ตอนที่เฉินเสียนออกมาจากห้องอาบน้ำในยามค่ำ ซูเจ๋อกำลังนอนเอนกายหนุนหมอนอ่านหนังสืออย่างสบายใจ เขาถามเบาๆ ว่า “วันนี้เหนื่อยไหม”
“กะ ก็นิดหน่อย”
ซูเจ๋อเงยหน้ามองเธอนิดหนึ่ง เขายิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขึ้นมานอนเถิด”
เฉินเสียนเอนตัวลงนอนที่ด้านใน เธอรู้สึกสงบเป็นอย่างมากเมื่อฟังเสียงพลิกหน้าหนังสือในมือของเขา ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกผ่อนคลายแต่ว่าไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย เธอค่อยๆ ขยับเข้าไปกอดเอวของซูเจ๋อและขอคำชี้แนะเรื่องกิจภายในราชสำนักจากเขา
ในตอนกลางวันซูเจ๋อจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องในราชสำนักเลย แต่ในตอนกลางคืนเมื่อเฉินเสียนรบเร้าถามเขา เขามักจะให้คำตอบแก่เธออย่างอดทนและละเอียดครอบคลุมเสมอ
ซูเจ๋อโอบเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ลูบไล้ที่ไหล่ของเธออย่างแผ่วเบาผ่านชุดนอนบางๆ ที่กางกั้น ยังมีเวลาอีกยาวไกล พวกเขายังอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปได้จนแก่เฒ่า
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้สัมผัสกับสิ่งของที่ไม่ค่อยดีเมื่อตอนกลางวันหรือเปล่า เฉินเสียนจึงรู้สึกว่านิ้วที่กำลังลูบไล้ไปมาของเขาให้เธอรู้สึกอ่อนไหวแปลกๆ
ในใจของเธอรู้สึกร้อนรุ่มและเธอก็เข้าไปพัวพันกับซูเจ๋ออย่างแนบชิด ซุกไซร้เข้าไปในปกคอเสื้อของซูเจ๋อ สัมผัสผิวกายที่อยู่ใต้อาภรณ์ของเขาอย่างแผ่วเบา
ทันทีที่ได้ยินเสียงหนังสือตกลงไปบนพื้น วินาทีถัดมาซูเจ๋อก็คว้าตัวเฉินเสียนขึ้นมานั่งบนเอวของเขา
เพียงแค่เผชิญหน้ากับเขาชั่วประเดี๋ยวเดียว ใบหูของเฉินเสียนก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดง แววตาเป็นประกายประหนึ่งคลื่นที่ซัดสาด เธอโน้มตัวลงมาหาเขาอย่างเชื่องช้า เอียงศีรษะและประทับจูบลงบนลูกกระเดือกของเขา
เฉินเสียนพบว่าตนเองเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อริมฝีปากของเธอประทับลงไปที่ผิวกายของเขา
ซูเจ๋อเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “น้อยนักที่ท่านจะเป็นฝ่ายรุกเช่นนี้ ดูเหมือนคนที่เรียนรู้เรื่องไม่ดีมาจะไม่ใช่ข้าเสียแล้ว”
เฉินเสียนไม่ยอมและเอ่ยด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวว่า “ข้ายอมให้ท่านโผเข้าหาทุกครั้ง จะยอมให้ข้าโผเข้าหาท่านบ้างไม่ได้เลยหรือ”
ซูเจ๋อเอ่ยอย่างสงบว่า “แน่นอนว่าข้าเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง”
เฉินเสียนจำได้ว่าทุกๆ ครั้ง ซูเจ๋อมักจะทิ้งรอยจูบไว้บนเรือนร่างของเธอ คราวนี้เธอลองทิ้งรอยจูบไว้บนตัวเขาบ้างจะดีไหม?
ด้วยเหตุนี้เฉินเสียนจึงเปิดคอเสื้อของเขาจนเผยให้เห็นผิวสัมผัสที่แข็งแกร่งภายใต้อาภรณ์ เพียงแต่ลิ้นของเฉินเสียนงุ่มง่ามเกินไป เธอสำรวจไปบนผิวของเขา ทว่าสุดท้ายกลับยังทำให้เกิดรอยจูบที่ดูเข้าทีไม่ได้
ขณะที่เธอกำลังพยายามลงแรงให้มากขึ้น กลับได้ยินเสียงซูเจ๋อถอนหายใจราวกับว่าทนไม่ไหว เขาพลิกตัวและกดเธอไว้ใต้ร่าง เลิกชุดนอนของเธอออกอย่างไม่เกรงใจจนเผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าและไหล่ที่ขาวเนียน เขามองเฉินเสียนที่แววตาดูพร่าเลือนและเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อยากเรียนประทับรอยจูบหรือ ข้าจะสอนท่านเอง”
พูดจบเขาก็โน้มศีรษะลงมาขบเธอไว้ กระหวัดปลายลิ้นไปมา อ่อนร่วนและเชือนแช ชั่วพริบตาเดียวก็ไล่ลามไปทั่วเรือนร่างของเธอ
เธอเกือบจะร้องออกมา
ซูเจ๋อจูบเธอพลางเอื้อมมือไปเปิดกล่องผ้าบนหัวเตียง
พอเห็นดังนั้นเฉินเสียนจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “ไปเอาของพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไร ท่านจะกินจริงๆ หรือ”
ซูเจ๋อพรมจูบที่ซอกคอของเธออย่างละเมียดละไมและกล่าวว่า “ในเมื่อเหล่าขุนนางหวังดี ท่านกับข้าก็ควรรับเอาไว้ เพียงแต่ยานี้ไม่ใช่สำหรับข้า มันเป็นยาสำหรับท่าน”
แต่เฉินเสียนรออยู่ครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่นำยานั้นมาป้อนให้เธอ
เธอกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ทันใดนั้นมือของซูเจ๋อก็เลื่อนลงไปจากเอวที่คอดกิ่วของเธอโดยไม่ให้ทันตั้งตัว เฉินเสียนสูดลมหายใจอย่างเยียบเย็นทันทีที่เขาสัมผัส และใบหน้าของเธอก็ยิ่งร้อนผ่าว
เธอมีอารมณ์และเริ่มเปียกชื้นเต็มที่มาตั้งนานแล้ว
เฉินเสียนรู้สึกสะท้านยะเยือก หลังจากนั้นก็ไม่เหลือร่องรอยใดๆ
ยาลูกกลอนละลายอย่างรวดเร็วภายในร่างกายที่ร้อนชื้น และแล้วความรู้สึกแปลกๆ ก็เริ่มลุกลาม
เฉินเสียนทนไม่ไหวและบิดเอวเพื่อเตือนอยู่ใต้เรือนร่างของเขา เธอรู้สึกว่างเปล่าและหิวกระหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปากก็พึมพำออกมาว่า “ซูเจ๋อ…”
ซูเจ๋อค่อยๆ เล้าโลมหยอกล้อเธอทีละนิด “ไม่ใช่ว่าอยากจะข่มข้าหรอกหรือ ท่านจะต้องกดข้าไว้ข้างล่างสิจึงจะถูก”
ว่าแล้วซูเจ๋อก็ยกเอวของเธอขึ้นมา เขาเอนตัวลงนอนข้างล่าง แยกขาของเธอออกและจับให้เธอนั่งคร่อมบนเอวของเขา
เฉินเสียนหายใจหอบกระชั้นครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้สึกละอายมากที่ทำให้เขาเปียกและเริ่มขัดขืนเล็กน้อย “แบบนี้ไม่ดีหรอก….”
“ไม่ดีตรงไหน” ซูเจ๋อถามพลางยกเอวของเธอขึ้นทีละน้อย จากนั้นจึงค่อยๆ ดันตัวเองเข้าไปที่ใจกลางหว่างขาของเธอ
ก่อนที่เฉินเสียนจะตอบสนองใดๆ ซูเจ๋อก็ปล่อยมือของเขาออก จากนั้นร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอจึงตกลงมาในท่านั่ง
แท่งยาวที่รุกล้ำเข้ามาจนสุดโคนทำให้เธอรู้สึกคับแน่น ร่างกายของเธอบีบรัดตามสัญชาตญาณ ทว่าเธอทนรับแรงกระตุ้นนี้ไม่ไหวและล้มลงไปบนตัวซูเจ๋อ ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน ส่วนล่างยังบีบรัดและชักกระตุก
หลังจากรอให้ผ่อนคลายอยู่ครู่หนึ่งเฉินเสียนก็อดไม่ได้ที่จะบิดเอวขึ้นลงเพื่อต้อนรับ ซูเจ๋อประคองเอวของเธอไว้และร่วมมือพาเธอเข้าไปอย่างสุดด้ามในทุกๆ ครั้ง ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์แห่งความปรารถนา สตรีที่อยู่ตรงหน้ากำลังเบ่งบานอย่างสวยงามชวนให้รัญจวนใจ ทั้งยังมอบความสุขให้เขาได้อย่างไม่มีสิ่งใดเทียบ
เฉินเสียนมองเขาด้วยสายตาที่พร่ามัว เธอใช้นิ้วลูบไล้ที่คิ้วของเขาและถามด้วยน้ำเสียงที่หวานหยาดเยิ้ม “ท่านรู้สึกดีไหม”
ซูเจ๋อไม่ตอบ แต่มือที่จับเอวของเธอไว้กลับลงแรงมากยิ่งขึ้น
เฉินเสียนโน้มลงไปจูบที่เปลือกตาของเขาและถามอีกครั้งว่า “ท่านรู้สึกดีหรือเปล่า” ถ้าเขายังไม่ยอมตอบ เธอจะเลิกขยับ
ซูเจ๋อพยายามขืนแรงกระตุ้นไม่ให้ตนเองพลิกตัวและกดเธอไว้ใต้ล่าง เขาขานรับด้วยเสียงที่แหบต่ำว่า “รู้สึกดีมาก”
เฉินเสียนชอบมองยามที่เขาเต็มไปด้วยอารมณ์เสน่หาเพราะเธอ และคำตอบของเขาก็ยิ่งปลุกเร้าให้เธอฮึกเหิม แน่นอนว่าเธออยากทำให้เขารู้สึกดี อยากทำให้เขาได้สัมผัสกับประสบการณ์แห่งความสุขเช่นเดียวกับเธอ
เฉินเสียนไม่ใช่ผู้หญิงไร้เรี่ยวแรง เธอบีบรัดซูเจ๋ออย่างแรงขณะที่ขยับลงไป และบางครั้งก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่หอบกระเส่าของเขา ด้วยเหตุนี้เธอจึงหรี่ตาจับจ้องใบหน้าของซูเจ๋อ พร้อมกันนั้นก็ขยันขยับร่างกายเข้าออกยิ่งกว่าเดิม
ซูเจ๋อหลุบตาลง นัยน์ตาของเขาหรี่แสงลงวูบหนึ่ง เขาเลิกคิ้วทั้งสองข้างและถามว่า “ข้ารูปงามขนาดนั้นเลยหรือ”
เฉินเสียนโน้มศีรษะลงมาจูบเขาและเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “รูปงามที่สุด… ซูเจ๋อ ข้าชอบเหลือเกินที่เห็นท่านเป็นแบบนี้…”
แท้จริงแล้วการอยู่ข้างบนนั้นให้ความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง
เวลาต่อมาดูเหมือนซูเจ๋อจะอยากเป็นฝ่ายรุกบ้าง ทว่าเฉินเสียนไม่ยอมลงมาจากตัวเขา ทั้งสองคนจึงต่อสู้กันอยู่เงียบๆ ซูเจ๋อกดเอวของเธอค้างไว้และกระแทกเข้าไปบดขยี้เธออย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้หัวของเธอขาวโพลนและจมดิ่งอยู่ในกระแสคลื่น
ซูเจ๋อตวัดปลายเสียงขึ้นเล็กน้อย “ปล่อยให้ท่านเป็นคนขึ้นแล้ว ท่านยังไม่คิดจะลงมาอีกหรือ เช่นนั้นลองดูสิว่าท่านจะมีความอดทนขนาดนี้ไหม”
ซูเจ๋ออาศัยช่วงที่เธอยังควบคุมตัวเองไม่ได้พลิกตัวเธอมากดไว้ที่ด้านล่างอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงจู่โจมเข้าไปอย่างรุนแรงและรวดเร็วจนเฉินเสียนอดไม่ได้ที่จะยกเอวขึ้นต้อนรับ…
ขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้ม ซูเจ๋อโน้มใบหน้าลงมาที่คอของเธอและกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า “อาเสียน ยังอยากมีลูกอีกไหม ถ้าท่านอยากมี เราจะมีกันอีกก็ได้”
เฉินเสียนกอดศีรษะของเขาไว้และกระซิบเบาๆ อย่างอ่อนหวาน “เช่นนั้นท่านอยากมีลูกชายหรือลูกสาว”
“ข้าได้ทั้งนั้น”
ถ้าไม่ใช่เพราะมีอาเซี่ยนอยู่แล้ว ซูเจ๋อเองก็ใช่ว่าจะชอบเด็กนัก เฉินเสียนรู้ดี นอกจากนี้เธอยังรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้คิดจะมีลูกอีกคน ไม่อย่างนั้นทำไมในทุกๆ เดือนเขาจึงกลืนกินเธออย่างดุร้ายราวกับเสือกับหมาป่าเฉพาะตอนที่เธออยู่ในระยะปลอดภัย แต่ในระยะที่เธอตั้งครรภ์ง่ายเขากลับควบคุมตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
คืนนี้เป็นช่วงที่เฉินเสียนมีโอกาสตั้งครรภ์ง่าย ดังนั้นในตอนแรกซูเจ๋อจึงไม่ทำอะไรเธอ แต่ถ้าเธอคิดอยากจะมีลูก เขาก็จะไม่ปฏิเสธ
เฉินเสียนตะกายกอดแผ่นหลังของเขาไว้แน่น ลูบไล้รอยแผลเป็นบนแผ่นหลังกว้าง คล้องขาโอบรอบเอวของเขาและเอ่ยอย่างสติเลอะเลือนว่า “ลูกของซูเจ๋อไม่มีทางโง่เขลา หากมีลูกชายอีกคนแล้วเขาฉลาดเกินไป เกิดเป็นศัตรูกับอาเซี่ยนในอนาคต เราจะทำอย่างไร”
“อืม ความกังวลของท่านก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล”
เฉินเสียนหรี่ตาและยิ้มออกมา คล้อยตามจังหวะขยับขึ้นลงของเขา จากนั้นจึงเอ่ยอย่างน่าหลงใหลว่า “แต่ถ้าเป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะเหมือนข้าหรือท่าน นางจะไม่ขี้เหร่แน่นอน ถ้านางเกิดมาสวยและน่ารักเกินไปจนท่านรักนางมากขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร”
ซูเจ๋อถามอย่างแผ่วเบา “ท่านหึงหรือ”
“แน่นอน…” ซูเจ๋อจับเธอไว้และกระแทกเข้าไปในร่างกายของเธอซึ่งบีบรัดแน่น เฉินเสียนยังมีคำพูดที่ติดอยู่ในลำคอ ทว่าเมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมากลับแปรสภาพเป็นเสียงครางต่ำ “อ้า….”
ซูเจ๋อเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “ดูเหมือนจะไม่ดีทั้งนั้นไม่ว่าจะชายหรือหญิง”
เฉินเสียนกัดไหล่เขา เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ใช่ ไม่ดี… เรามีแค่อาเซี่ยนคนเดียว ก็พอแล้ว…”