อ๋องฉีแสดงสีหน้าเป็นห่วง จ้องตาพระชายาเขม็ง
พระชายาฉียิ่งจับกระโปรงไว้แน่น
อ๋องฉีจ้องพระชายาอยู่ครู่หนึ่ง จึงปัดความคิดที่จะตรวจดูหัวเข่าพระชายาออกไป เอนตัวพิงเข้าไปในรถม้า
พระชายาฉีเห็นท่าทางของท่านอ๋อง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก แต่มือที่จับกระโปรงกลับไม่ได้คลายออก
รถม้าหยุดลงเมื่อถึงหน้าประตูจวนท่านอ๋อง อ๋องฉีลงมาจากรถม้า พระชายาฉีค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา หลิงหลงรีบเดินเข้าไป เตรียมยื่นมือไปหวังจะประคองพระชายาลงจากรถม้า อ๋องฉีกลับก้มตัวอุ้มพระชายาฉีแล้วเดินสาวเท้ามุ่งหน้าเข้าไปในจวน ในขณะที่พระชายาฉีตกใจร้องเสียงหลง
พระชายาฉีร้องตกใจ “ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันลงมาเถอะ หม่อมฉันเดินเองได้ ท่านทำอย่างนี้จะไม่ดีต่อสายตาคนในบ้านเอานะเพคะ”
อ๋องฉีฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เดินตรงไปยังเรือนของพระชายาฉี
หลังจากหลิงหลงตกตะลึง กระหยิ่มยิ้มย่องเดินมือปิดปากตามหลังไป บ่าวใช้ในบ้านที่เห็นภาพนี้ ปฏิกิริยายาแรกคือเบิ่งตาตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อสายตาที่เคร่งขรึมของอ๋องฉีกวาดมอง บ่าวใช้ทั้งหมดก็ก้มหน้าไม่กล้ามอง
พระชายาฉีหน้าแดงร้อนผ่าว คิดว่าต่อจากนี้คงไม่มีหน้าเจอใครแล้ว และก็ไม่ต้องตกใจแล้ว มุดศีรษะลงบนหน้าอกของท่านอ๋อง ช่างคนในจวนจะพูดนินทาอะไร
วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ออกจากบ้าน อยู่บ้านรอฟังข่าวโดยเฉพาะ เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้รายงานว่าอ๋องฉีและพระชายาฉีกลับมาแล้ว ก็ลุกเดินออกไปในทันที
หวงฝู่อี้ห้ามไว้ “ซื่อจื่อ รอสักครู่เถอะขอรับ ตอนนี้ท่านอ๋องยังอุ้มพระชายาไม่ถึงห้องของพระชายาเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินคำว่า ‘อุ้ม’ เต็มสองหู มองเขาด้วยความสงสัย หวงฝู่อี้พยักหน้า พูดว่า “ซื่อจื่อ ไม่ได้ฟังผิดหรอกขอรับ หวงเฟยเหนียงเหนียงถูกท่านอ๋องอุ้มกลับเข้าจวนจริงๆ ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนฉลาดเป็นกรด รู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ สาวเท้าเดินออกไปในทันที
หวงฝู่อี้เดินตามหลังห้ามปราม “ซื่อจื่อ ค่อยไปเถอะขอรับ รอให้หวงเฟยเหนียงเหนียงถึงที่หมายแล้วค่อยว่ากัน”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก พูดว่า “อี้เอ๋อร์ ต้องเกิดเรื่องอะไรกับเสด็จแม่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นเสด็จพ่อคงไม่อุ้มเสด็จแม่เข้าบ้านหรอก”
หวงฝู่อี้กระจ่าง รีบเดินตามหลังไปติดๆ
เมื่อทั้งสองถึงเรือนของพระชายาฉี อ๋องฉีอุ้มพระชายาฉีเข้าไปในห้องแล้ว เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา รีบออกคำสั่ง “ให้คนไปเชิญแม่นางเมิ่งมา เข่าของเสด็จแม่บาดเจ็บน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนในใจหนักอึ้ง รีบสั่งให้หวงฝู่อี้ไปเชิญเมิ่งเชี่ยนโยวมา
หวงฝู่อี้ขานรับ เดินออกจากบ้านของพระชายาฉี และไปจูงม้าดีตัวหนึ่งออกมา ขึ้นค่อมขี่ม้าทยานออกไปเชิญเมิ่งเชี่ยนโยว
เลือดบนหน้าของพระชายาฉีสูบฉีดจนแดงก่ำ นั่งบนเตียง เห็นสีหน้ากังวลของหวงฝู่อี้เซวียน จึงรีบเก็บอาการ และรีบพูดขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์อย่ากังวลเลย แพทย์หญิงในวังดูให้แล้ว แผลของข้ามิเป็นอะไรมากหรอก พักผ่อนไม่กี่วันก็หาย”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปหน้าเตียง เห็นรอยเปื้อนเลือดที่แห้งกรังบนกระโปรงของพระชายา สีหน้าก็พลันหนักอึ้ง ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เสด็จแม่ เกิดอะไรขึ้นหรือขอครับ”
คนในวังนั้นมีมากไม่แพ้เสียงพูดคุย แม้ตัวเองจะไม่พูดก็คงปิดบังไว้ไม่ได้ พระชายาฉีจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนหนักผ่อนเบา “เซวียนเอ๋อร์อย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แม่เข้าวังเจอเฮ่อกุ้ยเฟยเข้า เกิดปากเสียงกันเล็กน้อย แม่แค่บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ฮ่องเต้ลุงของเจ้าลงโทษกุ้ยเฟยไม่ให้ออกนอกบริเวณสามเดือนเชียว เรื่องนี้ก็ถือว่าจบกันนะ เซวียนเอ๋อร์อย่าใส่ใจไปเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงปนความสงสัย “กุ้ยเฟยโยนสาเหตุการตายของพระชายารองให้เสด็จแม่ใช่ไหม”
พระชายาฉีรีบโบกมือ พูดให้เป็นเรื่องเล็กน้อยว่า “ไม่ใช่หรอก เรื่องวันนี้ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด แม่เองก็พูดจาไม่ดีเอง ทำให้กุ้ยเฟยโมโห กุ้ยเฟยจึงสั่งคนให้ลงมือน่ะ”
เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่เชื่อคำพูดเมื่อครู่นี้เลย เสด็จแม่ของตนเองเป็นอย่างไร เขาเองรู้ดีที่สุด อยู่ๆ จะทำให้เฮ่อกุ้ยเฟยโกรธอย่างไร้สาเหตุได้อย่างไร จึงจี้ถามต่อ “เสด็จแม่ทำอะไรลงไป พูดอะไรไป กุ้ยเฟยถึงลงมือหนักเช่นนี้”
พระชายาฉีตอบไม่ได้
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ถามเสด็จแม่ต่อ หันไปทางประตูและตะโกนขึ้น “หลิงหลง!”
หลิงหลงขานรับและเดินเข้ามาคารวะ
“วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
พระชายาฉีส่งสายตาให้หลิงหลง
แต่อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้วยกันหมด ให้ตายหลิงหลงก็ไม่กล้าปิดบังพวกเขา เล่าความจริงทั้งหมดออกมา เมื่อฟังจบ หวงฝู่อี้เซวียนกำมือแน่น สีหน้าอ๋องฉีหนักอึ้งกว่าเดิม
พระชายาฉีเห็นสีหน้าของทั้งสองคน โบกมือให้หลิงหลงออกไป พูดกับทั้งสองว่า “แม้เฮ่อกุ้ยเฟยจะจงใจหาเรื่อง แต่ก็โดนลงโทษหนักไปแล้ว ให้เรื่องนี้มันผ่านไปเถอะนะ”
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีเปลี่ยนเรื่อง พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “เซวียนเอ๋อร์ วันนี้แม่และเสด็จพ่อไม่ได้ขอหมายหมั้นมาให้ได้”
ตั้งแต่ที่หวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาเห็นสีหน้าทั้งสองท่านไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ ก็พอจะเดาออกแล้ว ตอนนี้ได้รับการยืนยัน จึงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เพราะเหตุใดขอรับ”
พระชายาฉีนำสิ่งที่ไทเฮาและฮ่องเต้กล่าวบอกเขาว่า “ไทเฮายืนหยัดไม่เห็นด้วยแน่ๆ แต่ฮ่องเต้ค่อยยังชั่ว แม้เรื่องสมรสของลูกกับโยวเอ๋อร์ยังไม่สามารถมีข้อสรุปได้ แต่ในระยะสั้นนี้ พวกท่านก็จะยังไม่ให้เจ้าตบแต่งกับหญิงอื่น”
อำนาจกษัตริย์นั้นสูงกว่าสิ่งอื่นใด หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
พระชายาฉีคิดว่าหากลูกรู้แล้วต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ๆ ไม่น่าเชื่อว่าลูกจะสงบเช่นนี้ เกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา น้ำเสียงที่พูดก็เริ่มร้อนรน “เซวียนเอ๋อร์ ลูกอย่ารีบร้อนไปเลย รอผ่านไปสักระยะ แม่และเสด็จพ่อจะเข้าวังไปขออพระราชโองการให้อีกนะ”
“ไม่เป็นไรขอรับ เสด็จแม่” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยสีหน้าปกติ “ในเมื่อไทเฮาและฮ่องเต้พูดเช่นนี้แล้ว พวกท่านคงพิจารณามาดีแล้ว เสด็จแม่และเสด็จพ่อจะไปขออีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็แค่รออีกสองสามปีไม่ใช่หรือ ลูกไม่รีบหรอก โยวเอ๋อร์ก็ไม่เป็นไร เสด็จแม่รักษาตัวให้หายเถอะขอรับ”
พระชายาฉีรู้สึกปฏิกิริยาของลูกแปลกๆ ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี กำลังจะเอ่ยปากปลอบ อ๋องฉีก็พูดขึ้น “เซวียนเอ๋อร์พูดถูก ในเมื่อเสด็จแม่และฮ่องเต้พูดแล้วว่าจะไม่ให้หมายหมั้นพวกเขา แม้เราจะไปขออีกครั้งก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ควรทำตอนนี้ คือเซวียนเอ๋อร์ควรทุ่มเททำงานให้วังมากขึ้น เพื่อนำคุณงามความดีเข้าแลก”
พระชายาฉีเข้าใจสิ่งที่อ๋องฉีพูดทันที เหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง รู้ว่าลูกก็คงเข้าใจความตั้งใจของฮ่องเต้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินว่าพระชายาฉีบาดเจ็บ ก็รีบให้กัวเฟยควบม้าเร็ว พร้อมชิงหลวนและจูหลีถึงจวนอ๋องฉี ก็รีบมุ่งไปเรือนพระชายาฉีทันที
เมื่อหลิงหลงเห็น จึงแผ่เสียงรายงานเข้าไปในห้อง เปิดม่านประตู คารวะและเชิญนางเข้าไป
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าห้อง ก็รู้สึกบรรยากาศไม่ดี เหมือนจะเข้าใจบางอย่าง พลันรู้สึกหนักอี้ง เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินไปข้างเตียง ถามพระชายาฉีเสียงเบา “พระชายา บาดเจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ”
พระชายาฉีมองไปที่อ๋องฉี และหวงฝู่อี้เซวียน
อ๋องฉีนิ่ง หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรอยเลือดบนกระโปรงของพระชายาฉี ก็พอเข้าใจ ค่อยๆ ถลกกระโปรงของพระชายาขึ้นไปเหนือเข่า เห็นแผลบนหัวเข่าของพระชายา คิ้วขมวด
พระชายาฉีพูด “แพทย์หญิงในวังประคบยาให้แล้ว บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือคลำรอบๆ เข่าของพระชายา หลังจากถามไถ่อย่างละเอียด ก็พยักหน้า พูดขึ้น “ไม่เป็นอะไรมากจริงๆ ทายาพักผ่อนสองสามวันก็หาย แต่นี่ท่านทายาแล้ว เลือดกลับยังไหลซิบ หากจะทาอีกครั้ง ต้องเช็ดของเก่าออกให้หมดสะอาดก่อน ยาจึงจะออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ระหว่างนี้อาจจะเจ็บหน่อย ท่านต้องทนหน่อยนะเจ้าคะ”
พระชายาฉีพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวให้หลิงหลงนำกระดาษและพู่กันมา เขียนรายการยา ส่งให้นาง ให้นางสั่งให้คนไปซื้อยา หลังจากนั้นก็สั่งให้นำกะละมังใส่น้ำอุ่นมา
หลิงหลงทำตามคำสั่ง หลังจากสั่งให้คนไปซื้อยาแล้ว ก็รีบไปนำน้ำอุ่นใส่กะละมัง วางบนเก้าอี้ข้างเตียง
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้นางไปหาผ้าสะอาดมาผืนหนึ่ง นั่งลงข้างเตียง ค่อยๆ เปิดกระโปรงขึ้น เห็นหัวเข่าที่บวมช้ำ เมื่อนำผ้าชุบน้ำแล้ว ก็เช็ดยาที่เหลือบนเข่าออกอย่างระมัดระวัง
ตอนที่อยู่ในวัง แพทย์หญิงทายาให้แล้วไม่ได้ปิดแผลให้ ตอนที่นางคุกเข่าลงไปอย่างแรงต่อหน้าไทเฮา ทำให้เลือดไหลออกมาทันที ผสมปนไปกับยาที่ทาไป อีกทั้งระยะทางระหว่างทางกลับจากวัง เลือดและยาที่ผสมปนกันก็แห้งกรังหมดแล้ว ติดแน่นบนเข่าของพระชายา ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดอีกครั้งก็เหมือนกับเปิดแผลอีกครั้ง พระชายาฉีจะอดทนอย่างไร ก็อดไม่ได้ที่ตัวจะสั่นสะท้าน หายใจแรงและร้องด้วยความเจ็บปวด
อ๋องฉีเดินเข้าใกล้ เห็นแผลบนเข่าของนางชัดเจน สีหน้าพลันหนักอึ้ง เอื้อมมือไปจับขาข้างหนึ่งของนาง ให้สัญญาณให้เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งทำให้เสร็จ
เมิ่งเชี่ยนโยวรับทราบ แม้จะยังคงระมัดระวัง แต่ก็เร่งทำให้เร็วขึ้น
พระชายาฉีกัดฟันกรอด พยายามไม่ให้ตัวเองร้องส่งเสียงดัง แต่ตัวที่สั่นเทาของนางกลับแสดงให้เห็นว่านางกำลังทนความเจ็บปวดอยู่มากเพียงใด
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวทำความสะอาดแผลของนางเสร็จ เม็ดเหงื่อก็ปรากฏบนหน้าผากของพระชายาฉี ปลดเสื้อบริเวณหน้าอกของนางให้ระบายอากาศ อ๋องฉีปล่อยขาของนาง ยื่นมือไปจับผ้าห่มมาห่มให้นาง พระชายาฉีหายใจเข้าลึก ความเจ็บปวดจึงน้อยลง
หลิงหลงนำกะละมังน้ำออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนำผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของพระชายาฉี
คนใช้ซื้อยากลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจสอบ นำยาสองสามชนิดผสมกัน โขลกพอหยาบ ประคบบนเข่าของพระชายาฉี และใช้ผ้าโปร่งปิดแผล พูดว่า “สองสามวันนี้อย่าลุกเดินเลยเพคะ เปลี่ยนยาทุกวัน วันละครั้ง ประมาณสามถึงห้าวันก็ดีขึ้นแล้วเพคะ”
พระชายาฉีพยักหน้า
อ๋องฉีจดจำสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำไว้ทั้งหมด
ปิดแผลเรียบร้อยแล้ว เมื่อเหงื่อของพระชายาฉีแห้ง ก็รู้สึกตัวเหนียวจนไม่สบายตัว เรียกหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา พูดขึ้น “เซวียนเอ๋อร์ ลูกพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปนั่งในเรือนของลูกสักครู่สิ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป
พระชายาฉีพูดขึ้นอีกว่า “ท่านอ๋อง เสื้อหม่อมฉันเปียกไปหมดแล้ว เหนียวไม่สบายตัวเลย โปรดกลับไปก่อนเถอะ หม่อมฉันอยากเปลี่ยนหน่อยเพคะ”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร ยืนขึ้น กำชับให้หลิงหลงรับใช้อย่างระมัดระวัง จึงเดินกลับไปที่ห้องของตน
เหงื่อออกเยอะขนาดนี้ น้ำก็อาบไม่ได้ พระชายาฉีจึงสั่งให้หลิงหลงสั่งคนนำน้ำร้อนมาเช็ดตัว แล้วจึงเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ห้องของตนอย่างเงียบขรึม เขาไม่ได้โผเข้ากอดและจูบอย่างดูดดื่มกับเมิ่งเชี่ยนโยวทันทีเหมือนอย่างเคย แต่กลับสั่งให้หวงฝู่อี้ยกชาเข้ามา นั่งลงบนโต๊ะในห้องข้างๆ นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำชาขึ้น เป่าให้หายร้อน ค่อยๆ จิบชา แล้วจึงถามขึ้นว่า “ไทเฮาไม่ได้ตกลงเรื่องงานหมั้นของเราใช่ไหม”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวจิบชาอีกคำหนึ่ง พูดว่า “ข้ารู้แต่แรกแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะมองไปที่เขา พูดว่า “ถ้าให้ข้าเดา เหตุผลที่ปฏิเสธคงไม่พ้นสองเรื่องนี้ หนึ่งคือพี่เพิ่งถอนหมั้นกับคุณหนูหลิน ถ้าเราหมั้นกันตอนนี้ก็เหมือนไม่ไว้หน้าท่านราชเลขา อีกหนึ่งเหตุผลก็คือฐานะของข้าเอง”
หวงฝู่อี้เซวียนตกใจ เอ่ยปากถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “ฮ่องเต้รู้วิชาการสร้างสมดุลมาแต่ไหนแต่ไร ในเมื่อพวกท่านยอมรับการถอนหมั้นอย่างเงียบๆ แล้ว ก็ต้องมีคำอธิบายที่เหมาะสมให้กับบ้านท่านราชเลขา ส่วนเรื่องฐานะของหม่อมฉัน ก็คงเป็นเหตุผลที่พวกท่านไม่สามารถยอมรับได้ตลอดไป”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งตกใจ จึงนำสิ่งที่ไทเฮาและฮ่องเต้พูดเล่าให้ฟังหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบก็ยิ้มอย่างสดใส พูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าพวกท่านจะคอยประวิงเวลาจนกว่าข้าจะรอไม่ได้ แล้วให้ข้ายอมแพ้ไปเอง รอให้ข้าแต่งกับคนอื่น จึงออกหมายหมั้นให้ท่านตบแต่งหลังจากนั้น”
หวงฝู่อี้เซวียนเกิดร้อนรนขึ้นมา เอนตัวไปข้างหน้า หยุดตรงหน้านาง จ้องมองตานาง ถามโพล่งว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าจะทำเช่นนั้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กลับถามเขากลับว่า “จำคำพูดที่ข้าพูดตอนเราจากกันได้ไหม”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “จำได้ หากข้าไม่จาก เจ้าก็จะไม่ไป!”