื่อให้นางได้พักผ่อน
ทั้งสองคนนอนอยู่บนเตียงเดียว แต่ต่างฝ่ายต่างก็มีความใจในเก็บซ่อนเอาไว้
ไม่กี่วันผ่านไป ทั่วทั้งเมืองก็ซุบซิบนินทาเกี่ยวกับท่านแม่ทัพใหญ่และองค์หญิงกันทั่วเมืองว่า แม่ทัพฉินนั้นกระทำอย่างดุดันกับองค์หญิง ทำให้องค์หญิงไม่สามารถลุกออกมาจากเตียงได้ถึงสามวัน
คนรับใช้ในเรือนต่างก็ไม่เคยได้เห็นจาวหยางออกมาจากห้องเลย
มีเพียงแค่ฉินหรูเหลียงเท่านั้นที่รู้ เมื่อเขาจัดการภาระกิจหน้าที่เกี่ยวกับกองทหารเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นสองสามวันเขาก็กลับมายังห้องนอนใหม่ ห้องนอนใหม่ที่ไม่มีเงาของจาวหยางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
บนเตียงปักด้วยลายสีแดงสด ผ้านวมแสนสุขที่อยู่บนฟูกนอนถูกพับอย่างประณีต
ยังมีชุดแต่งงานของจาวหยางที่เธอควรจะให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ถูกพับไว้อย่างถูกพับเอาไว้อย่างประณีตบนผ้านวมแสนสุข เรียบร้อยมากแม้แต่รอยยับก็ไม่มี
บนชุดแต่งงานมีมงกุฏผมของเจ้าสาววางอยู่อย่างงดงามและโดดเดี่ยว