เฮ่อจางพูดไม่ออก
แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดอ๋องฉีจึงมีประสงค์ให้ยืดเวลาออกไปอีกสามวัน แต่เขากล้าเอาหัวของตัวเองเป็นประกัน ก็แสดงว่าไม่มีทางให้เมิ่งเชี่ยนโยวหนีไปเป็นแน่ จึงพยักหน้า ตอบตกลง “ได้สิ ทำอย่างเจ้าว่า อีกสามวันให้พระเซวี่ยนชิงทำพิธีต่อหน้าชาวบ้านทุกคน”
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว พิธีเช้าก็จบลง เหล่าขุนนางทั้งหมดเดินออกมาด้านนอก เมื่อเฮ่อจางเห็นฝีเท้าอ๋องฉีเร่งรีบ จึงหรี่ตาลง รีบเดินออกไปจากประตูวัง จากนั้นก็สั่งเสียงเบาว่า ให้รีบปล่อยข่าวลือที่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจแพร่ออกไป
มีเสียงตอบรับตามมา จากนั้นก็จากไป
หลังจากที่อ๋องฉีกลับมายังจวนแล้ว เมื่อทราบว่าหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่กลับมา ก็รีบไปนำเงินจากห้องบัญชีจำนวนสองหมื่นตำลึง ควบม้าเร็วไปยังหนานเฉิงทันที ไม่นานก็มาถึงจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวตามคำบอกขององครักษ์เงา
นายประตูไม่รู้จักเขา แต่ดูว่าการแต่งกายของเขาอีกทั้งยังมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหวงฝู่อี้เซวียน ก็เดาสถานะของเขาได้ จึงตกใจมาก รีบคุกเข่าลง “ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋อง”
“พวกเขาอยู่ด้านในหรือไม่” อ๋องฉีถามด้วยความร้อนรน
นายประตูผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า พวกเขาที่ว่าหมายถึงเมิ่งเชี่ยนโยวและซื่อจื่อ จึงได้รีบพยักหน้า “อยู่ขอรับ”
และสั่งว่า “พาข้าไปพบพวกเขา”
นายประตูรีบยืนขึ้น นำทางเขาไปยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความนอบน้อม
ชิงหลวนและจูหลีเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นอ๋องฉีต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก “อ๋องฉี!”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงร้องของชิงหลวนและจูหลี จึงมองตากัน และยืนขึ้นพร้อมกัน และเดินออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นอ๋องฉีจริงๆ ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็มีลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาทันที “เสด็จพ่อ ท่านมาได้อย่างไรกันขอรับ”
อ๋องฉีหยิบเงินออกมา ส่งให้เขา และไม่อธิบายอะไร สั่งเสียงทุ้มต่ำว่า “รับเงินพวกนี้ไว้ และพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปจากที่นี่ ไปยิ่งไกลยิ่งดี”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ไม่ได้รับเงินมา
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจมาก “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ”
อ๋องฉีพยายามพูดให้ดูรุนแรงน้อยที่สุดว่า “เฮ่อจางส่งคนไปที่บ้านเกิดของเจ้าเพื่อสืบประวัติเจ้า และสืบเจอข้อมูลบางอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า และฝ่าบาทก็ได้มีรับสั่งให้ตามจับตัวเจ้า ข้าหาวิธียืดเวลาออกไปสามวัน เพียงพอให้พวกเจ้าหนีไปได้ไกลแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้มสบายๆ ออกมา ถามว่า “ท่านอ๋องยืดเวลาอย่างไรหรือเพคะ”
ท่านอ๋องร้อนใจ โบกมือ “เรื่องนี้พวกเจ้าอย่าห่วงไปเลย ไม่ต้องเก็บของอะไรทั้งสิ้น อาศัยจังหวะที่เฮ่อจางยังไม่รู้ตัวรีบหนีไปก่อนเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมส่ายหน้า “ต่อให้พระสงฆ์หนีไป แต่วัดก็ยังต้องอยู่เพคะ ครอบครัวของหม่อมฉันยังอยู่ที่ชิงซี ถ้าหากพวกเขาใช้คนในครอบครัวหม่อมฉันมาข่มขู่ ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว หม่อมฉันก็ต้องกลับมาแต่โดยดี ไม่หนีเสียยังจะดีกว่า”
อ๋องฉีใจร้อน คิดแต่อยากจะให้ทั้งสองรีบหนีไปอย่างเดียว ไม่ได้ไตร่ตรองไปถึงครอบครัวของนาง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงผงะไป
“ท่านอ๋อง พวกเราไปคุยกันในห้องรับรองแขกเถิดเพคะ บอกหม่อมฉันมาตามจริงเถิดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
ทั้งสามเดินมานั่งในห้องรับแขก อ๋องฉีจิตใจสงบจิตลงมากขึ้นแล้ว นำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้เล่าให้พวกเขาฟัง พูดจบ ก็จ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีสีหน้าตกใจเลยแม้แต่น้อย ยิ้มและถามว่า “ท่านอ๋องมองว่าหม่อมฉันเหมือนปิศาจหรือไม่เพคะ”
อ๋องฉีส่ายหน้า “ตัวข้าไม่เชื่อหรอก แต่ว่าฝ่าบาทกลับเชื่อโดยไม่ลังเล ข้าเกรงว่า…”
“เสด็จพ่ออย่ากลัวไปเลย” หวงฝู่อี้เซวียนที่นั่งเงียบมาตลอดเปิดปาดพูด “เรื่องนี้ลูกได้เตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว โยวเอ๋อร์ไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่นอน”
อ๋องฉีผงะไป
หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อว่า “ดูจากนิสัยของเฮ่อจางแล้ว บัดนี้คงจะส่งคนไปแพร่ข่าวลือแล้ว สิ่งที่เสด็จพ่อควรทำตอนนี้คือกลับจวนไปปลอบขวัญเสด็จแม่ ข้าจะอยู่ที่นี่กับโยวเอ๋อร์”
อ๋องฉีอ้าปาก ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หวงฝู่อี้เซวียนขัดเขา และเน้นย้ำอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อวางใจเถิดขอรับ พวกเราไม่เป็นอะไรหรอก”
คำที่อ๋องฉีต้องการจะพูดถูกกลืนลงคอไป มองทั้งสองเล็กน้อย และถอนใจออกมา ยืนขึ้นสาวเท้ายาวเดินออกไป
ทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนตาม ส่งเขาออกไปนอกจวน มองดูเขาขี่ม้าวิ่งไกลออกไปแล้วจึงได้หันหลังกลับเข้าบ้าน หวงฝู่อี้เซวียนพลางเดินพลางสั่งการไปว่า “ให้กัวเฟยมาพบข้า”
ชิงหลวนตอบรับ หันหลังตรงไปยังที่พักของบ่าวรับใช้
ทั้งสองเดินทางมาถึงห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว กัวเฟยตามมา หวงฝู่อี้เซวียนสั่งว่า “เจ้าไปหาเถ้าแก่ของเหลาจวี้เสียน ให้เขาประกาศเรียกองครักษ์ลับจำนวนสามพันนายมาที่เมืองหลวงภายในสองวันนี้”
ตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนที่หวงฝู่อี้เซวียนหายตัวไป องครักษ์ลับสามพันนายก็ได้กระจายตัวกันอยู่ตามเหลาจวี้เสียน ยังไม่เคยรวมตัวกันพร้อมหน้าเสียที บัดนี้เมื่อได้ยินคำสั่งเช่นนี้ กัวเฟยจึงรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เขาไม่รอช้า เมื่อตอบรับแล้วก็รีบเดินออกไป
กัวเฟยออกไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงความเงียบ ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรออกมา
เวลาผ่านไปนานแสนนาน เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น ยิ้มและถามว่า “เจ้ารู้มานานแล้วใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบอะไร
“กลัวหรือไม่” นางถามย้ำ
เขามองนางด้วยสายตาอ่อนโยน ยืนขึ้น เดินไปหานาง ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คนบื้อ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าก็จะเป็นหญิงผู้ครองใจข้าเพียงผู้เดียว”
ดวงตาของเมิ่งเชี่ยนโยวมีน้ำตารื้นขึ้น เอื้อมมือไปกอดเอวเขาไว้ “ชาติที่แล้วของข้า ขณะที่รู้ตัวว่าตนเองตายแล้วนั้นข้าไม่รู้สึกกลัว แต่กลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นได้เสียที แต่บัดนี้ ข้ากลัว…”
“มีข้าอยู่ที่นี่ เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรอีก…” น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความอาลัย “ข้ากลัวว่าวิญญาณจะต้องล่องลอยอีกครั้ง กลัวว่าจะไม่ได้อยู่กับเจ้า กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้พบกับเจ้าอีก”
ในน้ำเสียงน่าฟังของหวงฝู่อี้เซวียนมีพลังที่คอยปลอบนางอยู่ “ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก ชาตินี้เราก็ต้องอยู่ด้วยกัน มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง มีแต่ความสุขสมหวัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร ทำเพียงกอดเขาเอาไว้แน่น
ข่าวลือที่ว่าองค์หญิงชิงเหอคนใหม่เป็นปิศาจนั้นแพร่ไปเร็วราวกับติดปีก ไม่นานก็ลือกันไปทั่วเมืองหลวง ได้ยินไปถึงหูของทุกคน และจากนั้นก็กระจายไปยังนอกเมืองราวกับลม ไม่ถึงสองวัน ก็เกือบจะรู้เรื่องนี้กันไปทั่วแล้ว
ตอนที่เหวินซื่อรู้เรื่องนี้เข้า เป็นตอนที่เขากำลังคำนวณรายรับเมื่อวานของร้านยาเต๋อเหริน กำลังเตรียมตัวกลับบ้านไปหาเฝิงจิ้งเหวิน ได้ยินเสียงซุบซิบกันของคนไข้ ทำให้เขาที่กำลังจะเดินข้ามธรณีประตูเกือบจะสะดุดล้ม รีบชักเท้าเข้ามา เดินถอยหลังมาหาคนไข้ที่ซุบซิบกันอยู่ ถามเสียงดังด้วยความไม่อยากเชื่อ ว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าใครเป็นปิศาจแปลร่างนะ”
คนไข้ที่กำลังซุบซิบอย่างเมามันตกใจเพราะเสียงของเขา กำลังจะอ้าปากด่าไป แต่เมื่อเห็นชัดว่าเป็นเถ้าแก่เจ้าของร้านขายยา น้ำเสียงจึงได้อ่อนลง พูดว่า “องค์หญิงชิงเหอน่ะสิ”
เหวินซื่อยกตัวขอคนไข้ที่ตอบคำถามขึ้นมา ถามด้วยความดุดันว่า “ใครให้เจ้าพูดพล่อยๆ เช่นนี้ องค์หญิงจะเป็นปิศาจได้อย่างไรกัน”
คนไข้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจะต้องโมโหเช่นนี้ ตกใจจนเหงื่อผุดออกมา พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “คน คน คนบนท้องถนนต่างก็พูดเช่นนี้”
เหวินซื่อรีบปล่อยเขาลง แล้วรีบเดินออกไป
ทิ้งไว้เพียงคนไข้ที่นั่งงงมองแผ่นหลังของเขาเดินจากไป อาการป่วยไข้ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นฉับพลัน
เป็นอย่างนั้นจริงๆ เกือบทุกคนบนท้องถนนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอยู่ พูดเหมือนกับคนไข้คนนั้นไม่มีผิด
เหวินซื่อจึงหันหลังกลับไปยังหน้าร้านยาเต๋อเหริน ไม่เลือกนั่งรถม้า แต่สั่งให้คนรถปล่อยม้าออกมา และขึ้นขี่ทั้งที่ยังไม่ได้ใส่อานม้า ตรงไปยังหนานเฉิงทันที
เมื่อมาถึงก็รีบลงจากม้า ไม่รอให้นายประตูรู้ตัว เขาก็ได้เดินตรงเข้ามายังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที ตะโกนเรียกเสียงดัง “เมิ่งเชี่ยนโยว ข่าวลือด้านนอกนั่นหมายความว่ายังไงกัน”
สิ้นเสียง ตัวคนพูดก็ได้เปิดม่านกั้นประตูเดินเข้าไปด้านใน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวสงบลงมากแล้ว กำลังนั่งเงียบๆอยู่ในห้อง มองหน้ากันและกัน เมื่อเห็นเข้าพรวดเข้ามา จ้องเขาและพูดว่า “อะไรเป็นยังไง”
“ข่าวลือด้านนอกอย่างไรเล่า บอกว่าเจ้าเป็นปิศาจมาสิงร่าง” เหวินซื่อตอบอย่างร้อนรน
“หากข้าบอกว่าเป็นเรื่องจริง เจ้าจะทำอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถามยิ้มๆ
เหวินซื่อยืนขึ้น เดินไปหานาง มองรอบตัวนาง พิจารณานางอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขามองอย่างแปลกๆ “เจ้ามองอะไร”
“ปิศาจมิใช่ว่ามีสามหัวหกแขนหรอกหรือ เหตุใดเจ้าจึงไม่มี” เหวินซื่อถามอย่างสงสัย
“ไปไกลๆ เลยไป๊!” เมิ่งเชี่ยนโยวถีบเขาออกไป แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
จิตใจที่ตึงเครียดของหวงฝู่อี้เซวียนก็ผ่อนคลายลง พูดว่า “นั่นเป็นแผนที่เฮ่อจางจะเอามาใช้จัดการโยวเอ๋อร์ เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
เหวินซื่อนั่งลงบนเก้าอี้ “ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร คนเจ้าเล่ห์อย่างเฮ่อจางมีแผนชั่วร้ายเต็มไปหมด ต่อให้นางไม่เป็นไร แต่หากถูกเขาใส่ร้ายเล่า ไม่ได้ พวกเราต้องคิดหาแผนที่ปลอดภัยกว่านี้”
“เจ้าไม่ต้องสร้างปัญหาเพิ่มก็พอ จะมาคิดแผนอะไรอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวล้อเขาเล่น
เหวินซื่อถลึงตาใส่นาง ตอบว่า “อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงเถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหริน จะคิดหาวิธีไม่ออกได้อย่างไร”
เก็บสีหน้าลง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างจริงจังว่า “นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกข้ากับเฮ่อจาง ไม่เกี่ยวกับเจ้า หากเจ้าไม่มีธุระแล้วก็รีบกลับบ้านไปเสีย อย่าเข้ามายุ่งเลย”
“ใครบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าเรียกเหวินเอ๋อร์ว่าพี่สะใภ้ อย่างนั้นข้าก็เป็นพี่ชายเจ้า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน! รู้หรือไม่เล่า เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าแล้วข้าจะไม่สนได้อย่างไรกัน”
ความอบอุ่นในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มขึ้น แต่กลับไม่หวังให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย จุดจบเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ได้ หากตนถูก… เข้าจริงๆ ก็ขอให้พวกเขาไม่ต้องติดร่างแหไปด้วย แต่เมื่อจะเปิดปากพูด กลับถูกเหวินซื่อตัดบทว่า “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าจะไม่มีทางยืนดูอยู่เฉยๆ แน่ เอาอย่างนี้ ข้าจะรีบกลับไปเขียนจดหมายให้เถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหรินทุกสาขา ให้พวกเขารีบเข้ามาที่เมืองหลวง หากมะรืนเฮ่อจางมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอีก พวกเราก็จัดการเขาก่อนค่อยว่ากัน” พูดจบ คิดว่าความคิดของตนเองใช้ได้ จึงลุกขึ้นยืนเดินออกไปด้านนอก
เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม ขณะเดียวกันก็เตะเก้าอี้ตรงปลายเท้าออกไปขวางไว้ตรงหน้าเหวินซื่อ
เหวินซื่อชะงักฝีเท้าลง หันหลังกลับ มองไปหานาง
“ข้าและอี้เซวียนเตรียมการณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าอย่ามายุ่งเลย ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือรีบกลับบ้านไป ป้องกันไม่ให้คนในจวนลือต่อๆ กัน จะได้ไม่แพร่เข้าหูของพี่สะใภ้ ข้าเป็นห่วงครรภ์นาง” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เหวินซื่อโบกมือ “อย่างนั้นไม่ได้ ข้าไม่วางใจ นอกเสียจากว่าเจ้าจะบอกข้าว่าเตรียมแผนอะไรไว้”
หากไม่บอกเขา เขาคงอาจจะเรียกคนจากร้านยาเต๋อเหรินทั่วรัฐอู่มาก็ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา พูดว่า “พวกเราระดมองครักษ์ลับทั้งหมดเข้าเมืองหลวงแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า พวกเขาจะลงมือเอง”
เหวินซื่อรู้จักฝีมือขององค์รักษ์ลับดี เก่งกว่าคนของเขาตั้งไม่รู้กี่เท่า จึงได้วางใจลง นั่งลง พูดว่า “อย่างนี้ค่อยวางใจได้ สั่งมาสิ ว่าจะให้ข้าทำอะไร”
“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือกลับจวนไปแต่โดยดี อยู่เคียงข้างพี่สะใภ้ ก็พอแล้ว”
เหวินซื่อถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่ต้องการข้าจริงๆ หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“ก็ได้ อย่างนั้นข้ากลับไปเตรียมตัวที่จวน วันพรุ่งข้าจะมาใหม่” เขายืนขึ้น เตรียมจะเดินออกไปด้านนอก แต่กลับหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับมา พูดพร้อมหน้าแดงว่า “เตรียมอานม้าให้ข้าชุดหนึ่งได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ
เหวินซื่อพูดด้วยใบหน้าที่แดงไปถึงหูว่า “หลังจากที่ข้าได้ยินคนไข้พูดถึงเจ้าแล้วนั้น ก็ร้อนใจมาก จึงได้ให้คนม้าคลายม้าออกมาจากรถม้า แล้วก็ขึ้นขี่มาทันที แล้ว…ตอนนี้…”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาเสียงดัง
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนสั่งด้านนอกว่า “ชิงหลวน!”
ไม่มีเสียงตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกได้ว่าหากอี้เซวียนอยู่ด้วย ทั้งสองจะไม่มายืนเฝ้าหน้าประตู จึงได้ยืนขึ้น พูดว่า “ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปจูงม้า”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น “ข้าไปเอง เจ้าพักผ่อนอยู่ในนี้แหละ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปหลังจวนกับเหวินซื่อ จูงม้าออกมาให้เขาหนึ่งตัว และส่งเขาออกจากบ้านไป เมื่อเห็นม้าวิ่งไปไกล จึงได้หันหลังกลับห้องมา
คนที่ได้ยินข่าวคราวในเวลาเดียวกันนั้นยังมีเปาชิงเหอ และก็ตกใจเช่นกัน ครู่ใหญ่จึงจะได้สติกลับมา
เปาอี้ฝาน เหวินเปียว และคนที่ทำงานอยู่นอกเป่ยเฉิงต่างก็ได้ยินข่าวนี้แล้ว ต่างคิดว่าตนฟังผิด โดยเฉพาะคนที่เป่ยเฉิงไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด คนที่เป็นดั่งแม่พระที่มอบโอกาสทำมาหากินแก่พวกเขา เปลี่ยนแปลงการเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างเมิ่งเชี่ยนโยวจะเป็นปิศาจสิงร่างได้อย่างไร
แต่ฉู่เหวินเจี๋ยที่อยู่ในค่ายทหารเพิ่งจะได้ยินข่าวนี้จากพ่อบ้านก็เมื่อกลับถึงจวนตอนมืดค่ำแล้ว ลุงฝูพูดว่า “ข้าได้สั่งให้คนในจวนห้ามวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอีก ป้องกันไม่ให้ฮูหยินรู้เข้า หากเกิดร้อนใจขึ้นจะเป็นอันตรายกับเด็กในครรภ์ได้”