ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 230 ฝ่าบาททรงพิโรธ

 
 
การเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตเช่นนี้ ทำให้คนในกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองตื่นตกใจ เมื่อเฮ่อจู้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการคนใหม่ของกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองควบม้ามาถึง ประตูใหญ่จวนเฮ่อก็ได้ล้มพังอยู่บนพื้น สีหน้าของอ๋องฉีเคร่งขรึมยืนอยู่ด้านนอกประตูจวน และภายในจวน แม้ว่าจะมีคนนับไม่ถ้วนเป็นเงาดำมืดๆ ยืนอยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งออกตามลมที่พัดออกมาเป็นระลอก ลอยเข้าจมูกของเฮ่อจู้ และเข้าจมูกของทหารที่อยู่ด้านหลัง
 
 
เฮ่อจู้เป็นเครือญาติของเฮ่อจาง หลังจากที่ผู้บัญชาการโต้วต้องโทษไปเฝ้าประตูเมืองแล้ว เฮ่อจางก็ใช้อำนาจของตำแหน่งตัวเองแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการให้แก่เขา
 
 
เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้เมตตาของอ๋องฉี และได้กลิ่นคาวเลือดพัดเข้ามาที่ปลายจมูก เฮ่อจู้ก็รู้ว่าจวนเฮ่อน่าจะมีคนตายไม่น้อย แต่เขานึกไม่ถึงว่าอ๋องฉีจะฆ่าทุกคนที่อยู่ภายในจวนตายหมด ทว่า เขายังอยากจะพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่อย่างเฮ่อจางนี้ในคราที่เขาได้กลับมาผงาดขึ้นอีกครั้ง ตัวเองก็จะได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นอีก มือจึงชี้ไปที่อ๋องฉีและแผดร้องว่า “ช่างบังอาจนัก ใต้ผืนดินแห่งองค์ฝ่าบาทกลับกล้าฆ่าคนโดยตามใจชอบ จงยอมให้จับกุมแต่โดยเร็วเสีย แล้วข้าจะรายงานต่อฝ่าบาทให้เหลือศพเจ้าอย่างสมบูรณ์”
 
 
ถ้าหากว่าเขาตวาดใส่คนอื่น ทุกคนคงจะออกปากชื่นชมเขา จะบอกว่าเขาเกิดมาเป็นคนกล้าหาญแต่โง่เขลา ราวกับลูกวัวที่ไม่รู้จักเสือก็ได้ ต่อหน้านั้นเป็นผู้ใดกัน อ๋องฉี! พี่น้องท้องเดียวกับฮ่องเต้ เป็นบุตรแท้ๆ ของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นอ๋องที่มีสายเลือดเชื้อพระวงศ์แท้จริงเพียงคนเดียวแห่งรัฐอู่ เขาไม่เพียงแต่ไม่ลงจากม้ามาแสดงความเคารพ และยังนั่งอยู่บนม้ากล่าววาจาบ้าบิ่นออกมา นั่นก็คือโง่เขลาแล้ว แม้ว่าทหารที่อยู่ด้านหลังเขาเหล่านี้จะเงยหน้ามองแผ่นหลังเขาด้วยความสงสารหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ แต่ต่างก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวอย่างเงียบๆ โดยมิได้นัดหมาย เพื่อห่างจากเขาไกลเสียหน่อย จะได้ไม่ให้ความโชคร้ายของเขาที่จะเกิดขึ้นในอีกประเดี๋ยวพลอยมาโดนตัวเองด้วย
 
 
และแล้ว อ๋องฉีก็หรี่ตาลง ประเมินเฮ่อจู้ด้วยสายตา เดินออกมาอย่างไม่เร่งรีบ
 
 
เฮ่อจู้ไม่ใช่ไม่รู้จักอ๋องฉี แต่เป็นเพราะเดิมทีเขาเป็นเครือญาติของเฮ่อจาง เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ได้เพราะพึ่งพิงเฮ่อจาง จึงย่อมเป็นขั้วปรปักษ์ของอ๋องฉี เมื่อเห็นอ๋องฉีออกมา ก็ยังคงร้องเอะอะอย่างบ้าคลั่ง “จงยอมให้จับกุมแต่โดยเร็ว แล้วจะไว้ชีวิตเจ้าให้ไม่…”
 
 
พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกอ๋องฉีแทรกด้วยเสียงที่เ**้ยมโหด “ลากลงมา!”
 
 
องครักษ์ลับสองคนกระโดดออกมาจากด้านหลังของอ๋องฉี ตอนที่เฮ่อจู้ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ทั้งคู่ก็กระโดดมาถึงหน้าเขา คนหนึ่งฉุดแขนข้างหนึ่งของเขา แล้วโยนมาตรงหน้าของอ๋องฉีอย่างรุนแรง
 
 
เฮ่อจู้ก็มีวิชาการต่อสู้อยู่บ้าง มิฉะนั้นเฮ่อจางก็ไม่คงไม่สามารถดันเขาให้ไปถึงตำแหน่งผู้บัญชาการได้ แต่วิทยายุทธ์แค่เพียงเล็กน้อยของเขานั่นก็ไม่ได้ผลต่อหน้าองครักษ์ลับพวกนี้อยู่แล้ว เวลานี้ถูกโยนล้มลงจนมึนหัวตาพร่า หน้าแดงจมูกเขียว นัยน์ตาวิบวับเป็นประกายดาว เคลื่อนไหวไม่ได้
 
 
เสียงพูดของอ๋องฉีที่เยือกเย็นดังขึ้นจากหัวของเขา “ความกล้าของเจ้าได้มาแต่ผู้ใดกัน บังอาจพูดกับข้าเช่นนี้ได้”
 
 
ก็ไม่รู้ว่าเฮ้อจู้ล้มจนสับสนงงงวย หรือว่ามีกล้ามเนื้อน้อยแต่กำเนิด หรือว่าอยากจะบอกกับคนในจวนที่เข้าใจว่ายังมีคนฟังอยู่ ขณะที่คลานบนพื้น ก็พูดเสียงดังอย่างไม่คาดคิด “เจ้ารู้กฏแต่ละเมิดกฏ ดูแคลนชีวิตคนดั่งใบไม้ใบหญ้า ผู้บัญชาการอย่างข้าปฏิบัติตามกฎหมายอย่างชอบธรรม เจ้ายังกล้าเอาสถานะมากดขี่ผู้อื่น ตัวข้าไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของเจ้า…”
 
 
พูดยังไม่จบ อ๋องฉีก็เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบที่ศีรษะของเขา
 
 
หน้าของเฮ่อจู้เบียดแนบไปกับพื้นแน่น
 
 
จมูก ปากล้วนถูกกดไว้ด้านล่างทำให้หายใจไม่ออก ร่างของเฮ่อจู้ดิ้นรนสุดแรง สองเท้าสะบัดไม่หยุด สองมือยกสูงขึ้นเหนือศีรษะ กวัดแกว่งกันว่อน ราวกับอยากจะจับเท้าของอ๋องฉีเอาไว้
 
 
เท้าของอ๋องฉียิ่งออกแรงหนักขึ้น การเคลื่อนไหวของเฮ่อจู้ก็ยิ่งดิ้นรนอย่างบ้าระห่ำมากขึ้น
 
 
เหล่าทหารกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองที่ตามเขามาหลายปีแล้ว เพิ่งจะเห็นอ๋องฉีมีท่าทีที่ดุร้ายเช่นนี้ครั้งแรก ในใจก็รู้สึกครั่นคร้าม แล้วถอยออกไปหลายก้าวอีกครั้งโดยพร้อมเพรียง
 
 
เฮ่อจู้ดิ้นไม่หยุด และยังเปล่งเสียงร้องอู้อี้ ออกมา
 
 
อ๋องฉีราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น เท้าก็ยิ่งออกแรงหนักขึ้น ผ่านไปสักพัก ท่าทางที่ดิ้นรนของเฮ่อจู้อ่อนลงอย่างช้าๆ จนไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก สุดท้ายร่างกายแน่นิ่ง และสิ้นลมหายใจในที่สุด
 
 
ใบหน้าไร้อารมณ์ที่มองร่างของเฮ่อจู้ค่อยๆ แข็งทื่อแล้ว อ๋องฉีถึงจะปล่อยเท้า แล้วกวาดตามองเหล่าทหารอย่างไม่ใส่ใจ
 
 
อากาศได้เข้าสู่เดือนหกแล้ว แต่พวกทหารกลับรู้สึกว่ามีความหนาวเป็นระลอกพัดผ่านบนกาย และทำให้แต่ละคนหนาวสั่นพร้อมกัน
 
 
“มีใครอยากจะคิดบัญชีกับข้าก็เดินออกมา” เสียงของอ๋องฉีไม่ดัง แต่ก็พอให้พวกทหารได้ยินอย่างชัดเจน พากันส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ แล้วก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าวพร้อมๆ กัน
 
 
“ลากทุกคนออกมา แล้วประจานศพเป็นเวลาสามวัน ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าใกล้” อ๋องฉีสั่งกับองครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลัง น้ำเสียงสงบ ไม่มีความหวั่นไหวใดๆ
 
 
พวกองครักษ์ลับรับคำ หันหลังกลับไปในจวน ยกศพทีละศพออกมา วางไว้ประตูจวนเป็นแถวเรียงยาวกันทั้งหมด
 
 
เหล่าทหารกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองมองศพที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตกใจจนขาสั่น อยากจะถอยหลังกลับไม่กล้า อยากจะเข้าไปช่วยเหลือ ก็ไม่กล้า ขาทั้งสองคู่ที่สั่นเทา ได้แต่ยืนอยู่ที่ไกลๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
 
 
ทั้งตระกูลเฮ่อ คนใช้ ข้าทาสบริวาร ทหารรักษาการณ์ในจวน องค์รักษ์ลับทั้งหมดสี่ร้อยแปดสิบคน ไม่มีปล่อยไว้แม้แต่คนเดียว ทั้งหมดล้วนถูกอ๋องฉีสั่งฆ่าให้ตาย ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่กระจายออกไปทั่วเมืองหลวง แพร่ไปถึงหูของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อย แพร่ไปถึงฮองเฮาในพระราชวัง และไปถึงห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้
 
 
ได้ยินขันทีประจำตัวรายงานอย่างระมัดระวัง ฮ่องเต้ที่กำลังอ่านเอกสารราชการอยู่นั้น ก็เขวี้ยงเอกสารราชการลงพื้นอย่างแรง โกรธจนตัวสั่น และพูดด้วยเสียงสั่น “บังอาจ อยู่ในใต้ตอบเขตของข้าแล้วยังทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ได้ ในสายตาของเขายังมีข้าผู้เป็นฮ่องเต้นี้อยู่อีกหรือไม่”
 
 
ไม่มีคนพูด คนทุกคนล้วนคุกเข่าบนพื้นอย่างสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมา
 
 
“สั่งให้เจ้าระยำนี่เข้ามาพบข้าที่พระราชวังเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้พูดด้วยเสียงดาลเดือด
 
 
ขันทีผู้ดูแลรับคำ คลานออกจากห้องทรงพระอักษรแล้วถึงจะลุกขึ้นยืน ซับเหงื่อบนหน้าผาก วิ่งออกไปถ่ายทอดกระแสรับสั่งอย่างรีบร้อน
 
 
ได้ยินคำของกูกูผู้ดูแลแล้ว ฮองเฮารู้สึกแต่เพียงเบื้องหน้าที่มืดทะมึนขึ้น เจ้าจิ้งเอ๋อร์คนนี้ สำแดงความบ้าอะไรกัน นึกไม่ถึงว่าจะฆ่าล้างทั้งจวนของเฮ่อจางอย่างบังอาจโจ่งแจ้งเช่นนี้ ถ้าหากฮ่องเต้ลงโทษเขา ชีวิตนี้ของเขาก็ยากที่จะรักษาไว้เสียแล้วสิ คิดถึงตรงนี้ ก็รีบสั่งกูกูผู้ดูแล “เร็ว สั่งคนไปสืบสาวว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ที่ทำให้เขาทำเรื่องบ้าคลั่งได้เช่นนี้”
 
 
ขันทีที่ถ่ายทอดกระแสรับสั่งมาถึงประตูจวนเฮ่อ องครักษ์ลับยังคงยกศพออกมาด้านนอก
 
 
เห็นคนตายที่นอนเรียงแถวอยู่บนพื้น และมองไม่เห็นหัวแถว ในใจของขันทีผู้ถ่ายทอดกระแสรับสั่งก็สั่นเทิ้ม ตัวสั่นระริกเดินมาตรงหน้าอ๋องฉี โค้งตัวลง พูดด้วยความพินอบพิเทา “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านรีบเข้าพระราชวังเดี๋ยวนี้ขอรับ”
 
 
อ๋องฉีคาดเดาได้อยู่แล้ว จึงผ่านขันทีผู้ถ่ายทอดกระแสรับสั่งไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เดินไปยังหน้าม้าที่เฮ่อจู้เพิ่งจะขี่มา กระโดดตัวขึ้นบนม้า แล้วขี่ไปยังพระราชวัง
 
 
ขันทีผู้ถ่ายทอดกระแสรับสั่งเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เดินกลับไปอย่างเร่งรีบ
 
 
ในเวลาปกติประตูพระราชวังได้ลงกลอนแล้ว แต่วันนี้ได้รับพระบัญชาของฮ่องเต้ ประตูพระราชวังยังคงเปิดออก อ๋องฉีมาถึงหน้าประตูพระราชวัง ลงจากม้า ทิ้งบังเ**้ยน และเดินมุ่งเข้าไปที่ห้องทรงพระอักษร
 
 
มีเพียงทหารอวี้หลินที่เฝ้าประตูพระราชวังกุลีกุจอมาเก็บบังเ**ยนอยู่ด้านหลัง
 
 
ตรงมาถึงหน้าประตูห้องทรงพระอักษร ไม่ต้องรอให้ขันทีป่าวร้องรายงาน ก็เดินเข้าไป ยังไม่ทันยืนนิ่งดี ก็มีเอกสารราชการเล่มหนึ่งลอยมาทางเขา ตามมาด้วยเสียงตวาดด่าอย่างโกรธเคืองของฮ่องเต้ “เจ้าคนระยำ ทำเรื่องวินาศใหญ่หลวงเช่นนี้ วันรุ่งพวกคนเฒ่าหัวรั้นในสำนักวินิจฉัยเหล่านั้นจะต้องทำให้เราจมในกองน้ำลายให้ได้เป็นแน่”
 
 
อ๋องฉีไม่หลบไม่หลีก ปล่อยให้เอกสารราชการกระแทกเข้าร่างของตัวเอง พอตกลงพื้น ก็พูดด้วยเสียงที่ใจเย็นว่า “พวกคนเฒ่าหัวรั้นเหล่านั้นก็ควรจะเกษียณกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้แล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
 
 
ฮ่องเต้ตกใจ แต่ไหนแต่ไรมาอ๋องฉีสุภาพนอบน้อม มีสัมมาคารวะกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยในวังเสมอ ไม่เคยเห็นว่ามีใครขัดหูขัดตาเขาเลย และไม่เคยพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าพระองค์มาก่อน วันนี้กลับอ้าปากพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด ทว่า กลับยิ่งทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากขึ้น “เจ้าพูดง่าย นั่นมันคนร้อยกว่าชีวิต แค่พริบตาเดียว ก็ถูกเจ้าฆ่าตายหมดแล้ว แม้ว่าจะทำให้พวกคนเฒ่าสำนักวินิจฉัยนั้นเกษียณกลับบ้านไปได้ แต่ปากของคนเล่า จะสามารถอุดเอาไว้ได้หรือ”
 
 
คำตรัสของพระองค์ออกไป นางกำนัลและขันทีที่ดูแลอยู่ภายในห้องทรงพระอักษรต่างอึ้งไปพร้อมกัน พวกเขาไม่เคยได้ยิน และไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงเรียกบรรดานายท่านในสำนักวินิจฉัยว่าพวกคนเฒ่า นี่ นี่ นี่…ชัดเจนว่าถูกอ๋องฉีทำให้กริ้วจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้เสียแล้ว
 
 
ฮ่องเต้ก็ไม่รู้สึกตัว ขณะที่จะตรัสต่อไป
 
 
เสียงที่ไม่สนใจของอ๋องฉีดังขึ้นอีก “ไม่ต้องอุดหรอก ข้าก็อยากจะให้ประชาชนรู้นั่นแหละว่าข้าฆ่าล้างทั้งจวนเฮ่อจาง มีใครอยากจะล้างแค้นแทนเขา ก็มาหาข้าได้เลย”
 
 
“เจ้า…” ฮ่องเต้ถูกทำให้กริ้วจนตรัสไม่ออก หยิบแท่นหมึกข้างพระหัตถ์โยนใส่อ๋องฉี
 
 
อ๋องฉีก็ยังคงไม่หลบ แล้วแท่นหมึกก็กระแทกเข้าที่หน้าผากของเขา ในชั่วขณะนั้น น้ำหมึกและเลือดก็ไหลออกมาผสมกัน
 
 
ฮ่องเต้ทรงผงะไป
 
 
อ๋องฉีไม่พูด ก้มศีรษะมองน้ำหมึกที่ปนด้วยเลือดหยดลงบนเสื้อผ้าของตัวเอง เบ้มุมปากอย่างเย้ยเยาะ
 
 
ไม่เคยเห็นอ๋องฉีเป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ฮ่องเต้รู้สึกกระสับกระส่ายไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ไม่ยอมลดละศักดิ์ศรีที่จะตรัสขอโทษ และสั่งนางกำนัลที่อยู่ด้านหนึ่ง “เหม่ออะไรอยู่เล่า ยังไม่รีบไปหาอะไรมาเช็ดให้อีก”
 
 
นางกำนัลที่ถูกภาพตรงหน้านี้ทำให้ตกใจจนแข็งทื่อ ได้สติคืนมา ครั้นจะไปด้านหน้า เสียงที่เย็นชาของอ๋องฉีก็ดังขึ้น “ไม่ต้องหรอก คนของจวนเฮ่อข้าก็ได้ฆ่าแล้ว ถ้าหากเสด็จพี่รู้สึกว่าไม่อาจให้อภัยข้าได้ ก็ตัดสินโทษเสียเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
 
 
เสียงที่เย็นยะเยือกของเขา ไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่มีท่าทีที่สนิทสนมเหมือนกับอดีตที่เป็นพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันแม้แต่น้อย ฮ่องเต้กระสับกระส่ายไปบ้าง น้ำเสียงผ่อนลง “เจ้าสังหารคนทั้งจวนเฮ่อ ก็ควรให้ข้ารู้ว่าเพราะเหตุใด”
 
 
อ๋องฉีกวาดสายตามองคนในห้องทรงพระอักษร
 
 
ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้สั่งทุกคน “ทุกคนออกไปให้หมดเถิด หากไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าใกล้”
 
 
ทุกคนต่างรับคำ และถอยออกไปโดยพร้อมเพรียง ภายในห้องทรงพระอักษรเหลือแต่เพียงฮ่องเต้และอ๋องฉีสองคน
 
 
ครึ่งชั่วยามผ่านไป อ๋องฉีเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรด้วยสีหน้าที่เหมือนปกติ มุ่งไปยังประตูพระราชวัง
 
 
จากนั้นก็มีรับสั่งดังออกมาจากในห้องทรงพระอักษร “เฮ่อจาง ช่างกล้ายิ่งนัก แอบใช้สถานะสามัญชนธรรมดาร่วมกับเฮ่อเหลี่ยนลูกชายของเขาลอบสังหารองค์หญิงชิงเหอ ทำให้องค์หญิงชิงเหอบาดเจ็ดสาหัสไม่ฟื้น โทษนี้มิอาจละเว้นได้ ทว่า นึกถึงที่เคยทำคุณประโยชน์ให้แก่ราชวงศ์มาหลายปี จึงพ้นโทษฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร ส่วนทั้งตระกูลเฮ่อล้วนต้องถูกประหารโดยสิ้น พร้อมกับประจานศพเป็นระยะเวลาหนึ่งวัน แล้วทิ้งไปที่สุสานรกร้าง”
 
 
พระราชโองการออกไป ทั้งเมืองก็เกิดเสียงฮือฮา
 
 
เฮ่อผินเฟยที่ได้ยินข่าวนี้ก็หมดสติไปตรงนั้น มีเพียงองค์ชายหกที่อยู่ห่างไกลไปหลายร้อยลี้นั่งอยู่บนรถม้าที่โคลงเคลง และยังคงกำลังหลับฝันหวานอยู่
 
 
ตระกูลของเฮ่ออีกเก้าตระกูลที่ได้รับการเว้นโทษ ล้วนรู้สึกว่าหลังคอมีลมหนาวๆ ส่วนพวกคนเฒ่าในสำนักวินิจฉัยก็ไม่ได้พูดอะไร
 
 
หวงฝู่อวี้ที่เพิ่งกลับมาถึงจวนหลังจากไปที่โรงงาน เห็นภาพเหตุการณ์ในจวนก็ตกใจสะดุ้ง และข่าวนี้ก็ทำให้เขาตื่นตระหนกจนเหม่อไป จากนั้นก็กระชากเสื้อผ้าของบ่าวรับใช้อย่างไม่อยากเชื่อ และถามด้วยเสียงที่ดุร้าย “เจ้าพูดอะไร พูดอีกทีสิ!”
 
 
บ่าวรับใช้พูดอีกครั้งหนึ่งอย่างสั่นระริก ครั้งนี้หวงฝู่อวี้ได้ยินชัดแล้ว จึงคลายมือออกแล้วกระแทกก้นนั่งบนเก้าอี้ นั่งเหม่อเหมือนกับคนไร้วิญญาณ ไม่ได้พูดอะไร
 
 
อ๋องฉีออกจากประตูพระราชวัง กลับมาถึงหน้าประตูของจวนเฮ่อ
 
 
พวกองครักษ์ลับขนศพทั้งหมดออกมา วางไว้ที่หน้าประตู สั่งคนให้ผลัดเวรกันเฝ้าแล้ว อ๋องฉีก็นำองครักษ์ลับส่วนใหญ่กลับจวนอ๋องไป
 
 
ทหารกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม ตัวเองก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อเห็นเขาไปแล้ว ถึงจะถอนหายใจโล่งอก มองหน้ากัน แล้วเดินมุ่งไปทางอื่นโดยไม่ได้นัดหมาย ในเมื่อผู้บัญชาการเฮ่อตายแล้ว พวกเขาอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีใครสั่งการ สู้กลับไปรอที่กองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองดีกว่า
 
 
แสงไฟในจวนอ๋องสว่างไสวราวกับเป็นยามกลางวัน บ่าวรับใช้ภายในเรือนยังคงวุ่นวายเดินเข้าๆ ออกๆ กันไม่หยุด
 
 
แต่ภายในห้องของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวที่ดื่มยาและน้ำแกงโสมแล้วยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ฟื้น หากไม่ใช่เป็นเพราะหน้าอกของนางที่ยังคงเผยิบเบาๆ สีหน้าที่ซีดขาวนั่นก็คงทำให้คนที่เห็นในแวบแรก คิดว่าตายไปแล้ว
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ข้างเตียงไม่ขยับ จ้องนางเขม็ง นัยน์ตามีความรู้สึกผิดและโทษตัวเองอย่างลึกซึ้ง
 
 
พระชายาฉีก็มีใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
 
 
หลิงหลงเดินเข้ามาเบาๆ แล้วรายงาน “พระชายาเจ้าคะ ท่านอ๋องกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
 
 
พระชายาฉีผงกศีรษะเพื่อแสดงออกว่ารับทราบแล้ว
 
 
แต่หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินไปด้านนอกโดยไม่พูดสักคำ
 
 
พระชายาฉีอ้าปาก กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
 
 
เดินออกไปนอกเรือน เห็นอ๋องฉีที่ทั้งกายดูมอมแมมทุลักทุเล อารมณ์ภายในดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนมีความไม่ชัดเจน และเอ่ยปากขึ้น “เสด็จพ่อ ลำบากท่านแล้ว ต่อไปก็ให้เป็นหน้าที่ลูกเถิดขอรับ”
 
 
ราวกับรู้ว่าต่อไปเขาจะทำอะไร อ๋องฉีพยักหน้า แล้วกำชับ “ระวังเสียหน่อยล่ะ!”

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset