บทที่ 152 ทหารยาม
“อยากกินไหม ถึงเครื่องปรุงจะไม่ค่อยดีนัก แต่รสชาติก็ดีเมื่อนํามาใช้ทําซุป”
มูฟาซาชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนคนหยาบ ๆ หยิบช้อนไม้ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ กวนซุปเนื้อเดือด ๆ ในหม้อ และตักขึ้นมาหนึ่งช้อน “ข้าค่อนข้างมั่นใจในฝือมือการทําซุปของข้า”
นาล่าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ หลังจากได้กลิ่นหอม ๆ ของน้ำซุป
“มันอาจเป็นกับดักเช่น เจ้าดื่มซุปไปแล้วเจ้าจะกลายเป็นผู้ศรัทธาในศาสนจักรของเรา” ใช่ไหม?” ซิมบ้าระแวง
เขาไม่อาจไม่ระแวงได้ ทุกวันนี้เด็ก ๆ หายไปจากสลัมเรื่อย ๆ
“ผ่อนคลายน่า ข้าไม่ได้หมดหวังขนาดนั้น…มันเป็นเควสถาวร”
มูฟาซาพูดอย่างเมินเฉยในสิ่งที่ซิมบ้าและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดร้าย
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าซิมบ้าและซาซูจะยังถือหินไว้ในมือ และดูพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่พวกเขาก็แค่วางท่าไปงั้น เนื่องจากพวกเขาไม่มีแรงเหลือแล้ว หลังจากทนหิวโหยมานาน
แน่นอนว่ามูฟาซาสามารถใช้ดาบยาวของเขาที่เฉือนเบคอนหนา ๆ ได้เหมือนหั่นเนย สับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
เด็กชายทั้งสองมองหน้ากัน และตัดสินใจวางหินลง
เด็กทั้งสามคนหยิบชามไม้เล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่มุมห้องออกมาตักซุปช้อนโต ก่อนจะผลัดกันดื่มซุป
“อร่อยมาก!” ซิมบ้าอดไม่ได้ที่จะพึมพําออกมา
แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งเขาและซาซูพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อควบคุมแรงกระตุ้นที่จะซดซุปจนหมดในอีกเดียว เพื่อให้นาล่าที่อ่อนแอได้กินมากขึ้น
มูฟาซาอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับท่าทางที่จริงจังนั้น “ดื่มไปเถอะ”
“ลุงไม่กินเหรอ” นาล่าถามเสียงแผ่ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ถึงข้าจะดูเป็นแบบนี้ แต่ข้าก็มีรายได้มากมายเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าไม่เคยอดอยาก!” มูฟาซายิ้มตอบ
“โกหก ข้าเห็นเจ้าโดนทหารยามจับแขวนไว้ที่ประตูเมืองเพื่อเตือนประชาชน!” ซิมบ้าไม่ลังเลที่จะเปิดโปงคําโกหกของมูฟาซา
“อะแฮ่ม! เจ้าพูดอะไร? เด็กอย่างเจ้าไม่เข้าใจแผนการของผู้ใหญ่หรอก นี่เป็นกลยุทธ์ที่ข้าใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทหารยาม!” มูฟาซาโม้อย่างหน้าด้าน ๆ “ตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันแล้ว!”
เป็นผลให้เด็ก 3 คนมองเขาอย่างสงสัย
ตอนแรกมูฟาซาตั้งใจจะโม้ต่อ แต่แววตาของเขาก็ดูคมขึ้น เขาเงียบลงและฟังเสียงอย่างตั้งใจ
มีเสียงฝีเท้านอกบ้านอีกครั้ง
ไม่เหมือนกับตอนที่เขามา คราวนี้มีคนอย่างน้อยหนึ่งโหล เกือบครึ่งหนึ่งมีฝีเท้าเบามาก เขาจะไม่ได้ยินถ้าเขาไม่ตั้งใจฟัง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่น่าจะอ้วนเกิน 200 โล หรือคนสวมชุดเกราะหนักมาด้วย
มีเพียงคนเดียวที่สามารถสวมชุดเกราะในเมืองได้ นั่นก็คือทหารภายใต้คําสั่งของเจ้าเมือง เพราะหน่วยทหารของโบสถ์จะสวมชุดเกราะผ้า และทหารธรรมดาไม่มีเกราะหนักให้ใส่
ฤดูหนาวที่ยาวนานทําให้ทหารยามยุ่งมาก คนก็เลยไม่พอ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนําทหารธรรมดามาร่วมทีมลาดตระเวน
สีหน้าของมูฟาซาเปลี่ยนไป “กินให้หมด แสร้งทําเป็นว่าเจ้าไม่เคยเห็นข้ามาก่อนถ้าพวกเขาถาม!”
หลังจากพูดจบเขาก็ปีนขึ้นหลังคาไปอย่างรวดเร็ว และหายเข้าไปในชายคา
หลังจากที่เขาจากไป ทหารก็เข้ามาในบ้านที่ทรุดโทรมหลังนี้
อย่างไรก็ตาม คนที่นําพวกเขาไม่ใช่หัวหน้าทหารรักษาการณ์ของเมืองที่สวมชุดเกราะเต็มยศเหมือนเช่นเคย แต่เป็นชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองสวมชุดย้อมสีที่ดูหรูหรามาก เห็นได้ชัดว่าเขา เป็นขุนนางที่แม้แต่หัวหน้าทหารรักษาการณ์ของเมืองก็ต้องยอมติดตามเหมือนลูกน้อง
ขุนนางหนุ่มหยิบกระดาษม้วนหนึ่งออกมา และแสดงมันให้เด็ก ๆ ดู
มันมีภาพเหมือนของมูฟาซาอยู่ในนั้น
“เด็ก ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าเคยเห็นชายคนนี้หรือไม่”
ทั้งสามคนไม่ลังเลที่จะส่ายหัว
“เฮอะ เจ้าแน่ใจหรือว่าคนรู้จักของมาร์นี่ วิลฟ์คนนี้มักจะมาพบกับเด็กสามคนนี้?” ขุนนางหนุ่มหันไปถามหัวหน้าทหารรักษาการณ์เมือง
“ครับท่าน นั่นคือสิ่งที่สายข่าวของเราบอกเรามา” หัวหน้าทหารตอบอย่างเคารพ
ขุนนางหนุ่มเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด แต่เมื่อเขากําลังจะจากไปพร้อมกับทหาร เขาก็สังเกตเห็นหม้อต้มที่แขวนอยู่เหนือกองไฟอย่างไม่ได้ตั้งใจ หม้อนั่นเป็นหมวกเกราะแปลก ๆ ที่ไม่ได้มีให้เห็นในละแวกนี้ง่าย ๆ
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเด็กหนุ่ม เขาหยุดและสั่งหัวหน้าทหารรักษาการณ์เมืองที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “จับผีน้อย 3 ตัวนี้แล้วพาตัวไป! ทิ้งคนไว้ที่นี่คนหนึ่ง เพื่อนของเราจะได้รู้ว่าต้องมาหาเราที่ไหน”
“ท่านจะพาเด็กกลุ่มนี้ไปหมดเลยหรือ” หัวหน้าทหารยามสับสน
“ไงก็ได้ พวกมันก็แค่ชาวนาสกปรก ไม่สําคัญว่าพวกมันจะตาย” ขุนนางหนุ่มไม่สนใจเรื่องนี้ “สิ่งสําคัญคือเราต้องได้ตัวมันมา และทรมานมันหาจุดอ่อนของมาร์นี่เวิลฟ์พ่อค้าคนนั้นมีทรัพยากรมากมายที่คนในเมืองกําลังจับตามอง! ยิ่งเราได้ตัวมันมาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น!”
ดังนั้นทหารที่เคยกลั่นแกล้งชาวบ้านชายและหญิงเป็นวิสัย ทันทีที่ได้รับคําสั่งก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างโหดเหี้ยม จับเด็กทั้ง 3 คนและชกซิมบ้าที่ดิ้นรนจนสะบักสะบอมและฟกช้ำ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ขุนนางหนุ่มรู้สึกรําคาญมากที่เด็กหนุ่มจ้องมองเขาอย่างดุร้าย และไม่ยอมแพ้แม้จะได้รับบาดเจ็บ
“ตัวประกันมีแค่ 2 คนก็พอแล้ว!” จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ซิมบ้า “กําจัดไอ้เด็กนั่นซะ เพื่อนของเราจะได้รู้ว่าเรากําลังจริงจัง! ให้ข้าคิดก่อน…ถูกต้อง ตัดหัวมันแล้วแขวนไว้ที่ประตู!”
ทหารที่กดหัวซิมบ้าไม่ลังเลที่จะชักดาบออกมา
“เดี๋ยว!”
นั่นคือตอนที่มูฟาซากระโดดลงมาจากหลังคา
มูฟาซารู้สึกไม่สบายใจ นั่นคือเหตุผลที่เขากลับมาตรวจสอบพวกเด็ก ๆ
เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอะไรที่น่าโมโหแบบนี้
มูฟาซาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว เพราะซิมบ้าจะตายอย่างไม่มีเหตุผลหากเขามาสาย
“อ๊า! เห็นไหมล่ะ!” ขุนนางหนุ่มดูดีอกดีใจราวกับว่าเขาจับได้ปลาตัวใหญ่
“ท่านฉลาด ลอร์ดของข้า” หัวหน้าทหารในชุดเกราะหนักข้าง ๆ เริ่มเลียเขาทันที
มูฟาซาจ้องมองทั้งสองคนด้วยความสับสน “ทําไมเจ้าถึงทําแบบนี้? พวกเขาไม่ใช่พลเมืองของแลงแคสเตอร์เหรอ? หรือทหารรักษาการณ์ของเมืองไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องพลเมือง?”
“พลเมือง? เจ้าผิดแล้ว เฉพาะผู้ที่จ่ายภาษีครบกําหนดทุกเดือนเท่านั้นที่เป็นพลเมือง ส่วนไอ้พวกนี้มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหนูในท่อระบายน้ำ มันเป็นแค่ขยะมีชีวิต”
ขุนนางหนุ่มไม่มีความลังเลอยู่ในคําพูดของเขาเลย จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่มูฟาซา “แต่นั้นไม่มีสวนเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ทหาร! จับมันมาให้ข้า!”