ปีศาจที่บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าลึก… กู้จิ้งนึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
แต่เธอก็สะกดความรู้สึกปวดใจจนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้รวมทั้งความรู้สึกทอดถอนใจเอาไว้ “ใช่แล้ว ฉันเป็นปีศาจที่บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าลึก”
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ก่อนหน้านี้เธอยังตะโกนบอกคนอื่นด้วยเสียงดังฟังชัดว่า ‘ฉันไม่ใช่ปีศาจ ฉันเป็นคน’
แต่ตอนนี้ เธอกลับต้องยอมรับกับคนที่เธอใกล้ชิดมากที่สุดและเชื่อใจมากที่สุดในยุคสมัยนี้ว่า ฉันเป็นปีศาจ
“พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่นั่น แต่ทำไมเจ้าถึงมาที่โลกมนุษย์ล่ะ? ทำไมเจ้าถึงกลับไปไม่ได้? เป็นเพราะปกติเจ้าไม่ตั้งใจเรียนอาคมหรือเปล่า?”
ดูท่าในใจเซียวเถี่ยเฟิงจะเต็มไปด้วยความสงสัย
กู้จิ้งยกมือขึ้นนวดหน้าผาก เธอขมวดคิ้วพลางพยายามเค้นสมองคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ‘โลกปีศาจ’ ให้เซียวเถี่ยเฟิงฟัง
“จริงๆ แล้วฉันเป็นปีศาจที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่มาตั้งแต่เด็ก ยายเป็นคนเก็บฉันมาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่ต่อมาเกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น ทำให้ฉันพลัดหลงมาที่โลกมนุษย์ ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะกลับไปไม่ได้แล้วอีกด้วย”
“ส่วนเรื่องวิชาอาคม จริงๆ แล้วฉันก็พอเป็นอยู่บ้าง ถึงพ่อแม่ของฉันจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ แต่พวกท่านดีต่อฉันมาก แถมยังคอยเคี่ยวเข็ญให้ฉันตั้งใจเรียนมาตลอด อย่างวิชาแพทย์ที่นายเห็นนี่ พวกท่านก็เป็นคนสอนให้ฉัน”
“ในโลกปีศาจของพวกเจ้ามีเวทศาสตราแบบนี้มากหรือ นอกจากเวทศาสตราแล้วยังมีอะไรอีก?” เซียวเถี่ยเฟิงมองกระเป๋าสีดำใบนั้นด้วยความสงสัย
“ในโลกของเราย่อมมีเวทศาสตรามากมาย” เธอกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน “เวทศาสตราเหล่านั้นทำให้เราสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ว่ายอยู่ในทะเล เดินทางได้วันละพันลี้”
“วิชาขี่เมฆอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” กู้จิ้งปรายตามองเซียวเถี่ยเฟิงแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรายังสามารถเดินทางใต้ดิน แถมยังเร็วมากอีกด้วย ใต้ดินมีเครือข่ายการคมนาคมอยู่เต็มไปหมด”
“วิชาดำดิน?”
“…ใช่” กู้จิ้งสะอึก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเธอก็เริ่มพูดต่อ “ในโลกของเรายังสามารถรักษาคนป่วยด้วยการเปิดกะโหลกศีรษะ, ควักไส้, เปลี่ยนหัวใจ, เปลี่ยนเลือด”
“นี่…ข้าเคยอ่านเจอวิชาเปลี่ยนหัวในตำราโซวเสินจี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบนโลกจะมีวิชาที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่จริง”
เปลี่ยนหัว? กู้จิ้งประหลาดใจมาก แต่จากนั้นก็คิดว่าในเมื่อรู้จักการเปลี่ยนหัว การเปลี่ยนหัวใจเปลี่ยนเลือดก็คงเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่มีอะไรแปลกประหลาดสินะ?
พูดคุยกันถึงตรงนี้ กู้จิ้งก็อดชื่นชมจินตนาการและความสามารถในการทำความเข้าใจของเซียวเถี่ยเฟิงไม่ได้ เธอพูดต่อ “ยาที่เราใช้ในตอนนี้ไม่อาจเทียบกับยาในโลกของฉันได้เลย เราสามารถผลิตยาชนิดต่างๆ มารักษาโรคของทุกคน นอกจากนี้ยังมีแสงชนิดหนึ่งที่สามารถส่องให้เห็นโครงกระดูกและอวัยวะภายในของผู้คนเพื่อตรวจดูว่าในร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือไม่อีกด้วย”
“วิชาปรุงยาใช้ในการผลิตยา ส่วนวิชาตาทิพย์สามารถมองส่วนประกอบในร่างกายของผู้คนได้?”
“ใช่ๆๆๆ!” กู้จิ้งถอนใจ หากพูดต่อไปอีก เธอคงจะเชื่อว่าตัวเองอาศัยอยู่ในโลกปีศาจจริงๆ แน่
“สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่งในโลกปีศาจของเราคือไฟฟ้า”
“ไฟฟ้า?”
กู้จิ้งพยักหน้า ในที่สุดก็ถอนใจด้วยความโล่งอก สิ่งมหัศจรรย์อย่างไฟฟ้า เขาคงจะจินตนาการไม่ถึงสินะ
ดังนั้นเธอจึงพูดต่อ “โลกปีศาจของเราสามารถควบคุมไฟฟ้าได้อย่างอิสระ ทำให้เราสามารถนำไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์ ทั้งให้แสงสว่าง ส่งข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งทำให้สิ่งที่เรียกว่าเครื่องจักรกลทำงานแทนเราได้”
“แบบนี้…” เซียวเถี่ยเฟิงครุ่นคิด
กู้จิ้งยิ้ม “เรื่องนี้ นายคงไม่เคยได้ยินมาก่อนสินะ?”
“ที่แท้เทพฟ้าร้องฟ้าผ่าไม่ได้อยู่บนสวรรค์ แต่อยู่ในโลกปีศาจของพวกเจ้า แถมยังทำงานให้พวกเจ้าด้วย?”
นี่…
กู้จิ้งพูดไม่ออก
“ในโลกของเรายังมีสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้คนสามารถพูดคุยกันได้แม้อยู่ห่างกันเป็นหมื่นลี้ แถมยังเห็นหน้ากันได้ด้วย!”
“เสียงพันลี้?”
“เรา…เรา…”
“พวกเจ้ายังมีอะไรอีก?”
กู้จิ้งอัดอั้นมาก สุดท้ายก็โพล่งออกมาว่า “เรายังมีควันพิษ!”
“ควันพิษ? มันคืออะไรหรือ?”
กู้จิ้งถอนใจยาว “เรื่องนี้นายคงไม่รู้ ควันพิษน่ากลัวมาก มันอยู่ข้างกายเราทุกคน ไล่ก็ไล่ไม่ไป เราทุกคนต่างก็หวาดกลัวมันมาก ดังนั้นจึงได้แต่เปิดของวิเศษที่เรียกว่าเครื่องฟอกอากาศทั้งวันทั้งคืน”
“เจ้าก็กลัวหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ในโลกของเรา ไม่มีใครไม่กลัวควันพิษ”
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นจึงดึงร่างกู้จิ้งไปกอดไว้กับอกพลางตบหลังเธอเบาๆ “ไม่เป็นไร เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เจ้ามาอยู่ที่โลกมนุษย์แล้ว ที่นี่ไม่มีควันพิษ นับแต่นี้เจ้าไม่ต้องกลัวอีกแล้ว”
“ใช่… ฉันดีใจจะตายอยู่แล้ว ที่นี่ไม่มีควันพิษ…”
กู้จิ้งซบหน้ากับบ่าของเซียวเถี่ยเฟิงพลางกล่าวอย่างอ่อนแรง
ในที่สุดก็หลอกเขาสำเร็จ
หลายวันมานี้อากาศค่อยๆ เย็นลง กู้จิ้งเองก็ไม่ออกไปไหน วันๆ เอาแต่ศึกษาวิธีใช้หญ้าอ้ายเฉ่าอยู่แต่ในถ้ำ พอมีเวลาว่าง เธอก็เล่าเรื่องยาเพนิซิลลินวีสองเม็ดที่หายไปให้เซียวเถี่ยเฟิงฟัง
“ฉันสงสัยว่ามีคนแอบเก็บเอาไว้”
“เจ้าหมายความว่า หากมีคนแอบเก็บเอาไว้ เจ้าก็จะปรุงโอสถทิพย์ที่ครบสมบูรณ์ทั้งแผงออกมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” กู้จิ้งมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาเคารพเลื่อมใส
มิน่าตอนแรกเขาถึงยอมรับเธอได้ง่ายๆ เพราะเขามีความสามารถในการทำความเข้าใจที่แสนจะล้ำเลิศแบบนี้นี่เอง
“ตกลง เรื่องนี้ข้าจะไปสืบดู” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว “จริงๆ ก็ไม่ยาก คนที่เจ้าเคยมอบโอสถทิพย์ให้มีแค่ไม่กี่คน ข้าจะสืบดูทีละคนเอง”
“อืม แบบนี้ก็ดี” กู้จิ้งว่า “จริงๆ ถ้าพวกเขาให้คนอื่นกินก็ไม่เป็นไร กลัวก็แต่จะเก็บไว้เฉยๆ ไม่ยอมกิน ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงต้องขาดโอสถทิพย์สองเม็ดไปตลอดกาล”
โอสถทิพย์? กู้จิ้งฟังคำพูดของตัวเองแล้วก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ จิตสำนึกของเธอยอมรับว่าตัวเองเป็นนักพรตที่ปรุงยา ปีศาจที่บำเพ็ญตบะแล้วอย่างนั้นหรือ…
หลังจากส่งเซียวเถี่ยเฟิงออกไป กู้จิ้งก็ศึกษาต้นอ้ายเฉ่าอยู่ในถ้ำต่อ ตอนนี้เธอกำลังคิดจะเอาต้นอ้ายเฉ่ามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย อ้ายเฉ่ามีสรรพคุณแก้อักเสบอยู่แล้ว สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้คือทำให้สรรพคุณด้านนี้ของมันเด่นชัดยิ่งขึ้น หากนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยย่อมทำให้ประสิทธิผลของมันเพิ่มขึ้นนับร้อยเท่า
วิธีสกัดน้ำมันหอมระเหยจากต้นอ้ายเฉ่ามีวิธีควบแน่น, วิธีกลั่นด้วยไอน้ำ หรือจะใช้วิธีกลั่นด้วยตัวทำละลายก็ได้ แต่เนื่องจากตอนนี้มีข้อจำกัดมาก จึงเห็นได้ชัดว่าวิธีกลั่นด้วยตัวทำละลายเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด
ก่อนอื่น กู้จิ้งเอาต้นอ้ายเฉ่าซึ่งตากไว้ในที่ร่มใส่ลงในหม้อแล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ผ่านไปหกชั่วโมง ต้นอ้ายเฉ่าถูกเคี่ยวจนเปื่อย เธอก็ใช้ผ้าขาวบางกรองน้ำมันหอมระเหยที่ค่อนข้างเข้มข้นใส่ไว้ในชาม วิธีสกัดน้ำมันหอมระเหยวิธีนี้เรียกได้ว่าหยาบมาก น้ำมันที่สกัดได้ก็ไม่บริสุทธิ์ แต่ประสิทธิภาพย่อมดีกว่าต้นอ้ายเฉ่าธรรมดาๆ มาก
กู้จิ้งวุ่นวายอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเหงื่อไหลไคลย้อย เธอมองน้ำมันหอมระเหยครึ่งชามที่เพิ่งได้มาก่อนจะวางมันทิ้งไว้ตรงนั้นอย่างระมัดระวัง รอให้มันควบแน่น
“เหนื่อยอยู่ตั้งนาน ไป ฮัสกี้ เราไปเด็ดผลไม้ใกล้ๆ นี่มากินกัน”
ฮัสกี้กระดิกหางด้วยความดีใจ
ตอนที่กู้จิ้งเดินออกจากถ้ำ มีคนสองคนกำลังแอบปรึกษากันอยู่ในป่า
“เจ้าแน่ใจหรือว่าปีศาจตนนั้นอยู่ในถ้ำนี้?”
“ใช่ ข้าจับตามองนางมาสามชั่วยามแล้ว นางเอาแต่จุดไฟเคี่ยวต้นอ้ายเฉ่าอยู่ในถ้ำ ไม่ได้ขยับก้นไปไหนสักนิด ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังทำอะไร”
“อ้ายเฉ่า?”
“ใช่!”
“หรือจะเป็นอาคมอะไรอีก? อ้ายเฉ่ามีไว้ขับไล่สิ่งอัปมงคล ปีศาจอย่างนางจะเอาอ้ายเฉ่าไปทำอะไร?”
“จะสนใจไปทำไม ข้าว่าเราไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น จุดไฟเผานางปีศาจให้ตายอยู่ในถ้ำนี่เถอะ!”
“ตกลง ไปจุดไฟกัน”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตรงปากถ้ำบ้านของกู้จิ้งก็มีไฟลุกโชน ไม่นานนักไฟก็ลามเข้าไปในถ้ำ จากนั้นก็มีเสียงเปรี๊ยะๆๆๆ ดังมาจากด้านใน
โจรลอบวางเพลิงทั้งสองมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความพึงพอใจ พวกเขาสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็กลับไปรายงานผล
บังเอิญมีคนมาเซ่นไหว้ต้าเซียนพอดี พอเห็นถ้ำไฟไหม้ก็ตกใจมาก “แย่แล้ว ถ้ำเซียนของต้าเซียนไฟไหม้!”
เขาร้องตะโกนแล้วก็เริ่มลงมือดับไฟ
ไม่นานนักก็มีคนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนช่วยกันดับไฟอย่างขยันขันแข็ง ใครบางคนร้องตะโกนขึ้นว่า “ต้าเซียน ต้าเซียนยังอยู่ในถ้ำ!”
“เร็วๆๆ ช่วยต้าเซียนเร็ว!”
ในตอนนั้นเอง มีคนพึมพำขึ้นว่า “ต้าเซียนถูกไฟคลอกตายอยู่ในถ้ำหรือเปล่า?”
“ต้าเซียน ต้าเซียน ท่านยังอยู่ไหม?”
ทุกคนพากันร้องตะโกน แต่บนภูเขากลับมีเพียงเสียงไฟไหม้ดังเปรี๊ยะๆ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากต้าเซียนทั้งสิ้น
ใครบางคนทรุดลงคุกเข่าพลางร้องไห้โฮ “ต้าเซียน ต้าเซียนถูกไฟคลอกตายแล้ว!”
“ต้าเซียนถูกไฟคลอกตายอยู่ในถ้ำจริงๆ รึ?”
ทุกคนพากันส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความโศกเศร้า
“ต้าเซียนถูกไฟคลอกตายแล้ว!”
ไม่นานนัก เซียวเถี่ยเฟิงก็กลับมาถึงถ้ำบ้านตัวเอง เขาขมวดคิ้วมองถ้ำซึ่งถูกไฟไหม้จนไม่เหลือซากด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “พวกเจ้าพูดอะไร? กู้จิ้งอยู่ข้างในงั้นรึ?”