ทุกคนคิดดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พ่อแม่ของชุนเถาไม่กล้าทำเรื่องชั่วช้าเข่นฆ่าผู้คนแบบนี้แน่
เซียวเถี่ยเฟิงกวาดตามองชาวบ้านทั้งหลาย สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย สายลมบนภูเขาเย็นยะเยือก ท้องฟ้าดำมืดราวกับหมึก แม้เขาจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ก็ดูน่าเกรงขามไม่น้อย
“ท่านลุงจ้าว ท่านเป็นผู้ใหญ่ ตามหลักแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ควรต้องขอให้ท่านช่วยออกหน้า แต่เรื่องในวันนี้เกี่ยวข้องกับคดีฆ่าคนวางเพลิง เกรงว่าท่านคงออกหน้าให้ไม่ได้ ตอนนี้มีสองทาง หนึ่งคือข้าลงเขาไปเชิญคนของทางการมาตรวจสอบให้แน่ชัด สืบพบความจริงเมื่อไหร่ ต้องติดคุกก็ติดคุก ต้องประหารก็ประหาร ข้าจะไม่ไว้หน้าเด็ดขาด เพียงแต่หากทำถึงขั้นนั้น หมู่บ้านของเราคงต้องวุ่นวายกันยกใหญ่ ยิ่งเรื่องฆ่าคนแพร่กระจายออกไป นับแต่นี้ไป คนในหมู่บ้านของเราคงต้องลำบากไม่น้อย”
“เถี่ยเฟิง แล้ว…แล้วทางที่สองล่ะ?”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ คนบ้านนอกซึ่งใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่บนภูเขากลัวมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมากที่สุด ปกติแม้กระทั่งประตูที่ว่าการอำเภอก็ไม่กล้าเข้า
“ทางที่สอง ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ รอให้ข้าหาตัวคนร้ายได้ก่อนค่อยตัดสินใจกันอีกที”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ถอนใจโล่งอก
“ได้ เถี่ยเฟิง เจ้าพูดมาเถิด เจ้าจะให้เราร่วมมือกับเจ้าหาตัวคนวางเพลิงยังไงหรือ?”
ทุกคนมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้กระทั่งจ้าวฝูชางก็ขมวดคิ้วพลางมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาพินิจพิจารณา
จริงๆ กู้จิ้งเองก็สงสัย เขาจะหายังไง? คงไม่ได้คิดจะให้เธอใช้อาคมหรอกนะ?
เธอทำไม่เป็นจริงๆ…
คิดไม่ถึงว่าต่อจากนั้นกลับได้ยินเซียวเถี่ยเฟิงพูดว่า “ทุกท่านคงจะรู้ว่าภรรยาของข้ามีอาคม วันนี้นางร่ายอาคมไว้ที่นอกหมู่บ้านเพื่อใช้น้ำหาตัวคนร้ายแล้ว”
“ใช้น้ำหาตัวคนร้าย?”
ทุกคนเบิกตากว้าง กู้จิ้งเองก็ตาค้าง
นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เธอกระตุกชายเสื้อของเซียวเถี่ยเฟิงเบาๆ อยากจะบอกเขาว่าอย่ากุเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แบบนี้ โลกอนาคตเหินฟ้าดำดินมองพันลี้ได้ แต่ไม่มีเวทศาสตราสำหรับจับคนร้าย
เซียวเถี่ยเฟิงปรายตามองเธอแวบหนึ่ง แววปลอบประโลมในดวงตาเหมือนจะบอกให้เธอวางใจ
วางใจ? เธอจะวางใจได้ยังไง
“ใช้น้ำหาตัวคนร้ายหมายความว่า ในตอนกลางคืน อาคมนี้จะเริ่มรวบรวมน้ำจากภูเขาทางตะวันตกส่งไปยังบ้านของทุกท่าน เพื่อตรวจสอบว่าบ้านนั้นๆ มีจิตใจชั่วช้าหรือไม่ หากมีจิตใจชั่วช้าน้ำจะแห้ง แต่หากไม่ใช่ น้ำก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น”
ทุกคนต่างอุทานด้วยความประหลาดใจ โลกนี้มีอาคมเช่นนี้ด้วยหรือ?
“แล้ว…แล้วเราจะรู้ได้ยังไง?”
สีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงเคร่งขรึม “พรุ่งนี้ ข้ากับท่านลุงจ้าวจะไปตรวจดูโอ่งน้ำที่บ้านของทุกท่านด้วยกัน บ้านไหนมีน้ำเต็มโอ่งย่อมเป็นคนจิตใจดี แต่หากน้ำไม่เต็มก็หมายความว่ามีพิรุธ”
“วิธีนี้จะได้ผลหรือ?” ใครบางคนเอ่ยถาม
“รอดูพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งกลับบ้าน ถ้ำถูกไฟไหม้ไปแล้ว ไม่มีที่อยู่ ต้องพักอยู่ในหมู่บ้านไปก่อน
ระหว่างทางกู้จิ้งยังอดสงสัยไม่ได้ แต่พอคิดดูเธอก็เข้าใจ “นายจงใจหลอกพวกเขาอย่างนั้นหรือ!”
เซียวเถี่ยเฟิงยิ้มพลางบีบจมูกเธอเบาๆ “ยากนักที่ปีศาจน้อยอย่างเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ด้วย!”
จากนั้นเขาก็อธิบายว่า “ตอนเย็น ทุกคนทำอาหาร ย่อมต้องใช้น้ำไปบ้าง หลังจากใช้แล้วก็คงไม่มีใครออกไปตักน้ำกลางดึก ต้องรอให้ถึงเช้าวันรุ่งขึ้นค่อยออกมาทำงานกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่มีโอ่งน้ำบ้านไหนมีน้ำเต็ม แต่คนที่วางเพลิงมีพิรุธในใจ แม้จะไม่เชื่อคำพูดของข้า แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เขาต้องแอบไปตักน้ำมาเติมโอ่งที่บ้านของตัวเองให้เต็มแน่”
“จริงๆ แล้ววิธีนี้ฉันเคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่กะทันหันก็เลยคิดไม่ออก”
เซียวเถี่ยเฟิงยิ้ม “ผู้คนบนภูเขาเป็นคนซื่อๆ วิธีนี้ต้องได้ผลแน่”
หากเป็นพวกเจ้าเล่ห์ เกรงว่าคงไม่ได้ผล
ระหว่างที่พูด พวกเขาก็กลับไปถึงบ้านของเซียวเถี่ยเฟิง กู้จิ้งเคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาระยะหนึ่ง แต่ไม่นานก็หนีไป ตอนนี้ได้กลับมาก็รู้สึกใกล้ชิดอย่างบอกไม่ถูก
“จริงๆ แค่ดูบ้านหลังนี้ก็รู้แล้วว่า เมื่อก่อนครอบครัวของนายเคยมีฐานะไม่เลว”
แม้จะทรุดโทรมมาก แต่ดูจากพื้นระเบียงทางเดินที่หน้าบ้านหลังนี้ก็พอจะรู้ว่า คนที่สร้างบ้านขึ้นใส่ใจมาก เพราะมันดูเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่ไม่ค่อยจะได้พบเห็นในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาเช่นนี้
“สมัยพ่อของข้า ครอบครัวข้ามีหน้ามีตากว่าตระกูลจ้าวเสียอีก แต่หลังจากพ่อของข้าตายไป ครอบครัวของข้าก็แย่ลงเรื่อยๆ”
กู้จิ้งวางของเซ่นไหว้ทั้งห่อลงบนเตียงพลางสายหน้า ตามองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความจนใจ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ นายก็ต้องพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิให้วงศ์ตระกูล ทำให้พ่อแม่ของนายซึ่งอยู่บนสวรรค์วางใจ”
“เรียกพ่อสามีแม่สามี” เซียวเถี่ยเฟิงสอนกู้จิ้ง
“…ทำให้พ่อสามีแม่สามีซึ่งอยู่บนสวรรค์วางใจ” กู้จิ้งรีบเปลี่ยนคำพูด
เซียวเถี่ยเฟิงหยิบของเซ่นไหว้ออกมาเลือกขนมไปอุ่นให้ร้อน “เจ้ามีกินก็กินไป ไม่ต้องกังวลให้มาก”
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็แค่นเสียงฮึเบาๆ จากนั้นจึงพูดกับเซียวเถี่ยเฟิงซึ่งออกไปอุ่นอาหารข้างนอกผ่านหน้าต่างว่า “เป็นพระหนึ่งวันต้องเคาะระฆังหนึ่งวัน เป็นลูกสะใภ้หนึ่งวันก็ต้องกังวลหนึ่งวัน!”
เซียวเถี่ยเฟิงหยิบฟืนออกมาเตรียมก่อไฟ ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ก็อดยิ้มแล้วหันมามองเธอไม่ได้
“เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”
กู้จิ้งเท้าคางกับหน้าต่างพลางมองออกไปข้างนอก ปากกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันอยากได้เสื้อผ้าสวยๆ อยากได้บ้านอิฐหลังใหญ่ อยากมีที่นาดีๆ เยอะๆ อยากมีข้าทาสบริวารเป็นกลุ่ม เงินทองเต็มบ้าน!”
เพื่อความสุขของลูกหลานรุ่นหลัง และเพื่อให้คุณยายได้รับกำไลทองเป็นมรดกตกทอดหลายๆ วง เธอต้องพยายามเป่าหูเขามากๆ
เซียวเถี่ยเฟิงเลิกคิ้ว “จริงหรือ?”
กู้จิ้งสูดหายใจลึก
ผู้ชายคนนี้ช่างน่าโมโหยิ่งนัก หากไม่คอยเคี่ยวเข็ญ คงไม่มีวันบรรลุเป้าหมายแน่
แต่ไม่เป็นไร เบื้องหลังผู้ชายที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนมีผู้หญิงถือแส้หนังอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
“ฉันอยากมีลาภยศสรรเสริญ อยากมีชีวิตสุขสบาย ฉันไม่อยากอยู่ในถ้ำแถมยังต้องถูกคนอื่นจุดไฟเผา ไม่รู้ล่ะ สรุปแล้ว ฉันอยากมีชีวิตอย่างคนรวย ไม่อยากยากจนตลอดไป!”
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ที่สำคัญที่สุดคือ ฉันอยากกินของอร่อยราคาแพง อยากกินตับห่านหูฉลาม! ฉันอยากกินเนื้อ!”
เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอเขย่าหน้าต่างพลางกล่าวข้อเรียกร้องก็ยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม
“เด็กดี กินอาหารเย็นก่อน รอให้ขึ้นไปนอนบนเตียงเมื่อไหร่ เจ้าจะมีของพวกนี้เอง”
“ขึ้นไปนอนบนเตียงก็มีรึ?” ทำไมคำพูดนี้ถึงไม่น่าเชื่อถือเลยนะ?
เซียวเถี่ยเฟิงหัวเราะต่อ “พอนอนหลับ เจ้าก็จะมีทุกอย่างในฝันอย่างไรเล่า”
กู้จิ้งซึ่งอยู่หลังหน้าต่างได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความคับแค้น
ทำไมเธอถึงได้มาเจอผู้ชายที่ไม่มีความทะเยอทะยานสักนิดแบบนี้นะ เป่าหูยังไงก็ไม่ได้ผล? ทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีผู้ชายแบบนี้ด้วย?!
เธอร้องโวยวายอยู่บนเตียง “ฉันไม่สน ไม่ให้ฉันกินตับห่านหูฉลาม ฉันก็ไม่ให้นายขึ้นเตียง!”
เซียวเถี่ยเฟิงจนใจ สุดท้ายก็ได้แต่ก่อไฟไปพลางรับปากไปพลาง “ได้ๆๆ ให้เจ้ากิน”
คืนนั้น ทั้งสองกินอิ่มแล้วก็ขึ้นไปนอนบนเตียง
กู้จิ้งถูกจับไปนอนอยู่ตรงขอบเตียง ส่วนเซียวเถี่ยเฟิงยืนอยู่ข้างเตียง
เขาก้มลงเล็กน้อย จากนั้นจึงหรี่ตาลงแล้วออกแรงกระแทกไปข้างหน้าเหมือนกำลังกระทุ้งพื้นดินให้แน่น
ทุกครั้งที่กระทุ้ง เขาจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหอบกระชั้น
“เจ้าจะมีเสื้อผ้าสวยๆ!”
“เจ้าจะมีบ้านอิฐหลังใหญ่!”
“เจ้าจะมีที่นาดีๆ เยอะๆ!”
“เจ้าจะมีข้าทาสบริวารเป็นกลุ่ม!”
“เจ้าจะได้กินตับห่านหูฉลาม!”
“เจ้าจะมีเงินทอง…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ขยับตัวอย่างยากลำบากพลางหลับตาลง จากนั้นจึงกัดฟันกล่าวต่อว่า “…เงินทองเต็มบ้าน”
และแล้ว ของเหลวสีขาวก็ไหลนองเต็มเตียง
ยามเที่ยงคืน กู้จิ้งนอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง อยากลืมตาก็ลืมไม่ขึ้น ช่วยไม่ได้ ผู้ชายคนนี้มี ‘เงินทอง’ มากเกินไปจนเธอแทบทนรับไม่ไหว
ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มข้างกายกลับลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มสวมเสื้อผ้า
เธอปรือตามองเขาก้าวลงจากเตียงด้วยความง่วงงุน “นายจะไปไหนหรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงผูกสายรัดเอวกางเกงให้แน่นพลางตอบว่า “เจ้านอนอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปจับผี”
“จับผี?”
กู้จิ้งหายง่วงทันที เธอรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น “ฉันจะไปด้วย”
เซียวเถี่ยเฟิงมองสีหน้างดงามหยาดเยิ้มและท่าทางเกียจคร้านแกมเย้ายวนหลังตื่นนอนของเธอแล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นเห็นสักนิด ดังนั้นจึงปฏิเสธเสียงแข็ง “นอนอยู่บนเตียงเฉยๆ!”
กู้จิ้งย่อมไม่ใช่คนที่จะยอมเชื่อฟังง่ายๆ “ไม่ได้ ไอ้คนเลวนั่นทำลายน้ำมันอ้ายเฉ่าของฉัน ฉันต้องเตะมันสักครั้งถึงจะหายแค้น แถมจะว่าไป ไม่มีต้าเซียนอย่างฉันคอยสนับสนุน ถ้านายควบคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ได้จะทำยังไง?”
เซียวเถี่ยเฟิงจนปัญญา สุดท้ายก็ได้แต่หยิบเสื้อเก่าตัวหนึ่งมาพันศีรษะของเธอไว้จนเห็นแต่ลูกตา “แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
กู้จิ้งอึดอัด แต่ก็จำต้องยอมรับ
เซียวเถี่ยเฟิงพาเธอไปที่บ่อน้ำทางตะวันออกของหมู่บ้าน เขาลงมือตรวจสอบร่องรอยรอบบ่อน้ำก่อน พบว่าคนคนนั้นยังไม่มาก็พากู้จิ้งไปหลบอยู่ที่ด้านข้าง