ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวร่วงหล่นลง เหวินหู่เป็นคนที่สุขุมหนักแน่น หากว่าไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นที่บ้าน เขาก็คงไม่ร้องตะโกนด้วยความลนลานได้ขนาดนี้ จึงเดินออกจากห้องทันที มาถึงหน้าประตูเรือนก็เอ่ยปากถาม “มีเรื่องอะไรหรือ”
“นายท่านสี่ถูกคนฆ่าตายแล้วขอรับ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวล้ม ฮวบ ลงไป แล้วยืนขึ้นทันควัน สายตาเผยประกายแห่งความเยือกเย็น เสียงที่แฝงด้วยความโกรธราวกับลมพายุฝนที่พัดโหมกระหน่ำพูดขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เหวินหู่ที่วิ่งมาอย่างเหนื่อยหอบ หายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วพูด “คืนก่อน จู่ๆ มีคนชุดดำกลุ่มใหญ่บุกเข้าโจมตีในบ้าน ระหว่างที่นายท่านสี่กำลังต่อสู้อยู่ก็พลาดพลั้งจนถูกฆ่าตาย พี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกันขอรับ”
“พ่อแม่ข้าล่ะ พวกพี่ชายใหญ่ล่ะ เป็นอะไรหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างร้อนรน
เหวินหู่ส่ายหน้า “เวลานั้นข้า เหวินเป้า และคุณชายใหญ่คุ้มกันอยู่ข้างกายนายท่านกับฮูหยิน พวกเขามิได้เป็นอะไรขอรับ มีเพียงนายท่านสี่ที่ไม่ฟังการห้ามปรามของพวกเรา ดึงดันจะไปต้านพวกคนชุดดำด้วยกันกับเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยให้ได้ ถึง…”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกับทุกคนที่วิ่งมาหลังจากได้ยินเสียงในทันใด “เหวินเป้า เจ้าไปจัดแจงรถม้า พวกเราต้องออกเดินทางกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“กัวเฟย รีบไปเหลาจวี้เสียน เรียกระดมองครักษ์ลับห้าสิบนายตามข้ากลับบ้าน”
“เหวินหู่ เจ้าวิ่งเต้นมาติดกันหลายวัน คงเหนื่อยแล้ว เก็บแรงไว้เสียบ้าง แล้วถือโอกาสดูแลจวนให้ดี”
ทุกคนรับคำ แล้วพากันหันกายออกไปตามหน้าที่
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับเข้าในห้อง คว้ากริชมาสองเล่มสอดไว้ที่กาย แล้วร้องเรียกชิงหลวนให้เข้าไป สั่งนางให้นำยาเม็ดที่ปรุงเตรียมไว้อยู่ทุกวันทั้งหมดออกมาห่อให้เรียบร้อย แล้วพกติดตัวไว้ให้ดี แล้วหยิบพระราชโองการมา จัดวางอย่างดีแล้ว ทั้งสองคนก็ออกจากห้อง สาวเท้าไปยังประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว
จูหลีตามอยู่ด้านหลัง พูดด้วยเสียงเบา “นายหญิง ท่านควรจะส่งข่าวนี้ให้แก่ซื่อจื่อหรือไม่เจ้าคะ”
ขาของเมิ่เงชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อ “ไม่ต้อง เขาเพิ่งจะออกไปเมื่อวาน ได้ข่าวนี้จะทำให้ไม่มีสมาธิเอาได้ พวกมันฝรั่งนั่นเป็นรากสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตประชาชนเมืองหลินเฉิง จะสะเพร่าไม่ได้เป็นอันขาด”
มาถึงนอกประตูใหญ่ เหวินเปียวได้นำทุกคนขึ้นประจำบนรถม้ารออยู่แล้ว เหวินหู่ก็ต้องการกลับไป แต่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ แล้วกำชับเหวินหู่อีกรอบว่าหลังจากที่พวกนางออกเดินทางไปให้ปิดประตูแน่น ไม่ต้อนรับแขกใดๆ
เหวินหู่พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง แสดงออกว่าได้จำคำไว้แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้ตรงออกไปทางนอกเมืองทันที
รถม้าสิบกว่าคันออกจากประตูเมือง กัวเฟยที่นำองครักษ์ลับห้าสิบนายมาได้รอคอยอยู่นอกเมืองแล้ว
ทุกคนขึ้นบนรถม้า มุ่งไปยังตำบลชิงซี
ตลอดทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านไปสองวันก็มาถึงบ้าน
มองจากที่ไกลๆ หน้าประตูมีธงขาวโบกสะบัด ผู้คนมาเคารพศพกันอย่างไม่ขาดสาย
รอให้เข้าใกล้อีกหน่อย เสียงร่ำไห้ที่ดังสะท้านฟ้าจากด้านในห้องก็ดังออกมา
คนที่รับผิดชอบต้อนรับแขกที่มาคำนับศพอยู่นอกห้องเห็นกลุ่มม้าใกล้เข้ามาก็รีบออกไปต้อนรับทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินก้าวยาวมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน
ส่วนพวกคนอื่นที่ตามนางเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู
คอของเมิ่งชิงส่งเสียงร้องไห้จนแหบแห้งแล้ว ครั้นเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ลุกขึ้นอย่างโซเซ แล้วถลาเข้ามาที่อ้อมอกนางด้วยน้ำตานองหน้า เรียกร้องด้วยเสียงแหบ “พี่โยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะของเขา เม้มริมฝีปาก จูงมือเขามายังหน้าโถงเซ่นไหว้
เสียงร้องภายในห้องดังยิ่งขึ้น
สะใภ้ทั้งสามของตระกูลเมิ่ง ซุนเชี่ยน หวังเยียน และอิงจื่อต่างร้องไห้จนดวงตาทั้งคู่บวมแดงและเสียงแหบแห้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวแหวกผ้าปิดหน้าศพของเมิ่งเสียวเถี่ยออก ใบหน้าที่สงบนิ่งของเมิ่งเสียวเถี่ยปรากฏอยู่เบื้องหน้า บนหน้าของเขาคล้ายกับว่ายังมีรอยยิ้มน้อยๆ
น้ำตาของเมิ่งเชี่ยนโยวไหลออกมา เม้มริมฝีปาก ปิดผ้าให้เขาดังเดิมด้วยสองมือที่สั่นเทา แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าดวงวิญญาณ โป๊กๆๆ เสียงกระแทกศีรษะคำนับดังขึ้นสามครั้ง แล้วพูดเสียงดัง “น้าสี่ ขอให้จากไปด้วยดีนะเจ้าคะ แค้นนี้ข้าต้องชำระให้ท่านอย่างแน่นอน”
เสียงร้องไห้ที่อดกลั้นไม่ไหวของเหล่าเมิ่งซื่อดังออกมาจากในห้อง ความเจ็บปวดของคนผมขาวที่ต้องส่งคนผมดำทำให้นางทุกข์ทรมานจนจะเป็นลมหมดสติไป ในชั่วขณะนั้นเมิ่งจงจวี่ก็แก่ลงไปมาก ผมดำบนศีรษะเกือบจะเปลี่ยนเป็นเส้นสีเงินทั้งหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน สวมใส่ชุดไว้ทุกข์ คาดสายรัดเอว และคุกเข่าต่อหน้าดวงวิญญาณ
ตระกูลเมิ่งตอนนี้เป็นครอบครัวร่ำรวยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เมิ่งเชี่ยนโยวยังได้รับศักดิ์เป็นองค์หญิงอีก คนร่วมพิธีงานศพมากันอย่างไม่ขาดสาย มีทั้งคนที่อยู่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง สุภาพชนจากแต่ละแห่ง คนที่ตระกูลเมิ่งทำการค้าขายไปมาหาสู่ด้วย สุดท้ายแม้แต่เจ้าเมืองและนายอำเภอก็มาด้วยตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวคุกเข่าอยู่ตรงหน้าดวงวิญญาณตลอด ไม่ได้ขยับจนกระทั่งฟ้ามืด
วันที่สองคือวันที่ฝังศพของเมิ่งเสียวเถี่ย โลงศพถูกปิดผนึกลงท่ามกลางเสียงร้องไห้ที่เจ็บปวดของผู้คน
ในที่สุดเหล่าเมิ่งซื่อก็ทนไม่ไหว และเป็นลมไป โชคดีที่หัวหน้าตระกูลเมิ่งรู้ก่อนล่วงหน้า จึงได้เชิญหมอมาประจำอยู่ที่บ้านก่อนแล้ว ถึงเลี่ยงไม่ให้ทุกคนอลหม่านวุ่นวายได้
จากนั้น เมิ่งต้าจิน เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งซานถง เมิ่งเหรินอยู่ด้านหน้า พี่น้องเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้สองคนที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดอยู่ด้านหลัง ทั้งแปดคนเดินขบวนส่งศพด้านนอกด้วยตัวเอง เมิ่งชิงโบกธง เมิ่งเจี๋ยถือโกศบรรจุอัฐิ ทุกคนเดินแบกเมิ่งเสียวเถี่ยไปยังสุสานของตระกูลเมิ่งทีละก้าว ด้านหลังตามด้วยคนที่มาร่วมพิธี
ขบวนส่งศพอันใหญ่โตเรียงแถวยาวเกือบลี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่หมู่บ้านหวงจวงแต่เดิม เหล่าสุภาพชนหรือเศรษฐีในตำบลชิงซีก็ไม่มีแถวที่มโหฬารได้ขนาดนี้ เมิ่งจงจวี่ปวดใจและทุกข์เศร้าในเวลาเดียวกัน แต่ก็รู้สึกยินดีแทนลูกชายตัวเองที่มีคนมาส่งบั้นปลายชีวิตเขามากมายถึงเพียงนี้ ชีวิตนี้ของเขาก็ถือว่าคุ้มแล้ว
งานศพที่ใหญ่โตทำเอาวุ่นวายตลอดทั้งวันถึงจะสิ้นสุดลง คนในหมู่บ้านแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไป แต่พวกสุภาพชนกลับมาทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ขาดสาย หวังจะได้คุ้นหน้าค่าตาบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าตอบรับให้แต่ละคน
สุดท้ายเหลือแต่เพียงเจ้าเมืองและนายอำเภอที่ตัวสั่นเทาเข้ามาหา
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เพียงแต่เป็นองค์หญิงชิงเหอ ยังเป็นว่าที่ชายาของซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี แต่นึกไม่ถึงว่าครอบครัวของนางจะถูกคนชุดดำล้อมสังหาร นับแต่วินาทีที่ได้รับข่าวนี้แล้ว จิตใจของเจ้าเมืองก็ไม่เป็นอันสงบอีกเลย
ส่วนนายอำเภอเป็นผู้ที่เพิ่งจะรับตำแหน่งใหม่ จุดจบของนายอำเภอคนก่อนก็ย่อมได้ยินมาแล้ว กลัวแต่เพียงเมิ่งเชี่ยนโยวจะโยนความผิดมาโทษเขา ในเวลานี้จิตใจก็กระวนกระวายแทบแย่เช่นกัน
ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากทักทายนางแล้ว ก็รอคำพูดที่ตามมาของนางอย่างกระสับกระส่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากขึ้น พร้อมกับเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อย “ขอบพระคุณทั้งสองท่านที่สละเวลาจากธุระมากมายของท่านเพื่อมาส่งศพน้าสี่ของข้า ความปรารถนาดีของพวกท่าน เชี่ยนโยวจะไม่ลืมตราบชั่วชีวิตเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนสะดุ้งตกใจ นายอำเภอรีบพูดด้วยเสียงที่นอบน้อม “องค์หญิงชิงเหอเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนชั่วช้าสามานย์มากระทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างโจ่งแจ้งในขอบเขตที่ข้าดูแลอยู่ เป็นเพราะข้าน้อยละเลยในหน้าที่ ข้าน้อยจะจับตัวพวกคนชั่วมาให้ได้ด้วยแรงกายและแรงใจทั้งหมดขอรับ”
เจ้าเมืองก็คล้อยตามด้วย
ใครคือคนที่ส่งพวกคนชุดดำมา เมิ่งเชี่ยนโยวรู้อยู่ในใจดีอยู่แล้ว แต่ไม่อาจบอกตรงๆ ได้ จึงได้แต่เพียงพูดอย่างเกรงใจ “ขอบพระคุณท่านทั้งสองเจ้าค่ะ”
ฟังน้ำเสียงของนางที่ไม่มีเจตนาว่าจะกล่าวโทษใดๆ นายอำเภอและเจ้าเมืองก็โล่งอกพร้อมกัน และหลังจากรับปากอีกครั้งหนึ่งว่าจะตรวจสอบให้แน่ชัดอย่างถึงที่สุดว่าเป็นผู้ใดกระทำ ถึงจะบอกลากลับไป
ยุ่งวุ่นวายหลายวัน ร้องไห้หลายวัน ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจนสภาพอิดโรย หลังจากส่งทุกคนแล้ว ต่างนั่งบนเก้าอี้ในห้องอย่างทื่อๆ ไม่มีใครพูดอะไร
ดวงตาของเมิ่งชิงบวมแดง เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ในน้ำเสียงมีความทุกข์โศกยิ่ง “พี่โยวเอ๋อร์ ต่อจากนี้ข้าก็เป็นเด็กที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้ว” พูดจบ น้ำตาก็พรั่งพรูอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ติดตัวออกมา แล้วช่วยเขาเช็ดน้ำตา เห็นดวงตาที่บวมแดงของเขา ก็พูดทีละคำ “ชิงเอ๋อร์ วางใจนะ พี่โยวเอ๋อร์จะไม่ทำให้พ่อของเจ้าต้องตายอย่างสูญเปล่า แค้นนี้พี่จะเอาคืนกลับมาแทนเขาเอง ในที่นี่ยังมีพวกเราทุกคน พวกเราจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”
เมิ่งชิงพยักหน้าพร้อมสะอึกสะอื้น
เมิ่งซื่อเดินเข้ามากอดเมิ่งชิงไว้ในอ้อมอก พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ชิงเอ๋อร์ วางใจเถิดนะ แม้ว่าเจ้าจะไม่มีพ่อแล้ว ก็ยังมีป้ารอง ต่อจากนี้ป้ารองจะยิ่งรักและเอ็นดูเจ้า”
น้ำตาของเมิ่งชิงไหลออกมาอีกครั้ง
ครอบครัวของเมิ่งต้าจินและเมิ่งซานถงเดินเข้ามากอดเมิ่งชิงไว้ในอ้อมอกเช่นกัน
เมิ่งจงจวี่เอ่ยปาก “เถี่ยเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว หลังจากนี้ชิงเอ๋อร์ก็มาอยู่กับตาแก่อย่างพวกเราสองคนเถิด ต่อไปพวกเจ้าก็ไปทำหน้าที่ต่างๆ ของตัวเองเสีย ไม่ต้องเป็นห่วงเขา”
เมิ่งเอ้ออิ๋นส่ายหน้า “ท่านพ่อ น้องสี่ตายก็เพื่อปกป้องพวกเรา จะให้ท่านเลี้ยงดูชิงเอ๋อร์ได้อย่างไรขอรับ อยู่ที่บ้านของพวกเราเถิด ให้ข้าและแม่นางเสียนเอ๋อร์ดูแลเถิดขอรับ”
เมิ่งซื่อผงกศีรษะคล้อยตาม
หลายปีมานี้เมิ่งเสียวเถี่ยอาศัยอยู่ในบ้านของเมิ่งเอ้ออิ๋นมาโดยตลอด มีเมิ่งเอ้ออิ๋นและฮูหยินสองคนดูแล พร้อมถือโอกาสรับหน้าที่เฝ้าดูแลบ้าน ครั้งนี้แม้ว่าจะเพื่อปกป้องครอบครัวของเมิ่งเอ้ออิ๋นจนตัวตาย แต่ไม่อาจโทษว่าสาเหตุการตายของเขามาจากครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋น จึงยิ่งไม่อาจให้พวกเขารับภาระหน้าที่ดูแลเมิ่งชิง เมิ่งจงจวี่สายศีรษะ “แม้ว่าข้ากับแม่เจ้าอายุมากแล้ว แต่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูสั่งสอนชิงเอ๋อร์ได้ ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้าหรอก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อไม่ยอม คู่ชราเมิ่งจงจวี่อายุมากแล้ว เพิ่งผ่านเรื่องเมิ่งเสียวเถี่ยไป กำลังวังชาของทั้งสองคนแย่ลงมากอย่างเห็นได้ชัด แล้วจะให้พวกเขาต้องเสียแรงดูแลเมิ่งชิงอีกได้อย่างไร
แต่ละคนดึงดันไม่ยอมกัน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเอ่ยปาก “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ พวกท่านอย่าได้ทะเลาะกันเลย ให้ชิงเอ๋อร์อยู่บ้านพวกเราชั่วคราวก่อนเถิด รอให้ข้ากับอี้เซวียนแต่งงานแล้ว ก็จะมารับเขากับเจี๋ยเอ๋อร์ไปที่เมืองหลวงเพื่อเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนเจ้าค่ะ”
กั๋วจื่อเจี้ยนนั่นคือที่ใดกัน คือสถาบันอบรมเลี้ยงดูคนในเครือญาติของเชื้อพระวงศ์ เป็นที่ที่ลูกหลานของขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงได้เข้าเรียน บรรดาอาจารย์ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางศาสตร์แขนงใดล้วนแต่คือผู้ที่หาตัวจับยาก เก่งกาจชั้นหนึ่ง สถานที่เช่นนั้นเป็นที่ที่คนบ้านนอกอย่างพวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าคิด บัดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวพูดคำนี้ออกมา นอกเหนือจากความรู้สึกตื่นเต้นแล้ว เมิ่งจงจวี่ยังมีความกังวลใจเล็กน้อย “นี่จะเป็นการเหมาะสมหรือ ถ้าหากเจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ทำให้เจ้าขายหน้าจะทำอย่างไร”
ก็ไม่โทษเมิ่งจงจวี่ที่จะคิดเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นซิ่วไฉ[1]ที่มีชื่อเสียงในละแวกหมู่บ้านนี้อยู่บ้าง แต่ชีวิตนี้ของเขา สถานที่ที่ไปไกลที่สุดก็คือเมืองศูนย์กลางของมณฑล หนำซ้ำยังเป็นตอนที่สอบซิ่วไฉเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น คนที่ได้ฟังแต่เพียงคำจากปากคนอื่น ไม่เคยได้ไปเมืองหลวงสักหนเดียว จึงเกิดความรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาอย่างชอบกล
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความคิดภายในใจของเขา จึงพูดว่า “ท่านปู่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ลูกหลานตระกูลเมิ่งของพวกเราไปที่ใดล้วนแต่เป็นแบบอย่างที่ดี จะไม่ทำให้คนในตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่เจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ทำเอาเลือดร้อนของเมิ่งจงจวี่พลุกพล่านขึ้น ใช่แล้ว บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อยเป็นครั้งแรกหลังจากที่หลายวันมานี้ไม่ได้ปรากฏออกมา มือลูบหนวดที่คางของตัวเอง พยักหน้าพูด “พูดได้ดี ลูกหลานตระกูลเมิ่งของพวกเรานับวันยิ่งเก่งกาจขึ้นจริงๆ ปู่จะรอคอยวันที่พวกเจ้านำเกียรติมาให้แก่คนในตระกูลนะ”
จิตใจโศกเศร้าของทุกคนในตระกูลทุเลาลงไม่น้อยเนื่องจากข่าวดีนี้
เมื่อส่งทุกคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัย สั่งชิงหลวนให้นำยาที่พกมาแจกจ่ายให้แก่คนต่างๆ คนที่ควรกินยาก็มอบประเภทยากินให้ ส่วนคนที่ควรได้รับยาสำหรับใช้ทาภายนอกก็มอบยาทาภายนอกให้ ครั้นเสร็จแล้ว ก็ไปหาเมิ่งเสียน เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาเป็นไป
เมิ่งเสียนบอกนางอย่างละเอียด สุดท้ายพูดว่า “วิชายุทธ์ของคนพวกนั้นแกร่งกล้ายิ่ง หากพวกเขาลงมืออย่างเต็มกำลัง เกรงว่าคนของครอบครัวพวกเราอาจจะไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว แต่หลังจากสังหารน้าสี่ตายแล้ว พวกเขาก็ถอนตัวออกไปทันที กลับไม่มีเจตนาฆ่าล้างอย่างโหดเ**้ยม”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ในใจคาดเดาได้อย่างลับๆ ที่คนพวกนี้ลงมือกับครอบครัวตัวเอง และไม่ได้ฆ่าล้างทุกคน อาจเพียงเพื่อต้องการล่อให้ตนกลับมา ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ตัวเองก็ไม่อาจอยู่ที่บ้านได้นานและเพื่อเลี่ยงไม่ให้คนที่บ้านได้รับความสูญเสียไปมากกว่านี้
คิดมาถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดโกหกเมิ่งเสียน “พี่ชายใหญ่ มันฝรั่งที่เมืองหลินเฉิงประสบปัญหา อี้เซวียนได้พาคนไปแล้ว แต่ข้ากลัวว่าเขาจะแก้ปัญหาไม่ได้ รอให้ครบเจ็ดวันที่น้าสี่ตาย ข้าจะต้องรีบเร่งไปหา ดังนั้นเรื่องต่างๆ ในบ้านต้องมอบให้ท่านแล้ว นอกจากพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัย ตอนที่ข้ามาก็ได้พาองครักษ์ลับห้าสิบนายมาด้วย ข้าทิ้งไว้ให้พี่สี่สิบนาย ดูแลบ้านให้ดีล่ะ จะให้เกิดเหตุอะไรขึ้นอีกไม่ได้นะเจ้าคะ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายเดือนที่ไม่ได้พบลูกสาวแล้ว เมิ่งซื่อมีหลายสิ่งที่อยากจะถามนาง อย่างแรกคือถามไถ่เรื่องงานแต่งของนางกับอี้เซวียน จากนั้นก็ถามนางถึงเรื่องหลายวันก่อนที่มีข่าวว่านางเป็นปิศาจร้ายที่สิงร่างนั่น ว่าตกลงแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกสาเหตุความเป็นไปของเรื่องโดยพูดอย่างเลี่ยงๆ จากหนักเป็นเบา
เมื่อได้ยินว่าหลิวลี่เป็นผู้ก่อเรื่องวุ่นวาย เมิ่งซื่อก็เดือดดาลยิ่ง “นังหลิวลี่คนนี้ พวกเรากับนางมิได้มีความแค้นบาดหมางต่อกัน นึกไม่ถึงว่านางจะใส่ร้ายเจ้าเช่นนี้ นางต้องไม่ได้ตายดีแน่”
จุดจบของหลิวลี่หวงฝู่อี้เซวียนได้ส่งคนไปสืบแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีจุดจบที่ดี แม้แต่ศพและกระดูกก็ถูกหมาป่าที่หิวโหยแทะกินจนสิ้น แต่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้แก่เมิ่งซื่อ อย่างไรก็ตาม นางยังเป็นคนบ้านนอก แม้ว่าจะเกลียดชังหลิวลี่สักเพียงใด ถ้ารู้ว่านางมีจุดจบเช่นนี้ ในใจก็คงรับได้ยากเป็นแน่ ยิ่งถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปอีก จนแม่ของหลิวลี่รู้เข้า เกรงว่าเรื่องวุ่นวายจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จึงไม่บอกดีที่สุด
[1] ซิ่วไฉ เป็นหนึ่งในคุณวุฒิของการสอบเข้ารับราชการของจีนที่เรียกว่า “เคอจวี่” ซึ่งประกอบด้วยการสอบทั้งหมดสามรอบ รอบที่หนึ่ง เป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น ผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะได้คุณวุฒิระดับเรียกว่า “ซิ่วไฉ” โดยจัดสอบทุกปี ปีละครั้ง รอบที่สอง เป็นการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค เงื่อนไขคือ ผู้เข้าสอบจะต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน ผู้สอบผ่านขั้นนี้จะได้คุณวุฒิ “จวี่เหริน” โดยจะจัดสอบทุกสามปี ส่วนรอบที่สาม เป็นการสอบรอบสุดท้าย ผู้สอบผ่านรอบนี้จะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการ ผู้เข้าสอบทุกคน จะถูกเรียกว่า “ก่งเซิ่ง” ซึ่งก่งเซิ่งทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าสอบรอบสุดท้ายในพระราชวัง และผู้สอบผ่าน จะได้คุณวุฒิที่เรียกว่า “จิ้นซื่อ”