เธอเงยหน้าขึ้นกระตุกริมฝีปาก จ้องมองซูเจ๋อ “ครั้งก่อนท่านไม่ได้ตอบคำถามนี้กับข้าโดยตรง ครั้งนี้หากมีความสามารถก็ตอบข้า ใช่หรือว่าไม่ใช่? ”
ซูเจ๋อมองด้วยความสงสัยอยู่ครู่ใหญ่ ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน ยิ้มพลางเอ่ยว่า“ขนาดกลิ่นบนตัวของข้า ท่านยังจำได้แม่นยำเช่นนี้ หรือว่าท่านเคยแอบคิดถึงข้า ท่านคิดอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
เฉินเสียนยกยิ้มเย็น “ซูเจ๋อ ท่านพูดให้ชัดเจน ท่านเข้ามาในห้องของข้า สั่งให้ข้าพักที่เรือนของท่าน คำพูดนี้ควรเป็นข้าที่ถามท่านนะ”
ซูเจ๋อหรี่ตามอง
เฉินเสียนมองเขาด้วยสายตาสั่นไหว ถามย้อนกลับมาอย่างคนที่ไม่คิดอะไรมาก“ท่านชอบข้าใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อเอ่ย“ถ้าหากว่าข้าชอบท่าน ท่านจะทำเยี่ยงไร?”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างขำขัน“เหอะ พูดเหมือนกับเป็นเรื่องจริง อีกอย่างตอนนี้ข้าก็คือหญิงที่ตั้งครรภ์ ถ้าหากข้าสวยงามสักนิดหนึ่งยังว่าเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ข้าทั้งเสียโฉม และอัปลักษณ์เช่นนี้ หรือว่าสมองของท่าน….โอ้ย เจ็บบบบบบ!”
ยังพูดไม่ทันจบ เฉินเสียนก็ยื่นมือมาปิดหน้าด้วยความเดือดดาล มองซูเจ๋ออีกครั้ง เห็นนิ้วมือของเขาหนีบรอยแผลเป็นปลอมของเธออยู่
ซูเจ๋อยิ้มอย่างอิ่มเอม ถือโอกาสที่เธอไม่ทันระวัง ก็ดึงอีกสองที่ลงมาด้วย
ใบหน้าที่หายดีสมบูรณ์แบบของเธอนั้น ตอนนี้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ซูเจ๋อเอ่ย“อัปลักษณ์ที่ใดกันเล่า? ข้ารู้สึกว่าท่านก็สวยมากนี่”
“แม่เจ้า ท่านรู้ได้อย่างไร?”
ซูเจ๋อเอื้อนเอ่ยอย่างอ้อยอิ่ง“เพราะว่า ยาขี้ผึ้งที่เหลียนชิงโจวให้ท่านนั้น ข้าเป็นคนทำขึ้นมา รอยแผลเป็นนี่ก็ไม่สมจริงเท่าไหร่ กลับไปข้าจะทำให้ท่านที่เหมือนของจริงสักแผ่น”
เฉินเสียนตื่นตลึงไม่น้อย เมื่อพูดมาเช่นนี้ ความชำนาญด้านการรักษาของคนคนนี้หมอทั่วไปไม่สามารถที่จะบรรลุได้
เฉินเสียนหยิบแผลเป็นปลอมกลับมา ติดแปะกลับคืนอย่างคุ้นชินชำนาญการ สะบัดเสียงใส่แล้วเอ่ย“ชายรูปงามเช่นท่าน ยังรู้เกี่ยวกับทางการแพทย์ ถ้าหากว่าชอบข้าจริงๆ ข้าก็รู้สึกว่าโชคดีเสียจริงๆ คนที่เก่งกาจเช่นท่าน มาชอบคนธรรมดาเยี่ยงข้า? ไม่ต้องรีบหรอก รอหลังจากข้าคลอดลูกแล้ว ข้าจักต้องรับเลี้ยงดูชายรูปงามเช่นท่านแน่นอน”
“ข้าแพงมากนะ”
“ข้าไม่กลัว ข้าจะขยันหาเงิน”
“และข้าก็ขี้อิจฉาริษยา”
“ข้าไม่กลัว ข้าเป็นคนเสมอภาคต่อสิ่งที่ข้าเลี้ยงดู”
ซูเจ๋อไม่ได้จริงจัง เพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร เขารู้ว่าเฉินเสียนเพียงแค่พูดไปเท่านั้นเอง
เฉินเสียนก็ไม่ได้จริงจัง เพียงแค่พลั้งปาก เธอก็รู้ว่าซูเจ๋อไม่มีทางชอบเธอจริงๆ
แต่เฉินเสียนรู้สึกผ่อนคลาย เธอนับว่าได้แก้แค้นเรื่องที่ซูเจ๋อยกมาเมื่อคืนแล้ว
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ในที่สุดเหลียนชิงโจวก็ปรากฏตัวแล้ว
พอเจอหน้า เขาก็พูดอย่างจำใจ “โชคดีที่องค์หญิงไม่ได้อยู่ที่เรือนของกระหม่อม สองวันมานี้ท่านแม่ทัพมักจะมาก่อกวนที่เรือนของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานั้นเฉินเสียนนั่งดื่มน้ำซุปหวานอย่างสำราญอยู่“ก่อนออกจากเรือนเขาไม่ได้กินยาหรือ?”
“เรื่องนี้ใครจะรู้กันเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ตามที่พูดมาฉินหรูเหลียงค้นเรือนของเหลียนชิงโจวจนเกลี้ยงหมดจด ค้นหาคนไม่พบจริงๆถึงได้ยกเลิก
เหลียนชิงโจวหรี่ตามองซูเจ๋อ และหรี่ตามองเฉินเสียน ยิ้มแล้วถาม“วันที่ผ่านมาองค์หญิงพักอยู่ที่นี่คุ้นชินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซูเจ๋อดื่มน้ำชาเหมือนไม่มีอะไร
เฉินเสียนเอ่ย“สหายของท่าน ปกติพูดจาถ้าหากไม่พูดกระตุ้นให้คนอื่นสะเทือนใจ ข้ายังจะค่อนข้างคุ้นชิน”
ซูเจ๋อเตรียมอาหารเสื้อผ้าที่อยู่ให้เธอเรียบร้อยแล้ว ดีจนไม่ต้องจู้จี้จุกจิกเรื่องมาก สิ่งนี้เฉินเสียนไม่ได้พูด
ซูเจ๋อวางแก้วน้ำชาในมือลง เอ่ย“ท่านกินและพักอยู่ที่ของข้า ยังจะไม่พอใจข้าหรือ?”
“จิ้งจอกเหลียนเจ้าดู เขาเริ่มพูดกระตุ้นคนแล้ว”
เหลียนชิงโจวกระแอมไอเสียงต่ำ พิจารณามองอาจารย์เงียบๆ เช่นนี้ก็ถือว่ามีมารยาทมากแล้วนะ โชคดีที่องค์หญิงสูญเสียความทรงจำ ถ้าหากนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนมาได้ จะพูดคุยสนทนากับอาจารย์เช่นนี้ได้อย่างไร
ซูเจ๋อเอ่ย “ชิงโจว ไปเตรียมหน่อย วันนี้ตอนพลบค่ำจะส่งองค์หญิงกลับไป”
เฉินเสียนเห็นเหลียนชิงโจวจะไปเตรียมตัว จึงเอ่ยถาม“อวี้เยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหลียนชิงโจวเอ่ย“องค์หญิวางใจได้พ่ะย่ะค่ะ นางไม่เป็นอันใด ในวันเดียวกับเกี้ยวถูกตีแตก แทนที่จะถูกปล้นก็หลบหนีได้พ่ะย่ะค่ะ ”
“ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว ”เฉินเสียนผ่อนคลายลงมาก
“เพียงแต่ว่าหลังจากที่รู้ว่าเกิดเรื่องกับองค์หญิง อวี้เยี่ยนนางตื่นตระหนกมาก กลับไปที่จวนแม่ทัพอย่างไม่สนสิ่งใดบอกกล่าวให้ฉินหรูเหลียงออกมาตามหาองค์หญิงที่หายไปพ่ะย่ะค่ะ”
วันนั้น ที่ใต้ตีนเขาในยามค่ำคืน คบเพลงเรียงเป็นตับๆนั้นที่แท้เป็นฉินหรูเหลียงที่พาคนออกไปนี่เอง
เฉินเสียนเอ่ย“เช่นนั้นเจ้าไปได้บอกนางหรือว่าตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นอันใด?”
“แจ้งให้นางทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางเฝ้ารอให้องค์หญิงกลับไปทุกคืนวันพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ตอนนี้ก็อยากที่จะกลับไปเร็วๆ เด็กน้อยนั่นไม่รู้ว่าจะร้องไห้งอแงไปถึงไหนแล้ว
ตามที่ซูเจ๋อกับเหลียนชิงโจวจัดการ ทุกคนจะต้องพูดข้อแก้ต่างในทางเดียวกัน
เรื่องที่เฉินเสียนพักอยู่ที่นี่สองวันไม่สามารถเล็ดลอดออกไปได้ ยิ่งเรื่องที่คืนนั้นนักดาบพเนจรถลันขึ้นไปบนเขา ใช้สองมือต่อสู้กับพวกโจรช่วยเธอลงมาจากภูเขา
แต่เวลานั้นเฉินเสียนสลบไม่ได้สติ ถูกส่งออกไปนอกเมืองหลวงรักษาสองวัน วันนี้ก็ถูกส่งกลับมาอย่างปลอดภัย
ตอนพลบค่ำ รถม้าทั่วไปจอดอยู่ที่ประตูหลัง ซูเจ๋อวางแผนให้คนที่เชื่อใจได้ไปส่งเฉินเสียนกลับจวนแม่ทัพด้วยตนเอง
เฉินเสียนหมุนตัวก็เดินไปทางรถม้า เธอกับซูเจ๋อได้ใกล้ชิดกันเพียงสองวัน ก็ไม่ได้มีความอาลัยอาวรณ์กัน
หลังจากอำลา เธอก็ไม่หันมาอีก
ซูเจ๋อสวมใส่ชุดสีเขียว ผมดกดำอยู่ที่ด้านหลัง เขายืนไม่ทุกข์ร้อนอยู่ที่ประตู หินเขียวด้านในตรอกซอยขับให้เขาเด่นราวกับวสันตฤดู เงียบวังเวง
ซูเจ๋อมองเธอขึ้นรถม้าตลอด หลังจากนั้นก็ปล่อยม่านลง
ซูเจ๋อเอ่ยกับเฉินเสียนอยู่หลังม่านด้วยเสียงแผ่วเบา“เดินทางปลอดภัย”
ที่จริงสองวันก่อนหน้านี้สามารถส่งเธอกลับไปได้ แต่ก็ดื้อรั้นพยายามให้เธอพักอยู่ที่นี่สองวัน ถึงทำเช่นนี้ก็รั้งให้เธออยู่ไม่ได้ สุดท้ายเธอก็ยังต้องการที่จะจากไป
รอจนเฉินเสียนไปไกลแล้ว ซูเจ๋อถึงหมุนตัวเข้าไป เอ่ยกับเหลียนชิงโจวว่า“ตอนนี้พูดเรื่องที่อาเสียนถูกปล้นได้แล้ว เจ้าตรวจสอบเจอสิ่งใด”
สองวันนี้เหลียนชิงโจวก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เขาพยายามไปตามหาตรวจสอบต้นสายปลายเหตุของเรื่อง
เหลียนชิงโจวเอ่ย “เป็นศิษย์ที่ประมาทเลินเล่อ ถึงทำให้พวกนั้นมันมีโอกาส มีคนจ้างวานโจรภูเขาที่อยู่นอกเมือง พวกมันต้องการให้องค์หญิงตาย”
ซูเจ๋อไม่เอ่ยพูด รอให้เหลียนชิงโจวพูดอย่างละเอียด
“วันนั้นที่จวนแม่ทัพมีคนมาบอกว่าองค์หญิงต้องการพบศิษย์ สั่งให้ศิษย์เอาเกี้ยวไปรับ แต่หลังจากเกิดเรื่องศิษย์ได้รู้จากปากของอวี้เยี่ยนว่าองค์หญิงไม่ได้สั่งให้คนอื่นมาบอกกล่าวศิษย์ และยังคิดว่าศิษย์มีธุระติดต่อมาเชื้อเชิญองค์หญิงด้วยตนเอง”
“คนนั้นไม่ใช่คนในจวนแม่ทัพ มันเป็นคนที่สวมรอย”
ซูเจ๋อสีหน้าเปล่าเปลี่ยว“หามันเจอหรือยัง?”
“เจอแล้ว มันได้รับคำสั่งให้ไปทำ ตอนนี้ศิษย์ได้ให้ช่างเขียนนำคนที่เขาบรรยายวาดลงไป แล้ว”พูดอยู่เหลียนชิงโจวก็หยิบภาพวาดออกมาจากแขนเสื้อ
ซูเจ๋อเดินอยู่ในสวน ชะงักฝีเท้า ใช้นิ้วมือเปิดภาพวาดออก มองคนที่อยู่ในภาพนั้น และไม่พูดอยู่ครู่ใหญ่ๆ
ภาพวาดนี้ก็เหมือนกับภาพของคนอื่นที่วาดบรรยายออกมา วาดหยาบๆเล็กน้อย บวกกับคนที่บรรยายภาพกับสถานที่ในความทรงจำเลือนราง เพราะว่ามีหลายสถานที่ที่เลอะเลือนเป็นอย่างมาก
ซูเจ๋อข่มสายตา ในสายตาที่เงียบสงบนั้นมีความอึมครึม
“อาจารย์เคยรู้จักมันหรือไม่?”
ซูเจ๋อทำราวกับไม่มีอะไรพับภาพวาดเก็บตามเดิม หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องตำรา
เขาไม่พูดอะไรสักคำ หยิบกระดาษวางลงบนโต๊ะ ใช้มือจับพู่กันจิ้มสีดำ ไม่กี่ทีก็วาดเค้าโครงรูปลักษณ์ภายนอกออกมา
เหลียนชิงโจวยืนอยู่อีกด้านเงียบๆ ซูเจ๋อวาดละเอียดกว่าช่างเขียน คนที่อยู่บนภาพวาดนั้นท่าทางบนใบหน้าคล้ายดั่งเคยพบเจอ
ซูเจ๋อวางพู่กันลง ปล่อยให้ลมพัดรอยหมึกแห้ง
เขาเอ่ย“เอาภาพวาดนี้ไปให้คนที่สวมรอยยืนยันหน่อย สรุปใช่มันหรือไม่ ถ้าหากมันแน่ใจแล้ว มันอาจจะไม่ให้คนอื่นตรวจสอบหามันเจอก็เป็นได้ คนเช่นนี้เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”