เฉินเสียนยิ้มและพูดว่า: “สงสัยท่านแม่ทัพฉินจะส่งมันไปผิดเรือน เสื้อผ้าและเครื่องประดับใหม่นี้เตรียมไว้สำหรับเหมยอู่มิใช่หรือ?”
ฉินหรูเหลียงรู้สึกหงุดหงิด แต่เดิมตั้งจะมอบให้กับเฉินเสียน แต่ตอนนี้เฉินเสียนกลับพูดเช่นนั้น อยู่ต่อหน้าหลิ่วเหมยอู่เขาก็มิสามารถโต้แย้งได้
ฉินหรูเหลียงกล่าวเพียงว่า: “พรุ่งนี้เป็นวันฉลองพระราชสมภพของสมเด็จพระราชชนนี ท่านควรแต่งกายให้เหมาะสมและอย่าทำให้จวนแม่ทัพต้องอับอาย!”
เฉินเสียนกล่าวยิ้มๆว่า: “ใครบอกว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปกัน?”
“ท่านเป็นถึงองค์หญิงจิ้งเสียน สมเด็จพระราชชนนีฉลองพระราชสมภพ ท่านไม่ได้ร่วมงานได้งั้นหรือ?”
“ตอนนี้ข้าท้องโต ไม่สะดวกหรอก”
ฉินหรูเหลียงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “สมเด็จพระราชชนนีรู้ว่าท่านกำลังมีครรภ์ และพระองค์มิทรงอนุญาตให้ท่านพักผ่อนอยู่ที่จวน ดังนั้น ไม่สะดวกอย่างไรก็ต้องไป มิเช่นนั้น องค์จักรพรรดิเองจะคิดว่าท่านเป็นคนไม่ให้เกียรติ หลังจากแต่งงานเข้าจวนแม่ทัพแล้ว แม้แต่สมเด็จพระราชชนนีก็ไม่ให้เกียรติ”
ฉินหรูเหลียงคิดเผื่อชื่อเสียงของจวนแม่ทัพทั้งนั้น แต่หลิ่วเหมยอู่กลับได้ยินเหมือนเขากำลังคิดเพื่อเฉินเสียนอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกนั้นเหมือนมีหนามงอกขึ้นในเนื้อ เจ็บปวดแต่ก็ถอนออกไม่ได้
สิ่งที่ฉินหรูเหลียงกล่าว ก็เป็นสิ่งที่เฉินเสียนรู้สึกหดหู่มากที่สุดเช่นกัน
สมเด็จพระราชชนนีเป็นมารดาที่ให้กำเนิดขององค์จักรพรรดิ พระองค์ต้องเป็นพวกเดียวกับองค์จักรพรรดิอยู่แล้ว จะมาห่วงใยร่างกายของอดีตองค์หญิงอย่างเธอได้อย่างไร
หากนางไม่ไป สมเด็จพระราชชนนีก็จะว่านาง ในฐานะคนของตระกูลหลวง วันฉลองพระราชสมภพของสมเด็จพระราชชนนีก็ไม่เข้าร่วม ถือเป็นการดูหมิ่นยิ่งนัก
ในเวลานี้ หลิ่วเหมยอู่ได้กล่าวด้วยความคาดหวังและอิจฉาว่า: “สิ่งเหล่านี้ที่ท่านแม่ทัพเตรียมไว้สำหรับองค์หญิงนั้นงดงามเสียจริง องค์หญิงไปเถิดเพคะ ท่านแม่ทัพเองก็ตั้งใจหามาให้ ไม่เหมือนกับเหมยอู่ อยากจะออกไปดูยังมิสามารถเลยเพคะ”
ฉินหรูเหลียงจับมือหลิ่วเหมยอู่อย่างรู้สึกผิด ยิ่งไม่อยากเจอหน้าเฉินเสียนเข้าไปใหญ่
นางจงใจอวดเพื่อให้เหมยอู่รู้สึกไม่สบายใจที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้งั้นหรือ?
เฉินเสียนเลิกคิ้วถาม: “เจ้าอยากไปงั้นหรือ?”
หลิ่วเหมยอู่ตะลึง : “องค์หญิงอย่าเข้าใจหม่อมฉันผิดไปเพคะ เหมยอู่เพียงแค่อิจฉาที่องค์หญิงที่สามารถไปร่วมงานพร้อมท่านแม่ทัพในโอกาสเช่นนั้นได้……”
ถึงแม้คืนนี้เฉินเสียนจะไม่มา หลิ่วเหมยอู่ก็จะพูดเรื่องนี้กับฉินหรูเหลียง หวังให้เขาพานางไปด้วย
เฉินเสียนพูดสบายๆว่า:“ในเมื่อเจ้าอยากจะไป เช่นนั้นเจ้าก็ไปสิ”
ฉินหรูเหลียงขมวดคิ้วและกล่าวว่า: “กลับไปสวนสระวสันตฤดูของท่านไป มาพูดเรื่องไร้สาระอะไรที่นี่”
เฉินเสียนกล่าว: “เพียงแค่ให้เหมยอู่ไปงานเลี้ยงกับท่าน มีอะไรงั้นหรือ ท่านแม่ทัพฉินเป็นคนบอกเองมิใช่หรือว่าหลังจากที่นางแต่งงานเข้ามาแล้ว ตำแหน่งของนางก็เทียบเท่ากับข้า แล้วเหตุใดครั้งนี้ถึงได้มองตำแหน่งนางต่ำไปรู้สึกว่านางไม่มีคุณสมบัตินี้งั้นหรือ?”
“เฉินเสียน ท่านอย่าเสี้ยมเขาให้ชนกันที่นี่!”
“นี่จะเป็นการเสี้ยมเขาให้ชนกันได้อย่างไร พาคนไปเพิ่มสักคนจะเป็นเช่นไรไป และนางก็เป็นอนุภรรยาสุดที่รักของท่านแม่ทัพด้วย ราชวงศ์ก็ไม่ขาดถ้วยชามของนาง อย่างมากก็แค่ถูกคนอื่นมองก็เท่านั้น
พูดจบเฉินเสียนก็ไม่อยู่ต่อ หันหลังและเดินจากไป พร้อมกับกล่าวว่า: “ตัดสินใจเช่นนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ เหมยอู่จะไปกับเราด้วย ถ้านางไม่ไปข้าก็ไม่ไป”
ตอนนี้หลิ่วเหมยอู่ตกตะลึง
นางยังไม่ได้ร้องขอฉินหรูเหลียงเลย ก็เป็นไปตามที่นางหวังแล้วงั้นรึ?
เฉินเสียนจะใจดีขนาดช่วยนางได้อย่างไร แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี กลับกลายเป็นบรรลุเป้าหมายของนางได้
ระหว่างทางกลับ อวี้เยี่ยนดูเศร้าใจและพูดว่า: “เหตุใดองค์หญิงถึงต้องขอให้นางหลิ่วเข้าวังพร้อมกันด้วยเจ้าคะ? นี่มันควรเป็นเกียรติที่ภรรยาเอกของท่านแม่ทัพควรจะได้รับสิเพคะ”
เฉินเสียนกล่าวอย่างเฉยเมยว่า: “การแสดงตนให้เป็นที่สนใจนั้น หากหลิ่วเหมยอู่ชอบนัก ข้าก็ยอมให้นางได้เลย
หากท่านแม่ทัพฉินพานางเข้าวังพร้อมกับเขาในคืนพรุ่งนี้ ก็จะเป็นการดึงดูดความสนใจของคนส่วนมากในงาน เช่นนี้ข้าก็สบายแล้วมิใช่หรือ
ที่สำคัญที่สุดคือ คืนพรุ่งนี้ข้าไม่ต้องแสดงเป็นคู่รักกับสุนัขฉินอีก และยังไม่ต้องนั่งรถม้าคันเดียวกับเขาอีกด้วย”
พรุ่งนี้มีหลิ่วเหมยอู่ไปด้วย นางก็จะสามารถกินๆดื่มๆได้อย่างสบายใจ
เฉินเสียนท้าวเอวของเธอไว้แล้วมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว จากนั้นก็ถอนหายใจและก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า: “สุนัขฉินคู่กับไก่หลิ่ว ช่างเป็นคู่ที่เหมาะกันมากเสียจริง ข้าจะเข้าร่วมด้วยทำไมกัน แค่คิดก็รู้สึกดีมากจริงๆ”
อวี้เยี่ยนกล่าว: “เช่นนั้นองค์หญิงต้องรีบกลับไปพักผ่อนได้แล้วนะเพคะ พรุ่งนี้ยังต้องเตรียมตัวอีก”
“เจ้าว่าสมเด็จพระราชชนนีนี้เป็นอะไรไป ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ก็เป็นเวลานานแล้ว ยังจะฉลองพระราชสมภพอีก เสียทรัพย์มิกลัวเสียชีพจริงๆ”
อวี้เยี่ยนถอนหายใจแล้วกล่าวว่า: “พรุ่งนี้หากองค์หญิงไปถึงวัง โปรดจำไว้นะเพคะ สามารถหลบสมเด็จพระราชชนนีได้ก็หลบนะเพคะ เพราะในอดีตสมเด็จพระราชชนนีทรงเข้มงวดกับองค์หญิงมาก บ่าวกลัวว่าพระองค์จะทรงทำให้องค์หญิงลำบากเพคะ”
กล่าวไปกล่าวมาก็อารมณ์ร้อนขึ้นมา “เสียดายที่บ่าวมิสามารถไปพร้อมองค์หญิงได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น……”
เฉินเสียนจับใบหน้าของนางและกล่าวว่า: ” ในที่สาธารณะเช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นได้กันเล่า? องค์จักรพรรดิและสมเด็จพระราชชนนี แทบอยากจะทำดีกับข้าอย่างหาที่สุดมิได้ แสดงความเมตตาน่ะ เข้าใจหรือไม่?”
อย่างไรก็ตาม อวี้เยี่ยนก็ได้เตรียมการไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น
แต่งตัวเปลี่ยนชุดให้กับเฉินเสียนและไม่ลืมที่จะสอดปิ่นปักผมเงินไว้ในผมของนางและกล่าวว่า: “องค์หญิงเพคะ บ่าวยังคงเป็นกังวลอยู่ ปิ่นปักผมสีเงินนี้องค์หญิงอย่ารังเกียจมันนะเพคะ ก่อนรับอาหารอย่าลืมใช้ปิ่นปักผมนี้ลองก่อนนะเพคะ”
เฉินเสียนเบิกตากว้าง
ในขณะเดียวกัน ที่สวนสระวสันตฤดูก็กำลังเตรียมการอย่างระมัดระวัง
จากการใช้ไม้อ่อนของนางเมื่อคืน ในที่สุดฉินหรูเหลียงก็ตกลงที่จะพานางไปร่วมงานในวันนี้ด้วย
นางไม่มีทางปล่อยให้ฉินหรูเหลียงและเฉินเสียนมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพังได้หรอก
ไม่ว่าอย่างไร หลิ่วเหมยอู่จะต้องแต่งกายอย่างประณีต และนางก็จะสามารถเอาชนะใบหน้าที่น่าเกลียดของเฉินเสียนได้!
หลิ่วเหมยอู่ มีความมั่นใจมากว่า จะไม่มีผู้ใดรู้จักนางในฐานะอดีตหลิ่วเชียนเสวี่ยได้
นางแตกต่างจากหลิ่วเฉียนเฮ้อ ในช่วงที่ตระกูลหลิ่วถูกยึดทรัพท์ หลิ่วเฉียนเฮ้อก็เป็นชายหนุ่มแล้ว และรูปลักษณ์ของเขาคงจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนนางในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง และตอนนี้ก็โตเป็นสาวแล้ว ซึ่งแตกต่างจากเดิมมากนัก
แม้แต่ในวันที่นางและฉินหรูเหลียงแต่งงานกัน ก็ไม่มีผู้ใดรู้สึกคุ้นหน้านางเลยแม้แต่น้อยในท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนั้น
หนึ่งคือ คดีตระกูลหลิ่วผ่านไปนานแล้ว สองคือช่วงวัยเด็กของนางไม่ได้โดดเด่นนัก
หลิ่วเหมยอู่เป็นผู้หญิงคนโปรดของฉินหรูเหลียงในชีวิตนี้ เขาจะทนให้หลิ่วเหมยอู่ขังอยู่ในกรงสีทองตลอดชีวิตและไม่ออกไปดูโลกภายนอกเลยได้อย่างไร
งานฉลองในพระราชวังมีผู้คนมากมาย น่าจะไม่มีผู้ใดให้ความสนใจได้ แม้ว่าฉินหรูเหลียงจะนำผู้หญิงอีกคนไปด้วย แต่มีเฉินเสียนคอยอยู่ด้วย คงไม่เป็นที่สนใจมากเกินไป เหมือนดั่งที่เฉินเสียนกล่าวว่า อย่างมากก็แค่ถูกผู้อื่นมองเท่านั้น
หลิ่วเหมยอู่ในวันนี้ แต่งตัวสวยสดใส ดวงตาของนางเหมือนดั่งสารทฤดู ผิวของนางเงาใสราวกับน้ำ นางสวมชุดสีแดงยาว ช่างดูเป็นหญิงสาวที่มีกิริยาอ่อนหวานแช่มช้อยเสียจริง
ฉินหรูเหลียงมองตาม
ในทางตรงกันข้าม เฉินเสียนยังคงสวมชุดแขนกว้างสีน้ำเงิน ที่เหมาะกับจิ้งเสียน ซึ่งดูสง่างามและถ่อมตัว
คราวนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพ่อบ้านคงต้องเตรียมรถม้าไว้สองคันแล้วล่ะ
แต่หากกล่าวตามกฎแล้ว วันนี้ฉินหรูเหลียงก็ต้องนั่งรถคันเดียวกับเฉินเสียนด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่หลิ่วเหมยอู่ขึ้นรถ นางก็ดึงชายเสื้อของฉินหรูเหลียงไว้ไม่ปล่อย
เฉินเสียนดีใจอย่างมากอยู่แล้ว และยังโบกมือให้กับทั้งสองและกล่าวว่า: “ดีเลย พวกเจ้าทั้งสองนั่งคันเดียวกัน ส่วนข้านั่งไปอีกคันหนึ่ง”
ฉินหรูเหลียงเห็นท่าทีดีใจและไม่มีทีท่าจะเรียกให้เขาไปนั่งด้วยกันของเฉินเสียนเช่นนั้น เขาน่ะหรือจะยอมหาเรื่องให้ลำบากใจ
หลิ่วเหมยอู่กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า: “ร่างกายของเหมยอู่นั้นอ่อนแอ หากจะให้ท่านแม่ทัพดูแลหม่อมฉันมากหน่อย องค์หญิงคงจะไม่ว่าอะไรหรอกนะเพคะ?”