เซียงหลิงนางรู้ว่านางไม่มีทางเลือก
ในที่สุดเซียงหลิงที่หมอบอยู่กับพื้นนั้นก็เอาหน้าผากแนบกับพื้น แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ขอองค์หญิงโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”
เฉินเสียนยกมือขึ้น แล้วใช้ปลายนิ้วเย็นลูบไล้ไปที่ลำคอของเซียงหลิง เซียงหลิงได้แต่อดทนต่อความน่าหวาดกลัวนี้เอาไว้
เธอทำเป็นช่วยเซียงหลิงจัดแจงเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิ่ง แล้วลูบไล้ไปที่ผมของนาง “ต่อจากนี้ไปเจ้าก็ยังคงทำงานในสวนดอกพุดตานเหมือนเดิม เพียงแค่เจ้าทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังคงปรนนิบัติรับใช้เหมยอู่ต่อไป เพียงแต่ถ้านางจะทำการสิ่งใด ข้าต้องรู้ เข้าใจหรือไม่?”
เฉินเสียนมองนางแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อนี่ก็เป็นการปกป้องตัวเอง เส้นทางนี้สำหรับเจ้าแล้วไม่มีทางผิด มีแต่จะเกิดประโยชน์แก่เจ้า ข้าจะให้อภัยและยกโทษเรื่องราวที่เจ้าทำไว้ในอดีต เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะมาตายในเงื้อมมือของข้าหรอก ถึงแม้ว่าในวันข้างหน้าเหมยอู่จะให้เจ้าไปตายแทน ข้าก็ออกหน้าปกป้องรับแทนเจ้าไม่ให้ตายได้ ”
เซียงหลิงเบิกตากว้าง นี่แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ดีโดยจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวนาง
อีกอย่างกับการแค่ส่งข่าว สำหรับเซียงหลิงแล้วนั้นไม่ได้ยากอะไร เพียงแค่เธอทำหน้าที่ของทุกๆวันเหมือนเดิม หลิวเหมยอู่ก็ไม่สามารถทำให้เธอลำบากใจได้
“เป็นอย่างไร รู้สึกว่ามันง่ายใช่หรือไม่?”
เซียงหลิงคุกเข่าแล้วโน้มศีรษะแนบกับพื้นแล้วพูดว่า “ เพียงแค่องค์หญิงสามารถปกป้องบ่าวได้ บ่าวก็ยินดีเชื่อฟังองค์หญิงเพคะ มีเรื่องอะไรบ่าวจะรีบมาแจ้งกับองค์หญิงเพคะ”
“แล้วเจ้าก็ควรรู้ไว้ว่า เรื่องที่เจ้าสัญญากับข้าวันนี้ หลังจากนี้ถ้าเจ้าเอาไปบอกหลิวเหมยอู่ ข้าจะบี้เจ้าให้ตายง่ายๆเหมือนกับบี้มดก็ยังได้ แต่เมื่อเทียบกับบี้มดให้ตายแล้วนั้นเจ้ายังน่าเวทนากว่า รู้หรือไม่?”
เซียงหลิงตัวแข็งทื่อ พูดอย่างสั่นกลัวว่า “องค์หญิงวางใจได้ บ่าวไม่มีความคิดเป็นอย่างอื่น อย่างวันนี้ที่บ่าวตกลงไปในบ่อโคลนยากที่ดึงตัวเองขึ้นมาได้ ขอเพียงแค่หวังว่าจะสามารถรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้! บ่าวยินดีขอสาบานด้วยยาพิษ ว่าจะไม่ทรยศต่อองค์หญิงอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นขอให้บ่าวไม่ตายดี!”
เฉินเสียนมองไปที่นางแล้วพูดว่า “เช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วค่อยเอายาไปให้เหมยอู่”
“เพคะ”
เซียงหลิงเช็ดน้ำตา แล้วจัดแจงชุดเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แล้วจึงขอตัวออกไปจากศาลา
อวี้เยี่ยนมองไปที่ด้านหลังของนาง แล้วพูดกับเฉินเสียนว่า “องค์หญิง เซียงหลิงเชื่อถือได้หรือเพคะ?แม้แต่นางหลิวนางยังหักหลังได้ แล้วกับองค์หญิงนางจะไม่หักหลังหรือเพคะ บ่าวคิดว่านางไว้ใจไม่ได้นะเพคะ ”
เฉินเสียนเม้มริมฝีปาก ค่อยๆเดินออกจากศาลาไปแล้วพูดว่า “คนที่เดินอยู่บนขอบหน้าผานั้นจะรู้ดีว่า ต้องทำอย่างไรที่จะไม่ตกลงไปในเหวนั้น นางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม สำหรับข้าแล้วข้าไม่ได้สูญเสียอะไร ข้าเพียงแค่ต้องการใช้ข่าวสารจากนางมาเป็นแหล่งอ้างอิง แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่นั้น มันคงมีผลกระทบต่อนางเองอย่างมาก”
หลังจากนั้นเฉินเสียนได้ไตร่ตรองแล้วพูดขึ้นทันทีว่า “อวี้เยี่ยน เจ้าเคยได้ยินชื่อ เซียนเสวี่ย ชื่อนี้มาก่อนหรือไม่?”
อวี้เยี่ยนขมวดคิ้วแล้วคิดอยู่สักครู่ จึงพูดออกมาว่า “เวลานี้บ่าวคิดไม่ออก แต่เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน”
เฉินเสียน “แปลกจัง ข้ารู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูมาก”
วันที่สอง เซียงซั่นมารออยู่ที่หน้าสวนสระวสันตฤดู อ้างเหตุผลมาเยี่ยมเฉินเสียนโดยการซื้อขี้ผึ้งหอมมาฝาก
พอดีเมื่อสองวันก่อน อวี้เยี่ยนเห็นเซียงหลิงกำลังลงมือทำอะไรบางอย่างกับอาหารของเซียงซั่นอยู่ จึงเอ่ยคำคลุมเครือออกมาไม่กี่ประโยค
ที่เซียงซั่นมาในวันนี้ นางได้โอกาสนำซุปที่สาวใช้ไปเอามาจากครัวหลัง
เซียงซั่นพูดขึ้นอย่างเกรงใจว่า “องค์หญิง ข้ามีเรื่องที่ไม่เข้าใจ อยากให้องค์หญิงช่วยชี้แนะเพคะ”
“เรื่องอะไรหรือ?”
เซียงซั่นเรียกให้สาวใช้นำซุปนั้นขึ้นมาวาง แล้วพูดว่า “วันนี้สาวใช้ของข้าไปที่ครัวหลังแล้วไปพบกับเซียงหลิง ครั้งที่แล้วโชคดีที่อวี้เยี่ยนพูดเตือนเอาไว้ ทำให้นางได้คิด แล้วข้าก็เห็นมากับตาตัวเองว่าเซียงหลิงใส่ของบางอย่างลงไปในซุปนั้นจริงๆ
ข้าอยากให้องค์หญิงช่วยข้าดูให้หน่อย ว่าซุปนี้นั้นมันเติมอะไรลงไปกันแน่ มิน่าหล่ะไม่กี่วันมานี้ข้ากินแล้วรู้สึกว่ากลิ่นยามันเบาลง”
เฉินเสียนได้กลิ่นยาที่ยากจะสัมผัสได้ หรี่ตายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินว่าช่วงนี้แม่ทัพมักจะมาพักค้างคืนอยู่ที่สวนเซียงเสวี่ยอยู่บ่อยๆ เหมยอู่กลัวอะไร หรือว่าเจ้าไม่รู้?”
สีหน้าของเซียงซั่นเปลี่ยนไป “องค์หญิงหมายความว่า…..”
“หลีกได้ก็หลีก ยิ่งนานเข้า ถ้าเจ้าอยากจะมีลูกนั้นก็จะเป็นเรื่องยากแล้ว”
คำพูดที่พูดออกมา เซียงซั่นรู้สึกโกรธแค้นมาก นางก่นด่าขึ้น “นางหญิงชั่วร้ายใจอำมหิต!นางตั้งครรถ์เองไม่ได้ แล้วยังอยากให้ข้าตั้งครรถ์ไม่ได้อีกหรือ นี่ไม่อยากให้แม่ทัพได้มีลูกหลานสืบสกุุลกันเลยหรือไง!”
เฉินเสียนพูดอย่างเนิบๆว่า “แม่ทัพสายตาฉลาดหลักแหลม มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว นั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เซียงซั่นพูด “ขอบพระทัยองค์หญิงที่ชี้แนะข้า ข้าไม่รบกวนองค์หญิงแล้วเพคะ” เมื่อพูดจบก็ค่อยๆพาสาวใช้กลับไป
หลังจากส่งเซียงซั่นกลับไปแล้ว เฉินเสียนกลับเข้าเรือนแล้วบอกให้อวี้เยี่ยนนำเสื้อที่ไปทำใหม่เอามาให้นางเปลี่ยนชุด
ขณะที่อวี้เยี่ยนกำลังจัดแจงเรื่องเครื่องแต่งกายอยู่ สายตาก็เหลือบมองผมยาวที่ถูกรวบตึงสูงของผู้กล้าหาญผู้นี้แล้วพูดว่า “องค์หญิงแน่ใจหรือเพคะว่าจะใส่ชุดนี้ออกไปข้างนอก?”
เวลานั้นเฉินเสียนก็หยิบที่เขียนคิ้วมาเขียนให้คิ้วดูหนาขึ้น แล้วพูดว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรเล่า?อวี้เยี่ยน เรื่องที่พวกเราออกไปทำนั้นมันเป็นเรื่องไม่ดี ดังนั้นต้องปลอมตัวกันหน่อย”
เฉินเสียนฉีกมุมเสื้อออก แล้วส่องกระจก เธอดูคล้ายกับองค์ชายในวรรณกรรมอย่างมาก อดใจไม่ได้ที่จะส่องดูแล้วส่องดูอีก
หลังจากนั้นอวี้เยี่ยนก็ไปเปลี่ยนชุดปลอมตัวเป็นผู้ชาย เกล้าผมขึ้นเป็นมวยกลม ใบหน้าดูสะอาดนุ่มนวล นัยน์ตาสดใสแวววาวเป็นประกาย
เฉินเสียนเหลือบมองแล้วเหลือบมองอีก แล้วพูดว่า “ มองยังไงก็ทำให้คนอยากจะก่ออาชญากรรม เอ้ย ชั่งเถอะ งั้นก็ตามนี้แล้วกัน”
เมื่อรู้ว่าเฉินเสียนจะออกไปข้างนอก เดิมทีไม่ได้อยากพาอวี้เยี่ยนไปด้วย แต่อวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยไม่วางใจที่จะให้องค์หญิงไปคนเดียว
แม่นมซุยอยู่ที่สวนสระวสันตฤดูเพื่ออยู่ดูแลเจ้าน่องน้อย แล้วพูดกำชับว่า “องค์หญิงต้องระมัดระวังตัวนะเพคะ”
“รู้แล้วหน่าเอ้อร์เหนียง” เฉินเสียนจูบลงไปที่ใบหน้าของเจ้าน่องน้อย แล้วพูดว่า “เจ้าน่องน้อย แม่ต้องออกไปชำระความแค้น เจ้าอยู่บ้านต้องเป็นเด็กดีเข้าใจหรือไม่ หิวนมก็ไปหาเอ้อร์เหนียงนะ ดูแลตัวเองด้วย”
เจ้าน่องน้อยค่อยๆลืมตาช้าๆชำเลืองมองมาที่เธอ แล้วก็หลับตาลง
หลังออกจากจวนแม่ทัพ เฉินเสียนพาอวี้เยี่ยนเดินไปตามท้องถนน บนท้องถนนนั้นมีผู้คนมากมาย ผู้คนเหล่านั้นมองมายังทั้งคู่ด้วยสายตาที่แปลกๆ
อวี้เยี่ยนกระซิบขึ้นว่า “องค์ องค์หญิง ทำไมพวกเขา…… ถึงได้แต่จ้องมาที่พวกเราล่ะเพคะ?”
เฉินเสียนหลับตาแล้วลืมตาขึ้น แตะไปที่หน้าอกของอวี้เยี่ยนอย่างไม่ตั้งใจ
อวี้เยี่ยนไม่ทันได้ตั้งตัว และอุทานออกมาด้วยความตกใจ รีบเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอก แสดงสีหน้าออกมาด้วยทั้งความอับอายและโกรธ
เฉินเสียนยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ? เพราะพวกเขาน่าจะไม่เคยเห็นชายหนุ่มที่มีลักษณะขี้อายแบบเจ้า ท่าทางการเดินบิดไปบิดมา เอามือทั้งสองกอดอกไว้แล้วยังแสดงสีหน้าอย่างเขินอาย แบบนี้ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจ ไม่รู้หรือ?”
อวี้เยี่ยนพูดอย่างหมดกำลังใจ “อ่อ”
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เธอไม่เคยแต่งตัวเป็นชายออกมาข้างนอกเลย
เฉินเสียนชี้แนะด้วยความจริงใจ “เงยหน้าขึ้นแล้วเดินต่อไปอย่างสง่าผ่าเผย ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ชายเจ้าจะกลัวอะไร ยังต้องไปกังวลอะไรกับศักดิ์ศรีความสง่างามอยู่อีก แค่เดินไปบนถนนอย่างปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
เมื่ออวี้เยี่ยนได้คำชี้แนะจากเฉินเสียนก็ค่อยๆผ่อนคลายลง แล้วพบว่าไม่มีสายตาที่จ้องเธอแบบนั้นอีก เวลานั้นจิตใจเธอก็รู้สึกพองโตขึ้นมา อยากเดินไปทางไหนก็เดินได้ เธอละทิ้งข้อจำกัดมากมายของความเป็นหญิงที่ผูกมัดไว้นั้นออกไป อวี้เยี่ยนรู้สึกได้ถึงความเป็นอิสระที่ไม่เคยเจอมาก่อน
คล้ายกับว่าเธอได้วิ่งหนีออกไปอย่างไม่หยุดนิ่ง
ทั้งสองคนเดินทางใช้เวลาตั้งแต่เมื่อวานตอนกลางคืนเพื่อไปยังร้านยาสมุนไพรที่เซียงหลิงบอก