ขณะเดียวกันทั้งสองคนลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกัน แล้วแลกหยกประจำตัวให้แก่กันและกัน
พระชายาฉีชูหยกประจำตัวขึ้นแล้วกล่าวกับทุกคนว่า “นี่ก็คือของแทนใจที่มอบให้กับเซวียนเอ๋อร์และเยียนเอ๋อร์ บัดนี้พวกเราขอแลกกลับคืนต่อหน้าของทุกท่านแล้ว เพื่อให้ทุกท่านเป็นสักขีพยาน นับตั้งแต่นี้ต่อไปเด็กทั้งสองคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันอีก การแต่งงานของชายหญิงทั้งคู่ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
ฮูหยินราชเลขาก็ชูหยกประจำตัวที่อยู่ในมือให้ทุกคนเห็นชัดเช่นกันแล้วพยักหน้ากล่าว “พระชายากล่าวได้ถูกต้อง นับตั้งแต่วันนี้ถือว่าได้ยกเลิกการหมั้นหมายของลูกหญิงกับซื่อจื่อแล้ว ขอให้ทุกท่านเป็นพยานด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนมองหยกประจำตัวที่อยู่ในมือของพระชายาฉีพลางหรี่ตาลง กำลังจะลุกขึ้นยืน
แต่แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็จับเขาเอาไว้ก่อน สั่นศีรษะให้เขาเบาๆ
พระชายาฉีเห็นเหตุการณ์นี้ก็รีบเก็บหยกประจำตัวเอาไว้ทันที ลำบากยิ่งกว่าที่การหมั้นหมายนี้จะยกเลิกลงได้โดยไม่ได้ทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย แล้วจะยอมให้หวงฝู่อี้เซวียนมาทำลายหยกประจำตัวที่เอาคืนมาอย่างยากลำบากนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากว่าทำการตบหน้าจวนราชเลขาแล้วทำให้พวกเขาโกรธเกลียดขึ้นมา ต่อไปคงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกเป็นแน่
พิธีการสำหรับการยกเลิกการหมั้นหมายไม่ยาก เพียงแค่แลกหยกประจำตัวให้ทุกคนเป็นสักขีพยานก็เพียงพอ ส่วนพิธีรับบุตรบุญธรรมนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ พระชายาฉีสั่งให้สาวใช้เอาเบาะรองนั่งเข้ามาแล้ววางไว้ไม่ไกลจากปลายเท้าของเขา หลินหันเยียนมีสาวใช้ประคองให้ลุกขึ้น นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะคุกเข่าลงบนเบาะรองนั่งแล้วโค้งคำนับให้เข้าสามครั้งอย่างสุภาพ “ลูกหลินหันเยียนคารวะพ่อบุญธรรม”
ฉู่เหวินเจี๋ยหน้านิ่งไร้รอยยิ้ม เพียงแต่พยักหน้าให้น้อยๆ จากนั้นก็ล้วงเอาโฉนดออกมาจากอกเสื้อแล้วมอบให้กับนาง “พ่อไม่รู้ว่าควรจะมอบของกำนัลอะไรให้ดี นี่เป็นโฉนดของร้านค้าที่ติดถนน มอบให้เจ้า”
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
ราชเลขาหลินสองสามีภรรยาคิดไม่ถึงว่าฉู่เหวินเจี๋ยจะใจกว้างเช่นนี้ ต่างก็ตกตะลึง
หลินหันเยียนยิ่งไม่รู้ตัว เงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างประหลาดใจ
ขนาดเมิ่งเชี่ยนโยวยังมิวายประหลาดใจ
มีเพียงอ๋องฉีสองสามีภรรยากับหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า ร้านนี้เดิมทีเป็นของพระชายาฉี คิดว่าตอนนี้ยกเลิกการหมั้ยหมายไป คงมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของหลินหันเยียนไม่น้อย พระชายาฉีจึงคิดที่จะมอบร้านค้าให้นางเพื่อเป็นการทดแทน เรื่องนี้ได้ปรึกษากันกับอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ผ่านการเห็นชอบจากทั้งสองคน
หลินหันเยียนรู้สึกตัว กล่าวว่า “พ่อบุญธรรม ของขวัญนี้มันมากเกินไป ลูกไม่อยากได้เจ้าค่ะ”
ถึงแม้ราชเลขาสองสามีภรรยาจะมากไปด้วยเล่ห์กล แต่ลูกสาวกลับไม่แย่ ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ น้ำเสียงนุ่มนวลอยู่หลายส่วน “รับไปเถิด ลูกผู้หญิงมีทรัพย์สินติดตัวไว้มากดีกว่า”
“นี่…” ถึงอย่างไรหลินหันเยียนก็อายุยังน้อย ตัดสินใจเองไม่ได้ หันไปมองหน้าราชเลขาสองสามีภรรยา
ทั้งสองคนพยักหน้า
หลินหันเยียนจึงยื่นมือออกไปรับโฉนด “ขอบคุณพ่อบุญธรรมเจ้าค่ะ” พูดจบก็ส่งโฉนดให้กับสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย แล้วจึงยกน้ำชาจากสาวใช้อีกด้าน ประคองด้วยสองมือส่งให้ฉู่เหวินเจี๋ย “พ่อบุญธรรม ดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยรับมา ดื่มพอเป็นพิธี แล้ววางไว้บนโต๊ะข้างๆ “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบคุณพ่อบุญธรรมเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนลุกขึ้นยืน
“ฮ่าๆ!”
ราชเลขาหลินส่งเสียงหัวเราะดังออกมาอย่างยินดี กล่าวอย่างพึงพอใจว่า “เยียนเอ๋อร์ พ่อบุญธรรมเจ้าให้ความสำคัญกับเจ้าเช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องกตัญญูต่อเขาอย่างดี”
หลินหันเยียนรับคำ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
ทุกคนในห้องต่างก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ขนาดเหวินซื่อยังไม่ได้ส่งเสียงแสดงความยินดี บรรยากาศภายในห้องเกิดความอึดอัดไปชั่วขณะ
พระชายาฉีกล่าวทำลายบรรยากาศอึดอัดนี้ขึ้นว่า “ทุกท่านนั่งพักสักครู่ ข้าจะสั่งให้คนไปเตรียมอาหารเดี๋ยวนี้”
สีหน้าของราชเลขาหยินแข็งกระด้าง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
หลินจ้งเองก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แอบบ่นในใจว่าราชเลขาสองสามีภรรยานี้มีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร เอาไมตรีจิตไปแลกกับความเฉยชา
ตอนทานอาหาร ชายหญิงแยกจากกัน ผู้ชายกินเหล้าชั้นดีอยู่ด้านนั้น ส่วนผู้หญิงกลับนั่งกินของหวานอยู่ด้านนี้
เฝิงจิ้งเหวินสองคนพี่น้องกับเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งด้วยกัน ทั้งสามคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
พระชายาฉีคุยอยู่กับฮูหยินราชเลขา สีหน้ายิ้มแย้มทว่าในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น เมื่อไม่มีคำพูดก็สรรหาคำพูดมาพูดแก้เขิน
หลินหันเยียนนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยมีสาวใช้คอยรับใช้
ผู้หญิงทางด้านนี้ทานอาหารเสร็จแล้ว ส่วนทางด้านผู้ชายนั้นยังดื่มสุรากันอยู่ พระชายาฉีสั่งให้คนนำอาหารที่เหลือออกไป แล้วก็ให้สาวใช้ชงชาร้อนๆ เข้ามา
สาวใช้หลายคนต่างก็ยกน้ำชาเข้ามา หนึ่งในสาวใช้ก้มหน้านำถ้วยน้ำชาสามถ้วยมาวางไว้ตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวกับเฝิงจิ้งเหวินสองพี่น้อง
เพิ่งจะกินข้าวเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ดื่ม และก็ไม่ได้แตะต้อง
เฝิงจิ้งเหวินยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำเล็กๆ คำหนึ่ง เฝิงจิ้งซูกลับยกถ้วยน้ำช้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของนาง ยิ้มแล้วยื่นถ้วยน้ำชาของตัวเองส่งให้นาง “เผ็ดใช่ไหม”
เมื่อกี้ตอนที่กินอาหารนางสังเกตเห็นว่าเฝิงจิ้งซูกินแต่อาหารรสเผ็ดร้อน ตอนนี้เผ็ดจนปากแดงเจ่อไปหมด
เฝิงจิ้งซูแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน พูดเสียงเบาว่า “มันอร่อยจริงๆ ข้าก็เลยอดไม่ได้กินไปหลายคำเลย”
เฝิงจิ้งเหวินยิ้มอย่างจนปัญญาแล้วอธิบายว่า “นางน่ะ ชอบทานเผ็ดตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่กินเสร็จ วันต่อมาก็จะมีผื่นขึ้น ท่านแม่ข้ากลัวว่าจะทำลายผิวของนาง จึงสั่งไม่ให้นางกินอีก วันนี้ไม่มีคนห้าม นางก็เลยดีใจ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หน้าของนางจะดูได้ไหม”
“ถึงจะดูไม่ได้ แต่ผ่านไปสองวันก็ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก” เฝิงจิ้งซูไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าใบหน้าของตัวเองจะกลายเป็นเช่นไร ว่าแล้ว ก็ยกถ้วยน้ำชาของเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นดื่มจนหมดถ้วยโดยไม่รู้สึกเกรงใจ
“ยังต้องการอีกไหม จะได้ให้สาวใช้ไปชงมาให้เจ้าอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เฝิงจิ้งซูส่ายหน้า เขยิบเข้าไปใกล้นาง พูดเสียงเบาว่า “กินอิ่มแล้ว ไม่ได้ทำอะไรแล้ว พวกเราไปเดินเล่นได้หรือยัง”
ช่างเป็นนิสัยของเด็กจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางโคลงศีรษะ ลุกขึ้น แล้วกล่าวกับพระชายาฉีว่า “พระชายาเพคะ หม่อมฉันกับน้องซูเอ๋อร์ขอไปเดินเล่นสักครู่”
พระชายาฉีเพิ่งจะรับปากเฝิงจิ้งซูไป ว่าจะให้ไปพานางไปเดินสำรวจดูรอบๆ จวน ได้ยินเช่นนั้นจึงสั่งหลิงหลงว่า “หลิงหลง เจ้าพาโยวเอ๋อร์กับคุณหนูเฝิงไปเดินเล่นเถิด”
หลิงหลงรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไปเดินเล่นกับน้องซูเอ๋อร์สองคนก็ได้”
พระชายาฉีพยักหน้า “ก็ได้ ไปเถอะ อีกสักครู่ทางด้านนั้นแยกน้ายกันแล้ว ข้าจะส่งคนไปเรียกพวกเจ้า” พูดจบก็หันไปถามเฝิงจิ้งเหวิน “ฮูหยินเหวินจะไปด้วยกันไหม”
“ให้พวกนางไปกันเถอะเพคะ หม่อมฉันจะอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนท่าน” เฝิงจิ้งเหวินตอบด้วยรอบยิ้ม
ทั้งสองคนทำความเคารพ แล้วก็เดินเคียงคู่กันออกไป
เฝิงจิ้งซูมีนิสัยร่าเริงมีชีวิตชีวา ตอนที่มีคนอยู่ด้วยก็จะแสดงเป็นคุณหนูกุลสตรีผู้เพียบพร้อม ทำให้คนมองไม่เห็นนิสัยซุกซน ตอนที่ไม่มีคนก็กลับคืนนิสัยเดิม พอเดินออกจากประตูห้องโถงกินข้าว ก็โอบไหล่ของเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใสว่า “พี่เมิ่ง คราวนี้ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาข้าแล้ว จวนอ๋องฉีไม่ธรรมดาเลย สูงศักดิ์ มีราศี ทุกที่ดูหรูหราไปหมด บ้านหลังเล็กๆ ของเราถ้าเทียบกันแล้วดูไร้ค่าไปเลย”
บ้านตระกูลเฝิงเป็นตระกูลคหบดี อยู่ในเมืองหลวงถือว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตา แต่พอเฝิงจิ้งซูพูดเช่นนี้ก็แทบจะเปรียบได้กับบ้านของชาวบ้านทั่วไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “จวนอ๋องฉีย่อมต้องตกแต่งอย่างหรูหราเป็นธรรมดา แต่ว่าไม่ได้เกินไปอย่างที่เจ้าพูด ข้ารู้สึกว่าไม่แตกต่างจากจวนของเจ้าเลย”
“แตกต่างมากเลย แค่ลานบ้านก็ยังใหญ่กว่าของบ้านพวกเราตั้งหลายเท่า”
ทั้งสองพลางพูดพลางเดินเล่น
ไม่มีผู้นำทาง เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่ค่อยจะคุ้นเคยภายในจวนนี้ ทั้งสองคนเดินไปถึงไหนก็ถึงที่นั่น โชคดีที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีความสามารถในการจดจำเป็นอย่างดี จำไว้ว่าเดินผ่านตรงไหนไปบ้างแล้ว จะได้ไม่ลืมทางกลับ
ทั้งสองคนเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย มีสาวใช้คนหนึ่งเดินตามเข้ามา แล้วคารวะทั้งสองคน “แม่นางทั้งสอง พระชายาบอกว่าอีกพักใหญ่ทางด้านนั้นถึงจะเลิกดื่มสุรา กลัวว่าพวกท่านจะเดินเหนื่อย จึงให้บ่าวพาพวกท่านหาทั่งนั่งพักผ่อนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้เจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สงสัยอะไรมาก พยักหน้า “ขอบใจ”
ทั้งสองคนเดินตามสาวใช้ไปถึงลานบ้านที่เรือนหนึ่ง
สาวใช้กล่าวว่า “นี่เป็นเรือนรับรองเจ้าค่ะ พระชายาบอกให้ท่านทั้งสองพักผ่อนอยู่ที่นี่สักครู่ รอให้แขกใกล้จะกลับแล้ว ถึงจะถึงคนมาตามพวกท่านอีกครั้ง”
ทั้งสองคนพยักหน้า
สาวใช้ถอยออกไปอย่างนอบน้อม แล้วปิดประตูให้อย่างเบามือ ส่งสายตาบอกอะไรบางอย่างกับสาวใช้ที่ดูแลอยู่ข้างนอก
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนในห้อง
สาวใช้ที่ดูแลอยู่ข้างนอกยกถ้วยน้ำชาเข้ามาสองถ้วย แล้ววางตรงหน้าทั้งสองคน กล่าวอย่างสุภาพว่า “แม่นางทั้งสองเชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
แล้วสาวใช้ก็ถอยออกไป
เฝิงจิ้งซูยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลื่อนถ้วยน้ำชาของตัวเองส่งให้นางเหมือนเดิม เฝิงจิ้งซูก็ไม่ได้เกรงใจ ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
ทั้งสองคนพูดคุยหยอกล้อกันสักพัก ใบหน้าของเฝิงจิ้งซูก็ค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้น แววตาเลือนรางล่องลอย กล่าวว่า “พี่เมิ่ง ข้ารู้สึกร้อนจัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของนาง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือไปตรวจชีพจรให้นาง สีหน้าเคร่งขรึมลง “น้องสาว น่องสาว อดทนอีกหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปหายาถอนพิษ”
เฝิงจิ้งซูควบคุมตัวเองไม่ค่อยแล้ว
เดิมทีเมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าจะอุ้มนางออกไป แต่ท่าทางเช่นนี้ของนางถ้าถูกคนเห็นเข้า จะเสื่อมเสียชื่อเสียง เกรงว่าจะมีแต่ทางตันเท่านั้น ไตร่ตริงได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็กัดฟัน ร้องตะโกนออกไปด้านนอกว่า “มีใครอยู่ไหม!”
ไร้เสียงตอบรับจากนอกประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเข้าใจได้ในทันที นางกับเฝิงจิ้งซูทั้งสองคนติดกับดักแล้ว มองดูท่าทางเจ็บปวดไม่น้อยของเฝิงจิ้งซู เมิ่งเชี่ยนโยวขบกรามแน่น แล้วใช้กำปั้นทุบไปที่ต้นคอด้านหลังของนาง เฝิงจิ้งซูตัวอ่อนทันที ซบเข้าไปในอกของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวประคองนาง แล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอก ตอนที่เดินผ่านโต๊ะไปนั้น ก็ฉวยเอาถ้วยน้ำชาสองถ้วยติดมือไปด้วย
เดินออกมาจากประตู ถึงได้มองเห็นสาวใช้คนหนึ่ง เดินเข้ามา สั่งนางทันทีว่า “เจ้าไปตามซื่อจื่อกลับเรือน บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องเจอเขา”
สาวใช้มองดูเฝิงจิ้งซูที่อยู่ในอ้อมแขนของนางแวบหนึ่ง แล้วก็รีบพยักหน้า หมุนตัวเดินไปยังห้องโถงรับแขกทันที แต่พอลับหลัง ก็หยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองทุกการกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยว
เฝิงจิ้งเหวินถูกตีจนสลบไป น้ำหนักของร่างกายทั้งหมดตกอยู่ที่ตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงนางเดินบ่ายหน้าไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างลับๆ ล่อๆ
สาวใช้จดจำทุกการกระทำของนางอย่างชัดเจน รอจนกระทั่งร่างของทั้งสองคนลับหายไปจากสายตาแล้ว กลับหมุนตัววิ่งบ่ายหน้าไปยังเรือนของพระชายารอง ไม่รอให้รายงาน ก็เปิดม่านประตูเดินเข้าไป พูดขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “เหนียงเหนียง สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วเจ้าค่ะ เมิ่งเชี่ยนโยวผู้นั้นประคองแม่นางอีกคนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเรือนของซื่อจื่อ”
“พวกเศษสวะ” พระชายารองดุด่าเสียงดัง “ไม่ใช่บอกพวกเจ้าแล้วหรือว่าให้ใส่ปริมาณมาก ทำไมเด็กชั้นต่ำนั่นถึงยังไม่มีอาการ”
สาวใช้ตอบอย่างหวาดกลัว “บ่าวได้ใช้ปริมาณมากกว่ายามปกติถึงสองเท่าแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กคนนั้น แต่ว่าบ่าวเห็นว่านางเดินไม่ค่อยมั่นคงนัก คิดว่าน่าจะเกิดอาการขึ้นแล้ว คงจะทนไม่ได้นานเจ้าค่ะ”
“ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ลงมือแล้วหรือยัง” พระชายารองถาม
“เสี่ยวอันจื่อส่งชาไปแล้วเจ้าค่ะ เห็นชัดกับตาว่าเขาดื่มแล้ว”
“ดี” พระชายารองพยักหน้า “เจ้าไปบอกเสี่ยวอันจื่อ ให้เขาคิดหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้คนไปที่เรือนของเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่น จากนั้นพวกเจ้าก็รีบหนีไป หนีไปไกลเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี”
สาวใช้รับคำสั่ง แล้วก็วิ่งออกไป
พระชายารองยิ้มอย่างลำพองใจ “หลังจากวันนี้ ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้าจะยังยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร”
สาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องต่างก็ก้มหน้า ทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของนาง
โมโม่กับสาวใช้ติดตามก็ยิ้มอย่างสมความปรารถนา
จินตนาการภาพที่กำลังจะเกิดในอีกสักครู่ พระชายารองจีบปากจีบคอพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี “มา แต่งตัวให้ข้าดีๆ หน่อย อีกสักครู่ข้าจะไปดูเรื่องสนุก”
สาวใช้ติดตามขานรับ แล้วก็เริ่มแต่งตัวให้นางใหม่
เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงพาเฝิงจิ้งซูเข้ามาถึงจวนของหวงฝู่อี้เซวียน วางนางลงบนเตียงด้วยเสียงหายใจหอบ
จากนั้นเดินมาที่โต๊ะข้างๆ เทน้ำเย็นใส่แก้ว เดินกลับไปยังเตียง ประคองเฝิงจิ้งซูขึ้น แล้วเอาน้ำให้นางดื่ม
น้ำเย็นนิดๆ ทำให้ความร้อนในร่างกายของเฝิงจิ้งซูลดลงไปบ้าง แล้วก็สงบลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ เอาแก้ววางกลับบนโต๊ะเช่นเดิม
เฝิงจิ้งซูส่งเสียงดังขึ้นมาอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวบ่นพึมพำคาถาเสียงต่ำ หยิบกาน้ำชา ประคองเฝิงจิ้งซูให้ลุกขึ้น แล้วก็กรอกน้ำเย็นเข้าไปในปากของนาง
—————————-
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 126 เฝิงจิ้งซูเกิดเรื่อง
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ
ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น!
นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ…
นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!?
…
“น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด
“น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก
“ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”
Recommended Series
Comment
Facebook Comment