บทที่ 153 ขุนนาง
สิ่งที่ขุนนางหนุ่มและทหารไม่คาดคิดก็คือ มูฟาซาที่ดูซูบผอมไม่ต่างไปจากชาวนา เร็วและมีความสามารถมาก
แม้จะอยู่ในบ้านทรุดโทรมที่ทั้งเล็กและแคบ เขาก็ใช้เสาและกําแพงพัง ๆ เป็นที่กําบัง และ หลบเลี่ยงการโจมตีทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
ทหารไม่สามารถเข้าถึงตัวเขาได้ และทําได้แต่วิ่งไปรอบ ๆ เป็นวงกลมแทน
ใบหน้าของเด็กหนุ่มขุนนางมืดลง ในขณะที่เขาเฝ้าดูคนของเขาพยายามเข้าใกล้มูฟาซาอย่างเงอะงะ เหมือนตัวตลกในคณะละครสัตว์ที่น่าอับอาย
” พอ! ข้าไม่มีเวลามาเล่นซ่อนหา!” เขาคํารามแล้วคว้าตัวนาล่าเข้ามาใกล้ขณะถอดดาบประดับออกจากเอว และวางมันลงที่คอของเธอ “หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่งั้นเธอตาย!”
“เจ้ามันน่ารังเกียจ! เจ้ายังมีความภาคภูมิใจของขุนนางอยู่หรือไม่!” มูฟาซาด่า เขาขมวดคิ้วขณะงอตัว และกระโดดขึ้นไปบนกรอบประตูเพื่อหลีกเลี่ยงการซุ่มโจมตี
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมข้าถึงเกลียดการพูดกับคนสกปรกเช่นเจ้า” บางทีเขาคงเชื่อว่าเขาชนะแล้ว ขุนนางหนุ่มจึงพูดด้วยความมั่นใจ “ขุนนางก็คือผู้ที่มีสายเลือดอันทรงเกียรติ มีอํานาจและเกิดมาเหนือผู้อื่น! ทุกสิ่งที่เจ้าชาวนามี ตั้งแต่ความมั่งคั่งไปจนถึงชีวิตของเจ้า ทั้งหมดเป็นของเรา! เจ้าควรมีชีวิตอยู่อย่างเงียบ ๆ หารายได้ให้เรา และเชื่อฟังเราเหมือนปศุสัตว์ และไม่ทําให้เราเดือดร้อน! ทําไมเจ้าถึงมีความคิดโง่ ๆ ที่คิดจะต่อต้านอย่างไร้ความหมายเช่นนี้อยู่ร่ำไป”
“…”
มูฟาซาตกใจมาก
เขาตกใจมากกับมุมมองของอีกฝ่าย
ในฐานะที่เขาเคยเป็นพลเมืองของโรวิเนีย ซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงของเทียร์ร่า และเคยไปยังเมืองไร้ชื่อพร้อมกับมาร์นี้หลังจากอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยครอมเวลล์มาระยะหนึ่ง
ในฐานะพลเมืองธรรมดา เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับขุนนางคนใด และแทบจะไม่เคยพบ เห็นขุนนาง แต่ถึงกระนั้นเทียร์ร่าก็เป็นอาณาจักรที่มั่งคั่ง ควบคู่ไปกับศรัทธาของพวกเขาในเทพเจ้าแห่งเกม ที่ทําให้พวกเขาเป็นอิสระจากการเก็บภาษีทางศาสนา พลเมืองจึงอยู่อย่างมั่นคงและมีความสุข ขุนนางของพวกเขาเลยได้รับความเคารพเป็นธรรมดา
แต่เมื่อโรวิเนียถูกลดบทบาทลงกลายเป็นสนามรบ และเทียร์ร่าได้ล่มสลายลง ไม่นานหลังจากนั้นพลเมืองเดิมก็ถูกย้าย พวกเขาติดตามผู้เฒ่าแวนเค่อนายทะเบียนของเทียร์ร่ามายังครอมเวลล์
แม้ว่ามูฟาซาจะไม่ได้พบกับขุนนางแห่งครอมเวลล์ แต่อย่างน้อยเขาก็จัดหาสิ่งอํานวยความสะดวกพื้นฐานให้ผู้ลี้ภัยทุกวัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่อดตาย
ต่อมาเมื่อเขาติดตามแวนเค่อไปยังเมืองไร้ชื่อด้วยความไว้วางใจและกลายเป็นผู้เล่น เขาก็ได้พบกับแองโกร่าซึ่งมักจะปะปนอยู่กับผู้เล่นแม้ว่าเขาจะเป็นขุนนาง และเจ้าหญิงลีอาที่ชอบแลกหมัดกับผู้เล่นอยู่เสมอ
ประสบการณ์เหล่านั้นทําให้มูฟาซาคิดว่าขุนนางเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ที่ควรค่าแก่การเคารพซึ่งคอยดูแลพวกเขา และเขาก็เคารพผู้เฒ่าแวนเค่อและแองโกร่าจากก้นบึงของหัวใจ
ความคิดเหล่านั้นทําให้มฟาซาเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และเขาไม่แม้แต่จะต่อต้านเมื่อถูกจับโดยทหารยามของแลงคาสเตอร์เมื่อไม่กี่วันก่อน
แต่ถึงกระนั้น ขุนนางหนุ่มที่เขาได้พบในวันนี้ ก็ได้เปิดโลกทัศน์ของเขาให้กว้างขึ้น มันทําให้เขาได้เห็นด้านมืดของขุนนางที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเนื่องจากสถานะของเขาในสังคม
“นั่นสินะ ข้าเข้าใจแล้ว”
มูฟาซาก้มหัวลงพูดเบา ๆ
บ้านร้างหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โต และตอนนี้ทหารก็เข้าล้อมมูฟาซาอย่างเงียบ ๆ โดยทําเสียงให้เบาที่สุด ทุกคนในบ้านจึงได้ยินเสียงของเขาชัดเจน
“ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจยอมจํานน? หึ เจ้าทําข้าเสียเวลาไปมาก…” ขุนนางหนุ่มคาดหวังให้มูฟาซายอมแพ้ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายดึงดาบที่ยาวเกินจริงออกมา
“ความคิดของเจ้าผิดเพี้ยนไปหมด ข้ายอมแพ้ที่จะเปลี่ยนเจ้าให้เป็นคนดี” มูฟาซาประกาศพลางชี้ดาบไปที่ขุนนางหนุ่ม
เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกและทําให้อับอาย ขุนนางหนุ่มก็ระเบิดเสียงคํารามใส่ทหารที่ล้อมมูฟาซาเอาไว้ “รีบไปจับมันมา!”
ไม่มีใครเข้าใจว่ามูฟาซาหมายถึงอะไร
บางที่พวกเขาอาจจะรู้ แต่พวกเขาไม่ได้สนใจมัน
มูฟาซากระโดดลงจากกรอบประตู ทหารที่อยู่ข้างหน้าเขาทําหน้าเหมือนกับว่า ‘รางวัลหล่นมาหาข้าแล้ว’ ขณะกางมือจะจับเขา
แต่มันช้าเกินไป
การเข้าปะทะด้วยชุดเกราะหนัก อาจดูมั่นคงและทรงพลังมาก แต่ในสายตาของมูฟาซามันช้าเกินไป
แสงที่สะท้อนจากใบดาบของเขา กระพริบในมุมที่ไม่สามารถจินตนาการได้ และทหารเหล่านั้นก็ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนอง พวกเขาก็ได้แต่เฝ้าดูร่างของตัวเองกระจายหล่นไปทั่วพื้น
แม้แต่ชุดเกราะหนักที่ให้ความมั่นใจแก่พวกเขาในการรังแกชาวบ้านได้ตามอําเภอใจก็ไร้ประโยชน์ ทั้งหมดถูกนั่นทิ้งไปพร้อมกับร่างกายของพวกเขาอย่างง่ายดายเหมือนนั่นกระดาษ
เป็นเวลาเพียง 3 วินาทีนับจากที่มูฟาซากระโดดลงจากกรอบประตู ทหารยามก็ได้ทิ้งตัวลงไปกับพื้นแล้ว
ทหารคนอื่น ๆ อีกหลายคนไม่มีปฏิกิริยากับเพื่อนทหารที่ตายไป สีหน้าของพวกเขาดดุร้าย ก่อนจะชักดาบออกมาโจมตีมูฟาซาจากด้านหลัง
อย่างไรก็ตาม แสงแฟลชจากใบดาบของมูฟาซาสว่างขึ้นวูบหนึ่ง และทหารเหล่านั้นถูกก็ตัดออกเป็น 2 ส่วนไปพร้อมกับอาวุธ!
ตอนนั้นเอง ทหารคนอื่น ๆ ก็เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้กําลังจับผู้ลี้ภัยที่อ่อนแอ แต่เป็นปีศาจตัวจริง
แม้นั่นจะทําให้ขุนนางหนุ่มตกใจ แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นคมดาบของมูฟาซาที่ไร้รอยบิน
ความโลภปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
แม้ว่าเขาจะลดงบประมาณด้านอุปกรณ์ของทหารลง จนถึงจุดที่ชุดเกราะหนักของพวกเขาเป็นเพียงของที่มีข้อบกพร่อง แต่ทุกอย่างก็ทํามาจากเหล็ก
และอาวุธใด ๆ ที่สามารถเฉือนเหล็กเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ก็ถือเป็นสมบัติอย่างแน่นอน
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ไร้สมอง และรู้ดีว่ามีเพียงหัวหน้าทหารข้าง ๆ เขาเท่านั้นที่สามารถพึ่งพา
แม้ว่าหัวหน้าทหารจะดูไร้ศักดิ์ศรีที่เอาแต่เลียเขา แต่ความสามารถของหัวหน้าทหารรักษาการณ์ของเมืองก็ไม่ใช่ของปลอม เจ้าเมืองไม่ได้โงถึงขนาดที่จะฝากชีวิตครอบครัวของเขาไว้กับขยะ
ความจริงหัวหน้าทหารคนนี้มีชื่อว่า ‘โบลท์’ เขามีทักษะดาบที่ค่อนข้างดี แม้ว่าเขาจะถูกโยนเข้าไปในกองทัพหลวงเขาก็ยังโดดเด่น
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ได้ใช้เงินติดสินบนนักบวชของวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ไปมาก เพื่อสักตราเทพเจ้าแห่งสงครามไว้บนร่างกายของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถใช้ออร่าได้เหนือกว่านักสู้ทั่วไป และเขาอาจได้เป็นถึงอัศวินในพื้นที่ห่างไกล
“โบลท์จับมันมา หักแขนหักขามันให้พิการ และดาบเล่มนั้นจะเป็นของเจ้า!” ขุนนางหนุ่มสั่งอย่างเด็ดขาด