น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อย แต่ทีท่ากลับแข็งกร้าวน่าเกรงขาม ทำให้สามีของผู้หญิงคนนั้นถึงกับตะลึงงัน ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
เขามองสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ด้วยความลังเล ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
“เข็มเย็บผ้า! เรื่องนี้ข้าเคยเห็น!”
“ใช่ๆๆ มิน่าถึงดูคุ้นๆ ที่แท้เมียของเขาก็เป็นคนที่ใช้เข็มเย็บผ้าเย็บแผลให้เด็กกลางถนนวันนั้น?”
“ผู้กล้าท่านนี้เองก็มีวรยุทธ์สูงส่งมาก!”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนรอบด้าน สามีของผู้ตายลังเลมากอย่างเห็นได้ชัด เขามองดูภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว ใจก็คิดว่าควรจะลองดูหรือควรจะรีบนำไปฝังดีนะ?
ในตอนนั้นเอง กู้จิ้งรีบฉวยโอกาสก้าวเข้าไปคลำท้องของผู้หญิงที่ตายไปแล้ว
สามีของนางทำท่าจะเข้ามาขัดขวางแต่กลับถูกเซียวเถี่ยเฟิงขวางเอาไว้ เพียงสายตาคมปลาบกวาดมองไป ผู้ชายคนนั้นก็ขาสั่น ไม่กล้าพูดอะไรอีก
กู้จิ้งแอบเตรียมมีด, ยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ยามนี้เพียงสัมผัสดู เธอก็คลำโดนตัวเด็ก ศีรษะเล็กๆ อยู่ด้านล่าง ส่วนท้องและขาอยู่ด้านบน
ขาเล็กๆ นั่น…กำลังขยับเบาๆ อยู่จริงๆ
ทั้งที่แม่ตายไปแล้ว แต่เด็กคนนี้กลับยังมีชีวิตอยู่ในท้อง!
นี่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่ก็มีความเป็นไปได้
ในสมัยโบราณของจีนเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่เด็กคลอดออกมาในโลงศพ
พอแน่ใจว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ กู้จิ้งก็ไม่กล้าชักช้าอีก เธอควักมีดออกมาแล้วพูดว่า “เด็กในท้องยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะผ่าท้องเอาเด็กออกมา”
เธอกลัวผู้คนรอบด้านจะคิดว่าเธอมีเจตนาอื่นก็เลยชิงอธิบายก่อน
สิ้นเสียงของเธอ ทุกคนต่างก็ตะลึงงันไปด้วยความตกใจ
“เป็นไปได้ยังไง ซงเหนียงตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วชัดๆ!”
“เด็กในท้องคนตายยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ?”
“นางจะใช้มีดผ่าท้องเอาเด็กออกมางั้นรึ?”
ทุกคนต่างเบิกตากว้างเพื่อจับตามองดูเรื่องประหลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา
สามีของผู้ตายยิ่งไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถึงตอนนี้สองขาของเขาก็อ่อนยวบจนต้องทรุดลงคุกเข่า สุดท้ายก็ได้แต่เบิกตามองกู้จิ้งด้วยสายตางุนงงแกมตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้น
กู้จิ้งสูดหายใจลึก เธอกรีดหน้าท้องของผู้หญิงคนนั้นก่อน จากนั้นจึงกรีดมดลูกที่อยู่ด้านใน
ศพศพนี้เพิ่งขาดใจตายไปได้ไม่นาน ในร่างของนางจึงยังอุ่นอยู่
เลือดไหลทะลักออกมา กู้จิ้งสัมผัสได้ว่าในมดลูกมีอะไรบางอย่างกำลังขยับอยู่ เธอยื่นมือไปดึงออกมา ทันใดนั้น ร่างเล็กๆ ก็ส่งเสียงร้องไห้โฮพลางเตะขาน้อยๆ ไปมา กู้จิ้งรีบตัดสายสะดือแล้วผูกเป็นปม จากนั้นก็ใช้ผ้าพันแผลที่ฆ่าเชื้อแล้วห่อเด็กเอาไว้ลวกๆ
ผู้คนรอบด้านถึงกับตาค้าง พวกเขาเห็นกู้จิ้งควักร่างเด็กทารกตัวแดงๆ ซึ่งกำลังดิ้นไปมาออกมาจากท้องของคนตายก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
บางคนอ้าปากค้างหุบไม่ลง ทำให้น้ำลายไหลย้อยลงมา
บางคนเบิกตากว้างเท่าระฆังทองแดง ปากก็พึมพำว่า “แบบ…แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?”
“ขอยืมเสื้อสะอาดให้ฉันสักตัวได้ไหม?”
กู้จิ้งกอดทารกน้อยที่กำลังร้องไห้โฮเอาไว้พลางเงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบด้าน
ใครบางคนเพิ่งตั้งสติได้ “ใช่ เสื้อผ้า เสื้อผ้า ต้องรีบห่อตัวเด็กเอาไว้!”
หญิงชราคนหนึ่งรีบนำเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดที่เพิ่งซักเสร็จตัวหนึ่งมามอบให้ “ใช้นี่ห่อสิ!”
กู้จิ้งห่อตัวเด็กอย่างคล่องแคล่วแล้วยื่นส่งให้ผู้เป็นบิดาที่ตกใจจนเข่าอ่อนไปแล้ว
“เพิ่งเกิดใหม่ๆ เขากลัวหนาว จำไว้ว่าต้องห่อให้มิดชิด แม่ของเด็กเสียไปแล้ว คุณต้องหาทางหาอาหารให้เขา”
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวล ในเมื่อเกิดมาแล้ว เดี๋ยวก็มีอาหารกินไปเอง อย่างมากกินน้ำต้มข้าวก็เลี้ยงให้โตได้เหมือนกัน
บิดาของเด็กค่อยตั้งสติได้ เขาเบิกตากว้างพลางยื่นมือสั่นระริกไปรับเด็กมาจากมือของกู้จิ้ง ตามองใบหน้าน้อยๆ แดงยับย่นของทารกด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
“ข้า…ข้ามีลูกแล้ว ลูกของข้า ลูกของข้า!”
เขาตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือควรหัวเราะดี สุดท้ายก็ทรุดลงคุกเข่าอีก “ผู้มีพระคุณ ผู้มีพระคุณ ไม่ๆๆ ต้าเซียน ต้าเซียน โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย!”
ผู้คนรอบด้านเริ่มตั้งสติได้ ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงขรม
“นี่มันวิชาเซียนชัดๆ!”
“ข้าได้ยินมาว่านางเป็นต้าเซียนแห่งเขาเว่ยอวิ๋น ผู้คนบนเขาเว่ยอวิ๋นต่างก็ศรัทธานางมาก ดูท่าจะมีอาคมจริงๆ!”
“เอาเด็กออกมาจากท้องคนตาย ชีวิตนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“แค่เจ้าเสียที่ไหน ข้าอายุปูนนี้ แม้แต่ได้ยินก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
“เทวดาชัดๆ!”
ท่ามกลางสายตาเคารพเลื่อมใสและตื่นตระหนกของผู้คนรอบด้าน กู้จิ้งหยิบยาโพวิโดนไอโอดีนกับยาเพนิซิลลินออกมายื่นให้ผู้ชายคนนั้นพลางกำชับให้เขาทำความสะอาดสะดือและป้อนยาให้เด็กตรงตามเวลา
แม้ยาปฏิชีวนะจะมีผลข้างเคียงต่อร่างกายของเด็กทารกไม่น้อย แต่เด็กคนนี้อยู่ในท้องของคนตายมานาน ซ้ำน้ำคร่ำก็กลายเป็นสีเหลืองไปแล้ว หมายความว่ามีภาวะติดเชื้อระดับสาม ในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กทารกอาจมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด, ปอดอักเสบ ฯลฯ ได้ง่าย
กำชับเสร็จเรียบร้อย เธอก็ดึงมือเซียวเถี่ยเฟิงวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
แม้เธออยากให้คนอื่นเชื่อใจเพื่อจะได้ทำเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น แต่ก็ไม่อยากถูกรุมมองเหมือนเป็นเทวดา
เธอย่อมไม่รู้ว่า ต่อมาเด็กคนนี้ถูกตั้งชื่อว่าเซียนเซิง เมื่อเขาโตขึ้นได้กลายเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจในราชสำนัก หลังจากประสบความสำเร็จแล้ว เขาได้เดินทางกลับมายังเมืองจูเฉิงและไปที่เขาเว่ยอวิ๋นเพื่อกราบไหว้เทวดาผู้มีพระคุณซึ่งเป็นคนนำตัวเขาออกมาจากท้องของมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว
กู้จิ้งในยามนี้ช่วยคนเสร็จก็ให้เซียวเถี่ยเฟิงพาไปกินข้าวที่ร้านอาหารโดยไม่สนใจอะไรอีก
ปกติอยู่บนเขากินแต่ของป่า ไม่เคยได้กินข้าวมานานแล้ว ครั้งนี้มาที่ร้านอาหาร เซียวเถี่ยเฟิงจึงสั่งกับข้าวหลายอย่างให้เธอได้กินให้สะใจสักมื้อ
เดิมกู้จิ้งไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะจูเฉิงเป็นแค่เมืองเล็กๆ เท่านั้น แต่พออาหารถูกยกมา เธอก็ต้องประหลาดใจไม่น้อย
ที่แท้ถึงร้านอาหารร้านนี้จะไม่ใหญ่ แต่ก็มีฝีมืออยู่บ้าง อาหารที่เซียวเถี่ยเฟิงเลือก แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่อาหารราคาถูก ไม่ใช่แค่เอามาต้มๆ ให้สุกแล้วก็กินได้
เช่นปูหมักส้มจานนี้ ต้องคว้านเอาเนื้อส้มออกก่อน จากนั้นก็ใส่เนื้อปูไว้ข้างในแล้วนำไปนึ่งกับจิ๊กโฉ่ว เวลากินจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มสดใหม่ของเนื้อปูรวมไปถึงกลิ่นหอมของส้ม กลิ่นหอมที่แผ่ซ่านไปทั่วปลายลิ้นนั้นทำให้ผู้คนไม่อาจลืมเลือนได้เลย
อาหารชนิดนี้มีขั้นตอนการทำยุ่งยาก นับได้ว่าเป็นอาหารที่แปลกใหม่และประณีตมาก
กู้จิ้งชอบกินปู พอกินอร่อยแล้วก็อดถามเซียวเถี่ยเฟิงไม่ได้ “นี่แพงไหม?”
“เจ้าจะคิดให้มากความไปทำไม สรุปว่าเรามีปัญญากินก็แล้วกัน”
“ตกลง!”
ในเมื่อเซียวเถี่ยเฟิงพูดว่ามีปัญญากิน เธอก็ไม่เกรงใจอีก กู้จิ้งลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย กินไปๆ ก็ได้ยินเสียงรถม้า จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในร้านอาหาร
เดิมก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่คนเหล่านั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงามหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎสูง มีคนรับใช้ห้อมล้อม แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านป่าธรรมดาทั่วไป
นับแต่กู้จิ้งข้ามเวลามาสมัยโบราณ เธอยังไม่เคยเห็นมาก่อนว่าคนมีเงินมีหน้าตาอย่างไร แต่งกายอย่างไร ดังนั้นจึงอดมองไม่ได้
เอ๋… ไอ้ที่สูงๆ นั่นคงจะเป็นมงกุฎหยกสินะ สวมไว้บนศีรษะแบบนี้ไม่เมื่อยคอบ้างรึไง?
กำลังมองอยู่ เซียวเถี่ยเฟิงก็ยกมือขึ้นบีบจมูกของเธอเบาๆ
เธอเข้าใจความหมายของเขา ดังนั้นจึงรีบก้มลงกินอาหารต่อ ไม่มองอีก
ในร้านอาหารแห่งนี้มีคนไม่มาก เซียวเถี่ยเฟิงกับกู้จิ้งเองก็นั่งอยู่ตรงมุมเงียบๆ ข้างหน้าต่าง คนกลุ่มนี้จึงพูดคุยกันตามสบายเหมือนไม่มีคนนอกอยู่ด้วย
“อู่อ๋องก่อกบฏ เกรงว่าแผ่นดินคงจะลุกเป็นไฟอีกแล้ว คุณชายไปปิ้งโจวครั้งนี้ต้องระวังให้มาก ไม่เช่นนั้นอาจมีภัยมาถึงตัวได้” เสียงชายชราคนหนึ่งดังขึ้น
“อาหวังวางใจเถิด ข้ารู้ดี ไปถึงปิ้งโจว ข้าจะไม่พูดอะไรให้มากความและจะไม่ไปไหนทั้งนั้น สรุปแล้วตระกูลลั่วแห่งเหอหนานของเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายของบ้านเมืองเด็ดขาด”
เห็นได้ชัดว่าคนที่กล่าวคำพูดนี้เป็นคนระดับคุณชาย เขามีหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดสีขาวสว่าง แถมบนเสื้อผ้ายังปักลายดอกไม้เอาไว้อีกด้วย
“กลัวก็แต่ว่าสถานการณ์วุ่นวาย สุดท้ายพวกเราก็ต้องถูกลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย” ชายซึ่งค่อนข้างมีอายุอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง
คราวนี้ทุกคนต่างนิ่งเงียบกันไปหมด บรรยากาศเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารมา พวกเขาจึงเริ่มลงมือกินอาหาร
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ คุณชายคนนั้นก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “อู่อ๋องก่อกบฏครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากจอกหยกมรกตหลิงหลงเล็กๆ แค่ใบเดียว ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง!”
“จอกหยกมรกตหลิงหลงที่อนุของอู่อ๋องโปรดปรานถูกคนขโมยไป ใครๆ ก็บอกว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านผู้นั้นที่เอี้ยนจิง แต่ข้ากลับคิดว่ามันน่าจะเป็นแค่ข้ออ้างมากกว่า อู่อ๋องเก็บตัวอยู่ที่ปิ้งโจวมานานปี แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนทะเยอทะยาน สักวันก็ต้องกลายเป็นเภทภัยแน่!”
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน เซียวเถี่ยเฟิงเห็นกู้จิ้งกินอิ่มแล้วก็กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อมาเก็บเงิน คนเหล่านั้นเห็นตรงมุมร้านยังมีคนอื่นนั่งอยู่จึงไม่พูดอะไรอีก