ไม่แค่นั้น… ขณะที่เฉินเสียนเพิ่งนั่งลงข้างๆ เหลียนชิงโจว พ่อบ้านก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มแล้วเอ่ยเบาๆ อย่างลำบากใจ “องค์หญิง เดิมทีท่านแม่ทัพไม่ได้สั่งให้จัดงานเลี้ยงสามวันนะพะยะค่ะ…”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “อย่างไรเสียก็เป็นงานสมรสของท่านแม่ทัพ งานมงคลที่สำคัญเช่นนี้จะไม่เฉลิมฉลองได้อย่างไร”
พ่อบ้านลังเล “แต่ค่าใช้จ่าย…”
“ไม่เห็นเป็นไร ครอบครัวของฉินหรูเหลียงมีทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่สนใจเงินเพียงแค่นี้หรอก”
พ่อบ้านยังกล่าวต่อว่า “อย่างไรเรื่องนี้ก็ควรปรึกษากับท่านแม่ทัพก่อนนะพะยะค่ะ”
เฉินเสียนหรี่ตามองเขาและเอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการปลอบโยนหลิ่วเหมยอู่ สมควรแล้วหรือที่เจ้าจะไปรบกวน สิ่งที่ข้าพูดมันไม่สำคัญรึ”
พ่อบ้านรีบตอบว่า “บ่าวไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
เฉินเสียนจึงกล่าวว่า “เจ้าอยากจะไปปรึกษากับฉินหรูเหลียงก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็พูดไปแล้ว หากเขาจะเปลี่ยนใจเขานั่นแหละจะเสียใจภายหลัง คนที่จะเสียหน้าไม่ใช่ข้าแต่เป็นเขา แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า เวลานี้ระวังจะเจอเคราะห์เข้าละ”
แน่นอนว่าฉินหรูเหลียงยังคงอารมณ์เสียมาก
พ่อบ้านกล่าวว่า “บ่าวเข้าใจแล้ว” เขาไม่ได้รีบไปพบฉินหรูเหลียง ทว่ารีบไปจัดการค่าใช้จ่ายสำหรับสามวันข้างหน้านี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
ในที่สุดเฉินเสียนก็มีเวลาและเริ่มรับประทานอาหารอย่างช้าๆ และเป็นกิจจะลักษณะ
ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่มีฐานะ ไม่ว่าจะหิวแค่ไหนพวกเขาก็ต้องรับประทานอย่างสง่างามและสุขุม
เหลียนชิงโจวก็เช่นกัน
เขาเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้องค์หญิงทำให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตา”
เฉินเสียนกินถั่วลิสงคลุกเนยและถามว่า “เหลียนชิงโจว ตอนนี้เจ้าทำอะไรอยู่”
“ทำการค้า”
เฉินเสียนเหล่ตามองเขา “เจ้าเป็นพ่อค้า เคยรู้จักกับข้ามาก่อนหรือ”
เหลียนชิงโจวยิ้มและกล่าวว่า “เดิมทีพ่อของกระหม่อมเป็นขุนนางที่เมืองนั้น เมื่อมาหาข้าที่นี่จึงเริ่มทำการค้าขาย องหญิงมีข้อสงสัยอะไรหรือไม่”
เฉินเสียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ จึงกล่าวว่า “แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมเจ้าจึงช่วยข้า แต่ครั้งนี้ข้าต้องขอบใจเจ้ามากๆ เหล้าจอกนี้ข้าขอดื่มให้เจ้า”
เหลียนชิงโจวก็ดื่มเหล้าจอกนี้ด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ขอให้องค์หญิงทรงทราบว่าข้าน้อยไม่มีทางทำร้ายองค์หญิง เรื่องแค่นี้องค์หญิงไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”
“วันหน้าถ้ามีโอกาส ข้าจะตอบแทนความช่วยเหลือของเจ้า”
เหลียนชิงโจวยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวว่า “องค์หญิงจะค่อยๆ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายในอนาคต”
เฉินเสียนเพิ่งเข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เธอไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ก่อนอื่นเธอต้องจัดการปัญหายุ่งๆ ที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อน
“องค์หญิงจะทรงทำอย่างไรต่อไปพะยะค่ะ” เหลียนชิงโจวถาม
เฉินเสียนกลับมาอีกครั้งอย่างเปิดเผยและมีเกียรติ หากคิดจะไปจากที่นี่คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
เดิมทีเธอจะอยู่ให้ห่างไกลจากสถานที่แห่งนี้แล้วใช้ชีวิตหลังจากนี้อย่างสบายๆ และเป็นอิสระก็ได้
แต่เธอไม่ได้ใจกว้างขนาดจะยอมหายตัวไปอย่างคนจนตรอกแล้วปล่อยให้หลิ่วเหมยอู่กับฉินหรูเหลียงได้อยู่ด้วยกันอย่างชื่นมื่น
ในครรภ์ของเธอยังมีเมล็ดพันธุ์อีกหนึ่งเมล็ด เพียงแค่เฉินเซียนคิดว่าเมล็ดพันธุ์นี้จะเติบโตขึ้น
เธอซึ่งยังไม่เคยได้สัมผัสกับผู้ชายอย่างจริงๆ จังๆ จึงนึกไม่ถึงว่าการย้อนมายังอดีตในครั้งนี้เธอจะข้ามขั้นตอนที่สำคัญนี้ไปแล้วกลายเป็นแม่คนเสียอย่างนั้น!
จากนี้ไปเธอจะต้องรับผิดชอบลูกติดคนนี้ไปตลอดหรือ
เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ว่านางจะหายีนที่ดีกว่านี้ให้เด็กคนนี้ไม่ได้หรือ แย่ชะมัดที่เป็นฉินหรูเหลียง
เวรกรรมแท้ๆ!
เฉินเสียนเอ่ยอย่างท้อใจว่า “ข้าทำอะไรได้อีกล่ะ จะปล่อยให้เด็กกำพร้ากับมารดาที่เป็นหม้ายใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ ได้หรือ ในเมื่อข้าแต่งงานกับฉินหรูเหลียง ข้าคงต้องอยู่ที่นี่ไปพลางๆ ก่อน ทุกๆ วันไม่มีอะไรนอกจากขยะแขยงพวกเขาสองคน หรือถ้าหย่ากันข้าก็ต้องได้ทรัพย์สินของครอบครัวครึ่งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาเงินที่ไหนมารักษาใบหน้าที่เสียโฉม จะเอาเงินที่ไหนไปเที่ยวเล่นกับหนุ่มรูปงาม”
เหลียนชิงโจวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “องค์หญิงจะต้องคิดถึงตัวเองก่อน” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่านี่จะเป็นทางออกที่ดี แต่จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้น
เฉินเสียนเอียงศีรษะและครุ่นคิดจนวุ่นอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้างั้นก็จัดการเด็กก่อน จากนั้นค่อยหย่ากับผู้ชายเหลือเดนอย่างฉินหรูเหลียงดีหรือไม่”
สีหน้าของเหลียนชิงโจวเปลี่ยนไป เขากล่าวว่า “ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าองค์หญิงทิ้งบุตรธิดาก็จะไม่ต่างอะไรจากเขาเลย”
เฉินเสียนหรี่ตามองเขา “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นห่วงเด็กคนนี้มากนะ”
“โธ่ ถึงอย่างไรนี่ก็คือชีวิตชีวิตหนึ่งนะพะยะค่ะ”