ในวันที่สองหลังจากเข้าฤดูหนาว ความผิดปกติก็เริ่มปรากฏขึ้นในเมืองไร้ชื่อ
ตอนแรกมีเพียงโครงกระดูกอ่อนแอหลงทางเข้ามาในเมือง แต่ในไม่ช้า จำนวนของพวกมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่นักรบโครงกระดูกที่มีอาวุธอยู่ในมือก็เริ่มปะปนเข้ามา ชาวเมืองจึงต้องต่อสู้อย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บได้ง่าย ๆ
เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แองโกร่าจึงต้องหยุดงานอื่น ๆ และเสริมกำลังป้องกันรอบเมืองเต็มอัตรา
น่าเสียดาย หลังจากการปรากฏตัวของนักเวทโครงกระดูกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กำแพงเมืองก็ค่อย ๆ สูญเสียความทนทานไป แค่ลูกไฟลูกเดียวก็ระเบิดกำแพงดินที่ชาวเมืองใช้เวลาสร้างทั้งวันได้ง่าย ๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะนักเวทโครงกระดูกมีจำนวนไม่มาก และพรานที่กล้าหาญของเมืองก็ยอมเสี่ยงชีวิต วิ่งนำขบวนออกไปฆ่านักเวทโครงกระดูก ศัตรูที่คุกคามเมืองมากที่สุด น่ากลัวว่าเมือง ๆ นี้อาจจะต้องถูกทำลายลงไปในวันนั้น
พูดได้ว่าสถานการณ์ของเมืองเริ่มเลวร้ายมากขึ้นในแต่ละวัน ตอนนี้ชาวเมืองถูกบังคับให้ละทิ้งกำแพงด้านนอก และซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม้ที่พึ่งสร้างขึ้นมาใหม่
เมื่อเทียบกับบ้านเก่าที่ไม่เคยซ่อมแซมมานานหลายปี บ้านที่สร้างขึ้นใหม่มีความแข็งแรงอย่างน่าประหลาดใจ แม้จะเป็นโครงสร้างไม้ แต่มันก็ไม่ถูกเผาไหม้และพังทลายแม้ว่าจะถูกเวทไฟโจมตีใส่
เป็นเพราะบ้านที่ดูเหมือนจะไม่พังทลายเหล่านั้นและการกล่าวถึง ‘กำลังเสริม’ ซ้ำ ๆ ของแองโกร่า ทำให้ขวัญกำลังใจของชาวเมืองยังคงไม่แตกสลาย
“มันใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว…”
แองโกร่าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถมองเห็นแถบความทนทานของบ้าน เขานั่งอยู่กลางบ้านและเกาหัวอย่างกระสับกระส่าย
แม้ว่าบ้านทุกหลังจะยังดูดีเหมือนใหม่ แต่แถบความทนทานของพวกมันที่ยาวมากก็เริ่มลดน้อยลง และใกล้จะหมดหลอดแล้ว
เนื่องจากระบบโอเวอร์ลอร์ดของเขาไม่มีอาวุธใด ๆ ขาย ชาวเมืองทุกคนจึงต้องต่อสู้กับเหล่าเรเวแนนท์ โดยใช้อุปกรณ์ล่าสัตว์ธรรมดาและอุปกรณ์ทำฟาร์ม
ในขณะที่การต่อสู้ผ่านไปนานวันเข้า พวกเขาก็พบว่าอาวุธของพวกเขาแทบจะใช้การไม่ได้แล้ว ความเป็นจริงมันแตกต่างจากเกม เครื่องมือเหล็กจะเริ่มทื่อหลังจากที่ตัดศัตรูเพียง 2-3 ครั้ง ไม่ต้องพูดถึงพราน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเก็บลูกธนูมาใช้ใหม่ได้ แต่มันก็ไม่อาจเป็นได้ในสถานการณ์เช่นนี้ และอาวุธส่วนใหญ่ของชาวบ้านก็ไม่สามารถใช้งานได้หลังจากผ่านการต่อสู้เพียงครั้งเดียว
ราวกับว่าสิ่งต่าง ๆ ยังไม่เลวร้ายพอ เมื่อวานนี้ได้มีนักธนูโครงกระดูกปรากฏตัวขึ้น ทำให้ตอนนี้ในหมู่ชาวบ้านมีผู้เสียชีวิต 3 คน พวกเขาเป็นผู้สูงอายุที่ไม่สามารถหลบหนีได้ทัน
เดิมประชากรในเมืองมีเพียง 29 คน พวกเขาหายไปหนึ่งในสิบเพียงพริบตาเดียว!
ประตูไม้ถูกเปิดจากด้านนอกอย่างรุนแรง แองโกร่าซึ่งจมอยู่ในความคิดถึงกับสะดุ้งตกใจ
วีลาเดินเข้ามาพลางปัดเศษหิมะที่เกาะอยู่บนหมวกหนังสัตว์ของเธอออก และถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านลอร์ด กำลังเสริมของท่านจะมาถึงเมื่อไหร่? เราจะต้านมันไม่ไหวแล้วนะ!”
‘ถึงข้าจะบอกทุกคนว่ากำลังเสริมกำลังมา แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมื่อไหร่‘ แองโกร่าคิดในใจ
แต่ข้าไม่อาจพูดเช่นนั้นได้ ถ้าข้าพูด ขวัญกำลังใจทั้งหมดของชาวเมืองคงได้สลายหายไปหมดแน่
“พวกเขากำลังจะมา ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำคือปกป้องเมืองนี้เอาไว้เท่าที่จะทำได้” เขาตอบ
วีลาทำท่าสงสัย
แองโกร่าแอบถอนหายใจ เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง “ตอนนี้มีความหมายอะไรที่ข้าต้องหลอกพวกเจ้าด้วย? ข้าจะเข้าร่วมการต่อสู้ปกป้องเมืองในครั้งหน้า เจ้าสบายใจขึ้นรึยัง”
วีลายังคงแคลงใจ แต่เธอก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วและออกจากห้องไป
ทันทีที่แองโกร่าก้าวออกจากสถานที่ปลอดภัย เขาก็รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้
พูดตามตรง การโจมตีของพวกเรเวแนนท์ไม่ได้หนักหน่วงเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันแล้ว การต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั้นสบายกว่ามาก
ผู้ที่อยู่หลังแนวป้องกันที่เต็มไปด้วยลังไม้ ยังมีแม้กระทั่งเวลาดื่มข้าวโอ๊ตนึ่งสักชาม ส่วนใหญ่พวกเรเวแนนท์มักจะเดินไปเดินมามากกว่า มันจะบุกเข้าโจมตีเฉพาะเมื่อพวกมันรับรู้ถึงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
แต่นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไม ใครก็ตามที่พยายามหาทางฝ่าพวกเรเวแนนท์ไปอย่างลับ ๆ จึงได้กลายเป็นการดึงดูดความสนใจของพวกมันแทน เมื่อถูกล้อมไปทุกทิศทางด้วยพวกเรเวแนนท์ แม้แต่ ‘ครัม’ นายพรานมือฉกาจของเมืองก็ไม่สามารถหลบหนีออกมาได้
แองโกร่ารู้ดีว่าการที่พลเรือนธรรมดาสามารถต้านทานได้ขนาดนี้นั้นไม่ง่ายอย่างที่เห็น พวกเรเวแนนท์มีความได้เปรียบของพวกมันอยู่ พวกมันไม่มีความรู้สึกเบื่อ ไม่เหนื่อย และไม่ต้องพักผ่อนหรือนอนหลับ พวกมันสามารถโจมตีแนวป้องกันได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน แม้ว่าพวกมันจะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่การโจมตีอย่างต่อเนื่องของพวกมัน ก็จะบ่อนทำลายจิตใจและสภาพร่างกายของฝ่ายป้องกัน จนในที่สุดก็ทำให้พวกเขาต้องเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ…
แต่มันก็ไม่มีวิธีรับมือใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว แองโกร่าและชาวบ้านสามารถต้านทานการโจมตีจากอมนุษย์ได้เพียงวิธีนี้เท่านั้น
“เราถูกพวกขุนนางหลอกอีกแล้ว!” เมื่อผ่านไปอีกวัน ในที่สุดพรานหนุ่มก็สูญเสียเหตุผลของเขาไป ดวงตาของเขาแดงก่ำเพราะไม่ได้นอนมานานแล้ว เขากำลังชี้ใบมีดบิ่น ๆ ไปทางแองโกร่า “ไม่มีกำลังเสริม! เราจะตายที่นี่! นั่นคือความจริง!”
เขาพูดด้วยสีหน้าสิ้นหวังและบ้าคลั่ง จากนั้นเขาก็เหวี่ยงมีดที่เขาเคยใช้ตัดเถาวัลย์ในป่าไปทางแองโกร่า
แองโกร่าที่พึ่งเอาชนะนักรบโครงกระดูกมาได้อย่างยากลำบากไม่มีแรงเหลือแล้ว เขาไม่สามารถหลบการโจมตีกะทันหันครั้งนี้ได้เลย
มันจบแล้ว!
‘ไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะต้องมาตายเพราะพันธมิตร แทนที่จะเป็นพวกเรเวแนนท์‘ แองโกร่าคิดอย่างประชดประชัน
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น วีลาก็ลุกขึ้นปัดมีดเล่มนั้นทิ้ง และเตะพรานหนุ่มจนล้มคว่ำ แม้ว่าเธอจะเหนื่อยมากพอกัน
“จงรักษาความแข็งแกร่งของเจ้าไว้เพื่อฆ่าพวกเรเวแนนท์ ออกไป ถ้าเจ้าอยากตายนักก็ออกไป!”
“แต่วีลา…โครงกระดูก มีพวกมันอยู่เต็มไปหมด…เป็นไปไม่ได้ที่กำลังเสริมจะฝ่าพวกมันเข้ามาช่วยเรา!” ใบหน้าของพรานหนุ่มบิดเบี้ยว เขาร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง “มันต้องเป็นขุนนางคนนั้น! เขาต้องนำพวกเรเวแนนท์มาที่นี่!”
“ไอ้โง่ ทำไมข้าต้องทำแบบนั้นด้วย ข้าดูเหมือนคนอยากตายตรงไหน” แองโกร่าพึมพำเสียงดังพอให้พวกเขาทั้งหมดได้ยิน
วีลาจ้องมองเขาก่อนที่จะหันไปหาพรานหนุ่ม “ตอนนี้ สิ่งที่เราทำได้คือเชื่อมั่นในกำลังเสริมของเรา”
ในตอนนั้นเอง ชาวเมืองที่เฝ้ามองออกไปด้านนอกก็ตะโกนขึ้นมาว่า “อัศวินโครงกระดูก! มันคืออัศวินโครงกระดูก!”
ทั้งแองโกร่าและวีลามีปฏิกิริยาแทบจะพร้อมกัน พวกเขารีบวิ่งไปดู
พวกเขาพบอัศวินโครงกระดูกอยู่ใกล้ ๆ มันถืออาวุธหนัก ขี่ม้ากระดูกหุ้มเกราะขนาดใหญ่ และม้าตัวนั้นก็มีแผงคอลุกไหม้เป็นเปลวไฟสีน้ำเงิน เช่นเดียวกับดวงตาของมัน
ม้าโครงกระดูกสามารถวิ่งชนบ้านเก่าในเมืองจนแหลกเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมันก็พุ่งเข้ามายังบ้านที่อยู่ใจกลางเมืองอย่างรวดเร็ว
แองโกร่าเหงื่อตก ด้วยความทนทานของบ้านไม้ในตอนนี้ เมื่อสิ่งนั้นกระแทกเข้ามา มันต้องพังทลายลงทันทีแน่!
คราวนี้เขาคงไม่รอดแล้ว…