ถนนเส้นนี้ค่อยข้างจะเงียบเหงา มีเพียงคนเดินผ่านไปมาเป็นครั้งคราว
พื้นที่ที่อยู่อาศัยในใจกลางเมืองหลวงนั้นถูกแบ่งออกเป็น สาม หก และเก้าระดับ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี้นั้นเป็นระดับสุดท้าย ด้วยเหตุที่อยู่ไกลทำให้ความเจริญนั้นไม่เท่ากับที่อื่น
เฉินเสียนยืนอยู่หน้าร้านยาสมุนไพร ประตูใหญ่ถูกปิดแน่น ป้ายคำขวัญคู่ที่ติดอยู่หน้าประตูนั้นปกคุลมไปด้วยฝุ่น ยังมีหยักไย่สองเส้นติดอยู่ที่มุมอีกด้วย
มองดูแล้ว ที่นี่คงไม่ได้เปิดร้านมานานแล้ว
เฉินเสียนกับอวี้เยี่ยนเดินเข้าไปหาหมอคนนั้นพร้อมกัน มันเป็นตรอกเล็กๆที่ทรุดโทรม อวี้เยี่ยนนับบ้านที่อยู่ที่นี้แต่ละหลังได้ จนเดินมาหยุดอยู่ที่บ้านท้ายตรอก
เคาะประตูอยู่สักพัก สุดท้ายก็ไม่มีคนมาเปิดประตู
เฉินเสียนจึงผลักประตูเข้าไป พบว่าประตูนั้นไม่ได้ล๊อก ผลักนิดเดียวประตูก็เปิดออก
เธอก้าวเท้าเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ที่นี่ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร มีเพียงห้องรับแขกหนึ่งห้อง ห้องพักอาศัยสองห้อง ไม่มีใครอยู่เลยสักคน
มองดูบนโต๊ะแล้วมีแต่ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ที่นี่น่าจะไม่มีใครอยู่มาสักพักแล้ว
อวี้เยี่ยนพูดด้วยความวิตกกังวัลว่า “องค์หญิง หรือว่าเขาจะรู้ข่าวแล้วหนีไปแล้วหรือไม่เพคะ?”
เฉินเสียนยืนอยู่ในห้องรับแขกแล้วมองไปรอบๆ สายตาก้มไปมองที่มุมพื้น พบว่าเป็นรอยคราบสีแดงเข้มติดอยู่เลือนราง เหมือนกับสีสนิมที่ไม่ได้ขัดมานาน
เฉินเสียนพูดขึ้น “ไม่น่าจะใช่ เซียงหลิงมาส่งข่าวไม่ทันหรอก แล้วอีกอย่างที่นี่คงไม่มีคนอยู่มานานแล้ว ถ้าได้ข่าวแล้วหนีไป ทำไมของทุกอย่างในห้องนอนนั้นไม่ได้ขยับเลย เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่มีค่านั้นก็ไม่ได้เก็บไป”
เฉินเสียนหรี่ตามอง แล้วยิ้มแบบเจื่อนๆ พูดอีกว่า “อีกอย่าง อวี้เยี่ยนที่ที่เจ้ายืนอยู่นั้นมีกองเลือดด้วย”
คำพูดที่พูดออกมา ทำให้อวี้เยี่ยนตื่นตกใจ แล้วรีบกระโดดหนีออกทันที
เฉินเสียนยิ้มออกมา อวี้เยี่ยนพูดแบบไม่พอใจ “ขนาดเวลาแบบนี้ องค์หญิงยังกล้าจะมาล้อเล่นอีกนะเพคะ!”
ในที่สุดทั้งสองคนก็เดินสำรวจบ้านหลังนี้โดยไม่สัมผัสกับอะไรเลย
เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เฉินเสียนทั้งต้องดูแลรักษาตัวเองและยังต้องเป็นห่วงเรื่องเจ้าน่องน้อยที่อยู่ในพระราชวังอีก เลยไม่มีเวลามาชำระสะสางเรื่องพวกนี้
ที่เฉินเสียนไม่รีบชำระความแค้นนี้ เพราะว่าเธอรู้ดีว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะละเลยปล่อยให้หมอที่ช่วยคนอื่นทำเรื่องชั่วๆเป็นอิสระแล้วอยู่เหนือกฎหมายได้
ดูเหมือนครั้งนี้เธอจะมาแล้วไม่ได้อะไรกลับไปเลย
แต่ที่เฉินเสียนมั่นใจได้ก็คือ คราบเลือดที่อยู่ในห้องรับแขกนี้ไม่ใช่ของปลอม
บางทีเธออาจมาช้าไปทำให้หมอที่ก่อเรื่องหนีไปแล้ว หรือไม่ก็เขาอาจจะยังไม่ทันหนี แต่โดนฆ่าปิดปากเสียก่อน
ดูจากคราบเลือดนั่นแล้ว สถาณการณ์น่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
เพียงแค่ไม่รู้ว่าคนที่ฆ่าปิดปากเขานั้นแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่
“องค์หญิง แล้วพวกเราจะต้องทำอย่างไรดีเพคะ?”
“กลับกันเถอะ”
เฉินเสียนเปิดประตูลานบ้านออก เมื่อเพิ่งจะเดินออกจากลานบ้าน ก็ต้องหยุดฝีเท้าลง
ผนังกำแพงของตรอกที่ทรุดโทรมนั้นถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียวของตะไคร้ มีคนคนหนึ่งยืนพิงกำแพงอยู่
เฉินเสียนมองจากทางด้านข้าง หรี่ตามองแล้วหรี่ตามองอีก เห็นเขาใส่ชุดสีดำผมสีดำ ขาข้างหนึ่งพิงกำแพงอยู่ มือขาวสะอาดกำลังควงสิ่งของสีเขียวชอุ่มอยู่ ที่ปากยังคาบไว้อยู่อีกอันหนึ่ง
ด้านข้างนั้นดูโดดเด่นไร้ที่ติ ดวงตาที่แคบยาวจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่อยู่บนมือ
รูปร่างของเขาราวกับเป็นแสงสว่าง ส่องแสงให้ตรอกเส้นนี้สว่างไปทั้งตรอก
เฉินเสียนพูดกับเขาว่า “ซูเจ๋อ ท่านมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร?”
ซูเจ๋อเงยหน้าขึ้นมา แล้วยิ้มให้กับองค์หญิง “โอ้ บังเอิญเสียจริง”
เฉินเสียนกระตุกมุมปาก “บังเอิญที่ไหนกัน ท่านอย่ามาพูดว่านี่การพบกันโดยบังเอิญ”
ซูเจ๋อพูดอย่างไม่กลัวเกรงว่า “ข้าบังเอิญมาแถวนี้จริงๆ องค์หญิงตามหาคนที่องค์หญิงหาพบหรือยัง?”
เฉินเสียนพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ปล่อยเขาไปแล้ว”
ซูเจ๋อพูด “โอ้ จริงหรอ น่าเสียดายเสียจริง”
เธอไม่พบพิรุธอะไรบนใบหน้าของเขาแม้แต่น้อย แต่ทำไมซูเจ๋อถึงรู้จักสถานที่แห่งนี้ได้?
ซูเจ๋อวางมือลง แล้วกางมือออกมามอบให้เฉินเสียน นั่นคือจิ้งหรีดตัวหนึ่งที่ถูกถักทออย่างประณีตมาก
ซูเจ๋อพูดขึ้นมาว่า “บรรยากาศสารทฤดูนี้น่าสนุก ข้าสามารถชวนท่านไปท่องเที่ยวชมสารทฤดูด้วยกันได้หรือไม่?”
แสงแดดที่ส่องทแยงมุมลงมาจากด้านบนกำแพง ส่องลงบนใบหน้าอันงดงามของเขา ขนตาล่างที่เหมือนของปลอมนั่นยาวลึกลงไปหาเขา
เฉินเสียนหรี่ตามองแล้วหัวเราะ “ท่านชวนข้าไปเที่ยวชมสารทฤดูหรือ?ท่านหาคนอื่นไปด้วยไม่ได้แล้วหรือ ถึงมาชวนข้า?”
“ใช่แล้ว พอดีวันนี้ข้ามีเวลา ได้ยินมาว่าป่าเมเปิ้ลแถบชานเมืองนั้นบรรยกาศสวยมาก ”ซูเจ๋อยิ้มอย่างไร้เดียงสา “คนเดียวจะไปสนุกอะไร มีเพื่อนไปน่าจะสนุกกว่า”
เฉินเสียนเหล่มองที่เขา “ท่านเป็นผู้มีพรสวรรค์ แม้หาผู้หญิงร่วมเดินทางไปด้วยกันไม่ได้ ก็ขอเพียงแค่ท่านเอ่ยปากพูด ข้าเกรงว่าจะมีผู้หญิงจำนวนมากมารุมอยู่เบื้องหน้าท่าน”
ซูเจ๋อพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าไม่ถนัดเรื่องการคบหาผู้หญิงเลย ข้าจะรู้สึกประหม่าและอึดอัด มีเพียงแค่ท่านที่จะให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง”
“พูดเหมือนว่าท่านบริสุทธิ์ใจอย่างนั้นแหละ”
ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้น “ข้าดูไม่เหมือนบริสุทธิ์ใจหรือ? ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ท่านรู้สึกไม่ดีกับข้า ข้าจะเปลี่ยน”
เฉินเสียนเหลือบตามองบนแล้วพูดว่า “ท่านพอเถอะ วันนี้ข้าไม่มีเวลาไปกับท่าน ท่านไปหาคนอื่นไปเป็นเพื่อนเถอะไม่ก็ไปหาเหลียนชิงโจวสิ”
“เหลียนชิงโจวยุ่งกับการหาเงิน วันนี้องค์หญิงไม่มีเวลา ยุ่งมากหรือ?”
“ใช่แล้ว ข้ายุ่งมาก ข้าต้องกลับไปเล่นกับลูกที่บ้าน!”
พูดจบเฉินเสียนก็จับมืออวี้เยี่ยนที่ยืนงงงวยอยู่หันหลังแล้วเดินไป
อวี้เยี่ยนตกใจกลัวราวกับจิตใจไม่อยู่กับตัว
ใต้เท้าซู…..เปลี่ยนไปเป็นคนดีอย่างมาก อวี้เยี่ยนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
น่าจะเป็นเพราะว่าองค์หญิงจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงดูผ่อนคลายมาก
ซูเจ๋อที่อยู่ด้านหลัง ยืนหลังตรงปัดชายเสื้อไปมาแล้วพูดเบาๆว่า “ท่านไม่อยากรู้หรือว่าหมอที่อยู่ที่นี่ไปไหนแล้ว”
เฉินเสียนหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองที่เขา
เขากระตุกมุมปาก แล้วพูดว่า “ท่านไปเที่ยวชมสารทฤดูกับข้าก่อน แล้วข้าจะบอกกับท่านเอง”
เฉินเสียนถอนหายใจยาว มีใครที่ชวนคนอื่นไม่สำเร็จแล้วยังจะบีบบังคับให้คนอื่นไปด้วยอีกไหม?
เฉินเสียนกับอวี้เหยี่ยนเดินหน้าต่อไป ซูเจ๋อเดินตามหลังมาอย่างแช่มช้า
ตรอกเส้นนี้มีเพียงแค่เส้นทางเดียว ทุกคนต่างก็ต้องใช้เส้นทางนี้ร่วมกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพียงแต่ยังไม่ทันถึงปากทาง ก็มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดขวางอยู่ตรงกลาง ปิดทางออกไว้แน่น
อวี้เยี่ยนที่กำลังจะเรียกให้คนขับรถม้านำรถม้าไปจอดไว้ข้างทาง ซูเจ๋อที่อยู่ด้านหลังก็พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “อวี้เยี่ยน เจ้ากลับไปหาซุยเอ้อร์เหนียงดูแลเจ้าน่องน้อยให้ดีๆ”
เฉินเสียนยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกซูเจ๋อจับมือพาลากขึ้นรถม้าไป
“เฮ้ย บ้าจริง ข้าพูดแล้วหรือว่าข้าจะไปกับท่าน!”
อวี้เยี่ยนที่ได้แต่มองรถม้าที่เคลื่อนไปข้างหน้า พูดออกมาช้าๆอย่างระมัดระวังว่า“องค์หญิง ท่านต้องระวังตัวให้มากนะเพคะ”
แม้ว่าเฉินเสียนถูกชิงตัวขึ้นรถม้าไป แต่อวี้เยี่ยนเชื่อว่า ซูเจ๋อจะไม่ทำร้ายองค์หญิง
หลังจากสองคนนั้นไปแล้ว เหลือเพียงแค่อวี้เยี่ยนกลับมาคนเดียว
แค่เข้ามาที่สวนสระวสันตฤดู แม่บ้านจ้าวเห็นนางมาคนเดียวเลยถามว่า “องค์หญิงเล่า?”
อวี้เยี่ยนตอบว่า“ องค์หญิงไปเที่ยวกับเพื่อนแล้ว”
เมื่อเข้ามาในห้องมาพบกับแม่นมซุย อวี้เยี่ยนจึงพูดความจริงว่า “เอ้อร์เหนียง วันนี้องค์หญิงได้พบกับใต้เท้าซูแล้ว”
แม่นมซุยพูด “อ่อ? แล้วองค์หญิงไปกับใต้เท้าแล้วหรือ?”
อวี้เยี่ยนพยักหน้าด้วยความกลัดกลุ้มใจ “ใต้เท้าซูบอกให้ข้ากลับมาหาเอ้อร์เหนียงช่วยดูแลเจ้าน่องน้อยให้ดี”
แม่นมซุยยิ้มแล้วพูดว่า “มีใต้เท้าอยู่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงองค์หญิงหรอก ถึงเวลาองค์หญิงก็จะกลับมาเอง”