นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินหรูเหลียงและเฉินเสียนเข้าวังพร้อมกัน แน่นอนว่าพ่อบ้านจักต้องตระเตรียมอย่างดีที่สุด ห้ามประมาทเลยแม้แต่น้อย
แต่พอเฉินเสียนเดินมาถึงหน้าประตูจวน ก็มองไปยังรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอกคันหนึ่งและขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ
“มีเพียงคันเดียวงั้นรึ?”
พ่อบ้านตอบ: “ขอรับ”
เฉินเสียนชี้ไปที่ฉินหรูเหลียงแล้วชี้มาที่ตัวเอง “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีกันถึงสองคน”
พ่อบ้าน: “แต่……รถม้าคันนี้น่าจะเพียงพอสำหรับท่านแม่ทัพกับองค์หญิงทั้งสองท่านแล้วนะขอรับ”
สองสามีภรรยาเข้าวัง จะนั่งรถคนละคันได้อย่างไร ถึงแม้องค์หญิงและท่านแม่ทัพจะไม่ถูกกันอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรทำให้ผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องตลกไปได้
แถมวันนี้ยังเป็นวันเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอีก อย่างไรก็ตามก็ควรจะแกล้งรักกันบ้าง
ฉินหรูเหลียงไม่พูดพร่ำทำเพลงดึงเฉินเสียนขึ้นรถม้าทันที
บนรถม้าโยกเยกไปมา พ่อบ้านและบ่าวอีกสองสามนายเฝ้าดูอยู่ที่หน้าประตูด้วยความกังวลใจ กลัวว่าทั้งสองจะลงไม้ลงมือกันบนรถม้า และทำให้รถม้าที่พ่อบ้านเตรียมไว้อย่างยากลำบากนั้นพังสลาย
ในรถยังมีเสียงดุด่าจากเฉินเสียนแว่วออกมา: “สุนัขฉิน หากท่านยังกล้าแตะต้องตัวข้าอีกครั้งล่ะก็ ข้าจะตีท่านให้ตายเลยคอยดู!”
“หึ ใครจะไปอยากแตะต้องตัวท่านกัน! ท่านสู้ข้าไหวงั้นรึ?”
“ท่านก็ลองดูสิ อีกประเดี๋ยวอยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิแล้ว คอยดูข้าจะทูลฟ้องเรื่องท่าน!”
รถม้าโคลงเคลงไปมาพร้อมกับเคลื่อนไปข้างหน้า เสียงของเฉินเสียนดังขึ้นเรื่อยๆ “ที่นี่คือเส้นซานปา หากใครข้ามเส้นก่อนคนนั้นเป็นซานปา……”
ระหว่างทางเฉินเสียนไม่พูดกับฉินหรูเหลียงเลยสักคำเดียว เธอหันหน้าไปทางหน้าต่าง ให้แสงพระอาทิตย์จากภายนอกสาดส่องเข้ามา แต่แสงนั่นตกอยู่ที่ดวงตาของฉินหรูเหลียงพอดี ซึ่งแสบตายิ่งนัก
ฉินหรูเหลียงเม้มปากกล่าว: “ปิดหน้าต่างซะ”
“ไม่ ในรถมีกลิ่นเหม็นของสุนัข ข้าเป็นภูมิแพ้ จำเป็นต้องให้อากาศถ่ายเท ”
“เฉินเสียน ท่านไม่ทำให้ข้าโกรธสักวันหนึ่ง จะไม่สบายใจเลยใช่หรือไม่?”
“ท่านโกรธนั่นเป็นเรื่องของท่าน แต่ถ้าหากทำให้ท่านโกรธจนตายได้ ข้าก็มีความสุขมากเช่นกัน ”
“ข้ายิ่งโกรธเจ้าก็ยิ่งมีความสุขงั้นรึ? หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่สามารถทำให้ท่านมีความสุขมากนัก” ฉินหรูเหลียงข่มความโกรธไว้และกล่าวอย่างลึกซึ้งว่า “วันนี้เข้าวังเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ไม่เหมือนกับอยู่ในบ้าน ปกติท่านแสดงเก่งนักมิใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ท่านแสดงให้มันดีๆหน่อยแล้วกัน”
เฉินเสียนเท้าคางของเธอและกล่าวอย่างไร้ความหมายว่า: “ต้องแสดงอย่างไรกัน ? แบบคนรักงั้นหรือ?” เธอจับหน้าอกของเธอแล้วส่ายหน้า “ไม่ได้ แค่คิดข้าก็จะอาเจียนแล้ว ”
“……” ฉินหรูเหลียงกุมขมับแล้วกล่าวว่า “ท่านอย่าลืมนะว่าคนที่จะแต่งงานกับข้าเป็นท่านเอง ตอนนี้ท่านไม่ได้ใสซื่อเหมือนเคยแล้ว แถมยังเปลี่ยนไปมากเช่นนี้ ท่านไม่กังวลว่าองค์จักรพรรดิจะสงสัยเลยงั้นหรือ? ท่านคิดว่าการเข้าวังในวันนี้ เพียงแค่ไปรับอาหารร่วมกันง่ายๆอย่างนั้นหรือ?”
เฉินเสียนกล่าว: “องค์จักรพรรดิจะสงสัยมากเพียงใด ข้าเฉินเสียนก็ยังคงเป็นเฉินเสียน กับต้าฉู่นั้นข้าบริสุทธิ์ใจอย่างหาที่สุดมิได้ ”
“ ‘บริสุทธิ์ใจ’ คำๆนี้ไม่ได้มีไว้ห้อยปากเฉยๆนะ ยิ่งท่านพูดเช่นนี้ก็ยิ่งสงสัยไปใหญ่” ฉินหรูเหลียงกล่าว “ข้าขอเตือนท่าน อย่าฉลาดเกินไปจึงเสียรู้”
เฉินเสียนหรี่ตาลงและมองฉินหรูเหลียงเหมือนเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างไรอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า: “วันนี้ท่านออกมาไม่กินยาอีกแล้วหรือ ?”
ฉินหรูเหลียงหลับตาลง: “ข้ามิได้ป่วยจะกินยาทำไมกัน!”
“โอ้ ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าผู้เขียน เขียนบทของท่านผิดไปหรือพระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกล่ะ ท่านถึงได้คิดเผื่อข้าเช่นนี้?”
แต่เฉินเสียนต้องยอมรับว่าฉินหรูเหลียงนั้นพูดถูก
เธอรู้อยู่แล้วว่า อยากจะให้องค์จักรพรรดิรู้ว่าเธอบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องไม่รีบร้อนที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจออกมา
อีกอย่าง หากนิสัยคนๆหนึ่งเปลี่ยนไปมากนัก มันก็น่าสงสัยจริงๆ
แต่ก่อนเฉินเสียนจะแต่งงานกับฉินหรูเหลียงเพียงผู้เดียว แต่มาวันนี้กลับเป็นเหมือนคนละคน การเปลี่ยนแปลงไปราวกับฟ้ากับเหวเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงให้องค์จักรพรรดิคลางแคลงในสิ่งที่เธอพูด และยังจะสงสัยเธอว่ามีแรงจูงใจอื่นแอบแฝงด้วย
เพื่อที่จะรักษาเกียรติยศของราชวงค์แล้ว ถึงแม้ฉินหรูเหลียงจะไม่ยอม แต่เมื่อเข้าวังไปก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยเฉินเสียนมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
แต่เฉินเสียน ดีที่สุดคงต้องเป็นองค์หญิงจิ้งเสียนผู้ที่ลุ่มหลงต่อฉินหรูเหลียงผู้นั้นเหมือนเดิม
หากว่าเข้าวังคราวนี้ ทั้งสองพูดไม่ตรงกัน บรรยากาศไม่เป็นไปนทิศทางเดียวกัน และไม่มีใครยอมใครล่ะก็ ในใจองค์จักรพรรดิต้องไม่พอใจเป็นแน่ หนึ่งคือ จะรู้สึกว่าจิตใจของฉินหรูเหลียงนั้นหยิ่งผยอง แม้แต่ราชวงค์ก็ไม่อยู่ในสายตาเลย สองคือ จะรู้สึกว่าเฉินเสียนนั้นไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลย และการแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการเอง ในขณะเดียวกันก็จะสงสัยว่าจริงๆแล้วเธอใสซื่อจริงหรือ
รถม้าแล่นไปอย่างช้าๆจนถึงหน้าพระราชวัง เฉินเสียนมองจากหน้าต่างบนรถ เห็นคนในวังกำลังรอรับเสด็จอยู่หน้าประตูเรียบร้อยแล้ว
เฉินเสียนปิดผ้าม่านและจัดชุดของตัวเอง และกล่าวกับฉินหรูเหลียงอย่างใจเย็นว่า: “ท่านต้องรักษาวิธีการของท่าน ส่วนข้าก็จะปกป้องตัวข้าเอง เช่นนี้เราทั้งสองถึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ สุนัขฉิน วันนี้ข้าจะยอมทนแสดงเป็นคู่รักให้ท่านแล้วกัน”
ฉินหรูเหลียงกัดฟัน: “ท่านเป็นองค์หญิง ระวังคำพูดด้วย!”
ฉินหรูเหลียงลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็มีคนในวังสองนายขึ้นหน้ากล่าวทักทาย: “ท่านแม่ทัพ องค์หญิง องค์จักรพรรดิกำลังรอพวกท่านอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินหรูเหลียงยืนอยู่ใต้แสงแดดในชุดคลุมยาวสีน้ำเงิน ไหล่กว้างและเอวคอด ช่างหล่อเหลาเสียจริง
เขาพยักหน้าให้คนในวังที่มาต้อนรับ จากนั้นก็หันหลังเปิดผ้าม่านและเหล่มองเฉินเสียนที่นั่งอยู่ในรถม้า
เพียงชั่วพริบตา ผู้หญิงคนนี้ก็เก็บสีหน้าถากถางของเธอเรียบร้อย เปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นราวกับน้ำและดูสูงส่งอย่างหาที่สุดมิได้ทันที
เฉินเสียนเช่นนี้ เป็น“จิ้งเสียน”ได้จริงๆ
ฉินหรูเหลียงยื่นมือไปที่นาง
ฝ่ามือของเขากว้างใหญ่ ตรงกลางฝ่ามือยังมีร่องรอยที่เกิดจากการฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ยาวนานหลายปี
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้น มองมือของเขาแล้วมองไปยังใบหน้าของเขา และหยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วางมือของตัวเองบนฝ่ามือของเขา
นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉินหรูเหลียงจับมือของเฉินเสียน
ใจของเขาเต้นเร็วเล็กน้อย
ไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้เลยแม้แต่น้อย
เขารู้ว่ามือของเฉินเสียนนั้นขาวและแข็งแรง ไม่อ่อนแอ แต่เมื่อเธอวางมือลงบนฝ่ามือเขานั้น เขาก็รู้สึกตัวเองได้กุมกระดูกชิ้นดีชิ้นหนึ่งไว้ด้วยความรู้สึกที่คลุมเครือ
ฉินหรูเหลียงค่อยๆกุมมือลง และพยุงเฉินเสียนลงจากรถม้าอย่างระวัง
ผู้คนในวังที่อยู่ข้างๆ ได้จำทุกอย่างที่เขาทำไว้ในสายตาแล้ว
“ไปกันเถอะ” ฉินหรูเหลียงพูดเบาๆข้างหูเธอ พลางพูดพลางพยุงเธอไปด้วย
เฉินเสียนพยายามขัดขืน ไม่ต้องการให้เขาจับแน่นเกิน การเข้าใกล้ของฉินหรูเหลียงนั้นทำให้เธอรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
แต่คุณสมบัติขั้นพื้นฐานของการเป็นนักแสดง นั่นก็คือ ไม่ว่าจะเกลียดคู่แข่งมากเพียงใด ก็ต้องต่อบทกับคู่แข่งไปจนจบให้ได้!”
เช่นนี้ เฉินเสียนก็ผ่อนคลายตัวเองลง และพิงไปที่ฉินหรูเหลียงเบาๆ มีรอยยิ้มปรากฏอยู่ในหางตาของเธอ ราวกับว่ากำลังหมกมุ่นอยู่กับความสุขอย่างไรอย่างนั้น
ฉินหรูเหลียงตะลึงกับความสบายของเธอ ไม่เห็นข้อบกพร่องจากใบหน้าของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอดูเหมือนกับเมื่อก่อนที่ยังคงยึดติดกับตัวเองอยู่
ขณะนี้ เฉินเสียนหรี่ตาลงและเตือนเขาเบาๆว่า: “แม่ทัพฉิน อย่ามองแต่ข้าสิ มองทางด้วย”
ฉินหรูเหลียงถึงได้ดึงสติกลับมาได้
เมื่อไปถึงหน้าพระราชวัง องค์จักรพรรดิสวมใส่เสื้อคลุมมังกร พลังที่ดูสูงส่งนั้นไม่สามารถประเมินค่าให้ต่ำไปได้
ทั้งเฉินเสียนและฉินหรูเหลียงก็แสดงความเคารพ จากนั้นจึงประทับลงข้างๆ
[ซานปาคือคำด่าทอในภาษาจีน]