ทั้งใบหน้าและตัวของเฝิงจิ้งซูชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางกำลังออกแรงอย่างสุดกำลัง
เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา พระชายาฉีดีใจประหนึ่งเห็นที่พึ่งหนึ่งเดียว รีบพูดขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ รีบมาดูหน่อยเร็ว ทำไมผ่านไปนานขนาดนี้ซูเอ๋อร์ยังไม่คลอดอีก”
หมอตำแยอาวุโสท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า “พระชายาฉีเจ้าคะ ตั้งแต่ฮูหยินของท่านแม่ทัพปวดจนถึงตอนนี้ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งยาม ปากมดลูกก็ขยายจนเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านแล้ว ถือว่าเร็วแล้วนะเจ้าคะ”
หมอตำแยอีกสองคนรีบพยักหน้าสำทับ
ความปวดระลอกนี้ผ่านไป เฝิงจิ้งซูสงบลง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็แสดงสีหน้าน่าเวทนา ดวงตาแดงก่ำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างหน้านาง เสยผมที่เปียกโชกด้วยเหงื่อของนาง แล้วยิ้มให้กำลังใจ “ซูเอ๋อร์ ใกล้จะเป็นแม่คนแล้วนะ อดทนหน่อย”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้า ยื่นมือไปจับมือนางแน่น
ความปวดระลอกใหม่มาเยือนอีกครั้ง เฝิงจิ้งซูร้องอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง เสียงตกใจของฉู่เหวินเจี๋ยดังมาจากด้านนอก “ซูเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หากไม่ไหวจริงๆ เราไม่คลอดแล้วก็ได้นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นเสียงหัวเราะออกมา
พระชายาฉีหัวเราะและด่าว่า “โตขนาดนี้แล้ว ยังวุ่นวายอีก ลูกนี่บอกว่าไม่คลอดก็ไม่คลอดได้รึไง”
หมอตำแยสามสี่คนมองหน้ากันไปมา เม้มปากกลั้นหัวเราะ
เฝิงจิ้งซูก็ได้ยินที่เขาพูดเช่นกัน อยากหัวเราะ แต่ก็ปวดท้องมาก นางจึงหัวเราะทั้งน้ำตา
ท่านแม่ทัพฉู่ผู้ซึ่งสง่าและฉลาดปราดเปรื่องของเรา บัดนี้ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของเฝิงจิ้งซู กลับลนลานไม่เป็นท่า ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรทำให้คนเขาหัวเราะ และก็ไม่ได้ยินคำด่าของพระชายาฉี รีบตะโกนเสียงดังต่อว่า “ซูเอ๋อร์ เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ เราไม่ต้องคลอดแล้ว ไม่ต้องแล้ว”
ครั้งนี้พระชายาฉีอดกลั้นไม่อยู่แล้ว หัวเราะเสียงดังออกมา
หมอตำแยไม่กล้าหัวเราะ พวกนางกลั้นหัวเราะไว้จนไม่สามารถพูดแนะนำจังหวะการเบ่งให้เฝิงจิ้งซูได้ ต่างใช้มือปิดปากตัวเองไว้
แล้วความปวดระลอกนี้ของเฝิงจิ้งซูก็ผ่านไปพอดี นางจึงหัวเราะออกมา
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแหบเล็กน้อยของนางดังมาจากในห้อง ฉู่เหวินเจี๋ยก็โล่งใจ พูดขึ้นว่า “ขอบคุณฟ้าดิน คลอดเสียทีนะ”
ในห้องส่งเสียงหัวเราะลั่นออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ข้างเขาไม่อยากจะยอมรับเลยจริงๆ ว่าชายทึ่มที่อยู่ข้างตนคนนี้คือคนเดียวกับท่านแม่ทัพที่เป็นน้าแท้ๆ ที่ตนนับถือและภาคภูมิใจตลอดเวลา ผู้ซึ่งผ่านสนามรบนับร้อย เผชิญทหารมานับพันด้วยความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม
เหมือนว่าจะรับรู้ถึงสายตาแปลกประหลาดของเขา ฉู่เหวินเจี๋ยรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าออก หันไปข้างๆ ถามอย่างสงสัยว่า “เซวียนเอ๋อร์ มีอะไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากพูด เสียงร้องเจ็บปวดของเฝิงจิ้งซูก็ดังออกมาจากในห้องอีกครั้ง
ฉู่เหวินเจี๋ยตัวเกร็ง ร้องขึ้นอย่างไม่เชื่อว่า “ทำไมมีสองคนล่ะ”
เสียงหัวเราะทั้งน้ำตาของพระชายาฉีดังขึ้น “เหวินเจี๋ย เจ้าหุบปากซะ!”
หมอตำแยทั้งสามคนหัวเราะตัวโยนจนยืนตัวตรงไม่ได้
ฉู่เหวินเจี๋ยที่อยู่ข้างนอกกะพริบตาปริบๆ ถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
แล้วก็เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกชั่วยามกว่า จึงถึงเวลาคลอดจริงๆ สีหน้าทุกคนจริงจังขึ้นมา หมอตำแยผู้มีประสบการณ์ให้เฝิงจิ้งซูอมโสมหนึ่งแผ่นไว้ในปาก แล้วก็สอนวิธีเบ่งตอนที่นางยังมีสติและไม่ปวดอยู่
เฝิงจิ้งซูยิ่งตื่นเต้น จับมือเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปล่อย
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงร้องของเด็กทารกก็ดังขึ้นจากภายในห้อง
หมอตำแยต่างดีใจและตะโกนเสียงดังว่า “คลอดแล้วเจ้าค่ะ คลอดแล้ว เป็นพ่อหนูจ้ำม่ำ”
ฉู่เหวินเจี๋ยตัวเกร็งอีกครั้ง ยืนนิ่งในเรือนไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิด
ทั้งตัวของเฝิงจิ้งซูชุ่มไปด้วยเหงื่อ อาการเหนื่อยล้าจู่โจม ยังไม่ทันรอให้หมอตำแยเช็ดทำความสะอาดแล้วอุ้มเด็กมาให้ดูก็ผล็อยหลับไปแล้ว
พระชายาฉีรับเด็กมาอย่างดีใจ อุ้มไว้ในอ้อมกอดดูแล้วดูอีก “เด็กคนนี้เหมือนฉู่เหวินเจี๋ยตอนเด็กยิ่งนัก”
หลังจากสั่งให้บ่าวรับใช้เข้ามาทำความสะอาดห้องแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินเข้ามา หมอตำแยต่างรีบพูดแสดงความยินดีกับเขา “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
ปากของฉู่เหวินเจี๋ยฉีกยิ้มจนจะถึงหูแล้ว โบกมือขึ้นพูดว่า “ให้รางวัลคนละห้าสิบตำลึง”
หมอตำแยสามสี่นางดีใจใหญ่ เสียงกล่าวขอบคุณดังขึ้นกว่าเดิม
พระชายาฉีส่งสัญญาณ สาวใช้ของเฝิงจิ้งซูนำพวกนางไปห้องบัญชีเพื่อรับรางวัล
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินไปหน้าพระชายาฉี
พระชายาฉีอุ้มลูกที่อยู่ในอ้อมกอดของตนให้เขา “รีบดูเร็ว นี่ลูกชายของเจ้า ต่อไปตระกูลฉู่ของเรามีผู้สืบเชื้อสายแล้ว”
ฉู่เหวินเจี๋ยตัวสั่นเทา รับลูกมาด้วยมือทั้งคู่ที่แข็งเกร็ง มองดูหน้าตาจิ้มลิ้มที่หลับอยู่ของเด็กน้อย น้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมา
เหมือนกับว่าแขนที่แข็งเกร็งของเขาจะทำให้ทารกไม่สบายตัว ดวงตาของเขาปิดแน่น ปากอ้ากว้าง อุแว้ ร้องเสียงดังขึ้น
ฉู่เหวินเจี๋ยสะดุ้ง ตกใจจนเกือบจะโยนลูกออกไป
พระชายาฉีรีบรับมา อุ้มแกว่งเบาๆ ไปมาสองสามที
ทารกหยุดร้องไห้
ฉู่เหวินเจี๋ยงุนงง มองลูกชายตนอย่างไม่เชื่อสายตา ปากก็ค่อยๆ แย้มออกอีกครั้ง เผยรอยยิ้มอิ่มเอมใจออกมา “เจ้าเด็กนี่ หน่ายหนีข้าตั้งแต่ตอนนี้ซะแล้ว รอเจ้าโตก่อนเถอะ ข้าจะจัดการเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวขำ พระชายาฉีไม่ยอม “เจ้ากล้ารึ นี่หลานข้าเชียวนะ ถ้าเจ้ากล้าจัดการเขา ก็ลองดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
ฉู่เหวินเจี๋ยลูบจมูกเบาๆ บ่นเสียงเบาว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้ว่าจะทำจริงเสียหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินเข้ามาดู เห็นทารกตัวน้อยจิ้มลิ้ม น่าเกลียดน่าชัง ชื่นใจยิ่งนัก ยื่นมือไปหยิกแก้มเขาอย่างอดใจไม่ได้
เด็กน้อยที่ปิดตาอยู่ ไม่เพียงไม่ได้ร้อง ยังเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา
พระชายาฉียิ่งดีใจใหญ่ พูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้น่ารักน่าชังนัก ไม่เหมือนเหวินเจี๋ยตอนนั้นเลย หยอกเล่นอะไรด้วยไม่เคยยิ้มสักนิด”
“ได้ซูเอ๋อร์มาน่ะเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พระชายาฉีพยักหน้า อุ้มไกว่เด็กไปมาอย่างมีความสุข
ลูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว เฝิงจิ้งซูก็เหนื่อยจนหลับไปแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินสาวเท้าไปข้างนอก เรียกหวงฝู่อี้เซวียนไปที่ห้องรับแขก
หลังจากอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพมาหนึ่งวันเต็ม รอจนเฝิงจิ้งซูตื่นแล้ว พระชายาฉีก็กำชับนางสองสามเรื่อง เมื่อนางจำได้หมดแล้ว ก็อุ้มลูกวางลงข้างๆ นางอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วทั้งสามคนก็ออกจากจวนแม่ทัพไป
ทั้งสามนั่งรถม้าคันเดียวกัน พระชายาฉียุ่งมาทั้งวัน แต่ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้าเลย มองทั้งสองและพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า “เจ้าเด็กคนนี้น่ารักยิ่ง รอให้ถึงตอนนี้ของปีหน้า ไม่แน่ว่าจวนอ๋องเราก็จะมีเด็กน้อยน่ารักเช่นนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน”
คำพูดนางชัดเจนเกินไป เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง หวงฝู่อี้เซวียนไอกระแอมอย่างจงใจทีหนึ่ง
พระชายาฉีพูดต่อว่า “แต่ว่า ข้าอยากให้พวกเจ้าคลอดเด็กผู้หญิงก่อน เจ้าดูนะ ญาติและคนสนิทรอบตัวเราคลอดเด็กผู้ชายก่อน ตอนเด็กยังดี แต่พอโตแล้วไม่สนุกเลย ไม่เหมือนเด็กผู้หญิง โตแล้วยังจูงมือเจ้า คอยออดอ้อนได้ แค่คิดข้าก็มีความสุขมากแล้ว”
เห็นสีหน้านางมีความสุข วาดฝันอนาคตไว้สดใส หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก และปริปากพูดว่า “ท่านแม่ ข้า…”
พระชายาฉีมองเขา
เหลือบไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดต่อ
พระชายาฉีก็ไม่ได้สนใจ พูดอย่างสำราญใจว่า “พวกเจ้าวางใจเถอะ รอพวกเจ้าคลอดลูกแล้ว ไม่ต้องห่วง ข้าช่วยพวกเจ้าดู…”
เห็นท่าทีที่ไม่มีทีท่าจะหยุดของนาง หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเสียงดังว่า “เสด็จแม่”
พระชายาฉีหยุดพูด เห็นสีหน้าแดงก่ำของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจ หัวเราะและพูดว่า “ไม่พูดแล้ว ยังไงเหลืออีกไม่กี่วันก็ถึงงานสมรสของพวกเจ้าแล้ว”
ถึงทางแยก ทั้งสามแยกทางกัน หวงฝู่อี้เซวียนจะตามเมิ่งเชี่ยนโยวไปหนานเฉิง พระชายาฉีพูดหยอกเล่นกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โชคดีที่พวกเจ้าจะแต่งงานแล้ว ไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่ลูกสะใภ้เลย เกรงว่าลูกชายก็จะหนีไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง
พระชายาฉีนั่งรถม้าแล้วยิ้มจากไป
หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนาง กลับไปที่รถม้าของตน แล้วกลับบ้าน
สองวันต่อจากนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวและพระชายาฉีต้องไปดูแลเฝิงจิ้งซูและลูกที่จวนนายพล หวงฝู่อี้เซวียนตามไปไม่เหมาะ จึงกลับจวนอ๋องตระเตรียมงานแต่งของตน
วันที่สาม ถึงวันสี่ซาน[1] หน้าประตูจวนแม่ทัพเต็มไปด้วยผู้คนและรถม้า ขุนนางน้อยใหญ่ในวังต่างพาครอบครัวตนมาแสดงความยินดี แม้แต่ฮ่องเต้และไทเฮายังประทานของดีให้ไม่น้อย
อ๋องฉี ฉู่เหวินเจี๋ยและหวงฝู่อี้เซวียนต่างวุ่นกับการต้อนรับพวกเขา
พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปต้อนรับบรรดาครอบครัวขุนนาง
ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวมีสถานะเป็นองค์หญิงชิงเหอ และยังได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อเฟย ไม่มีใครกล้าเพิกเฉยนาง ทุกคนต่างแสดงความเกรงอกเกรงใจ
แน่นอนว่าก็มีคนถือโอกาสประจบประแจงพระชายาฉี พูดว่า “พระชายาฉีโชคดีนัก มีลูกสะใภ้ที่เก่งและสวยอย่างองค์หญิงชิงเหอ”
ทุกคนเห็นด้วย
พระชายาฉียิ้มจนหุบปากไม่ได้ “แน่นอน เซวียนเอ๋อร์ของเราสั่งสมบุญมาหลายภพชาติ ถึงได้ตบแต่งกับแม่นางเมิ่งที่ดีเช่นนี้”
ทุกคนก็เห็นด้วยอย่างประจบประแจง
เมิ่งเชี่ยนโยวทนเห็นสีหน้าท่าทางพวกนางไม่ได้ นางไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ต่อ จึงหาข้ออ้างเดินออกมา และเข้าไปในห้องของเฝิงจิ้งซู
แม่ พี่สะใภ้ของเฝิงจิ้งซู และเฝิงจิ้งเหวินก็มาคุยอยู่รอบเตียงนาง
เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา ฮูหยินเฝิงยิ้มพลางลุกขึ้น ต้อนรับนางเข้ามา กุมมือนางแล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “แม่นางเมิ่ง ลูกสาวทั้งสองของข้าอยู่ถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะเจ้า ข้าอยากไปขอบคุณเจ้าด้วยตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว แต่สถานะข้าไม่เหมาะ ก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบว่า “ท่านเกรงใจไปแล้วเจ้าค่ะ ข้า พี่สะใภ้ และน้องซูเอ๋อร์เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกนางมีเรื่องอะไรข้าต้องช่วยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อีกอย่าง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
“เจ้าอย่าพูดเยี่ยงนี้” ฮูหยินเฝิงพูด “ข้าได้ยินเหวินเอ๋อร์บอกแล้ว เพื่อรีบไปช่วยนาง เจ้าเกือบจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว บุญคุณของเจ้าตระกูลเฝิงของเราไม่ลืมแน่นอน ต่อไปหากมีอะไรต้องการให้ตระกูลเฝิงช่วย ก็ขอให้พูดเถิด พวกเราจะช่วยเจ้าอย่างเต็มกำลังแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ “อย่างนั้นข้าขอกล่าวขอบคุณล่วงหน้านะเจ้าคะ”
เฝิงจิ้งเหวินแอ่นท้องโตๆ ของตน ก้มลงไปนำเก้าอี้มาตัวหนึ่งมาวางข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องโยวเอ๋อร์ รีบนั่งสิ ระวังร่างกายหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ รีบยื่นมือไปดึงให้นางนั่งลง บ่นอุบอิบว่า “พี่สะใภ้ พี่ท้องโตขนาดนี้แล้ว ยังยกเก้าอี้ให้ข้าอีก นี่ทำให้ข้าดูไม่ดีนะเจ้าคะ”
เฝิงจิ้งเหวินก็ส่งสัญญาณให้นางนั่งลง พูดว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าเพิ่งหายดี ยืนนานไม่ได้ รีบนั่งลงเถอะ”
“ใช่ๆๆ” พี่สะใภ้ใหญ่ของเฝิงจิ้งเหวินยกเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมาไว้ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เชิญนั่งเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธ แล้วหย่อนตัวลงนั่ง
ฮูหยินเฝิงและพี่สะใภ้ใหญ่บ้านเฝิงนั่งเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ฮูหยินเฝิงพูดขึ้น “เขาว่าความเจ็บที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน แม่นางเมิ่งนั้นมีบุญหนักหนา ต่อไปต้องเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยโชคลาภแน่”
“แน่นอน” เฝิงจิ้งซูที่นอนอยู่บนเตียงกล่าวขึ้น “อีกไม่นาน พี่โยวเอ๋อร์และซื่อจื่อก็แต่งงานกันแล้ว ตอนนั้นก็จะได้เป็นซื่อจื่อเฟยแล้ว จะไม่มีโชคได้อย่างไร”
พี่สะใภ้ใหญ่บ้านเฝิงหัวเราะพูดว่า “ใช่ๆ วันนั้นซื่อจื่อพูดต่อหน้าคนทั้งเมืองว่า ชาตินี้แต่งกับเจ้าเพียงผู้เดียว ไม่รู้จะทำให้หญิงสาวโสดที่รอสู่ขออิจฉาตั้งเท่าไร แม่นางเมิ่งโชคดีจริงๆ ถึงตอนนั้นก็เพิ่มสมาชิกใหม่ให้ซื่อจื่ออีกคน ชีวิตต่อไปของเจ้าก็คงอาบด้วยน้ำผึ้งแล้ว”
แล้วทุกคนก็หัวเราะออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ มองไปที่ท้องโตของเฝิงจิ้งเหวิน
เฝิงจิ้งเหวินก็ใกล้จะคลอดแล้ว ท้องนางใหญ่มาก เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปลูบท้องนางเบาๆ น้ำเสียงของฮูหยินเฝิงเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ “ลูกน้อยคนนี้ของเหวินเอ๋อร์ ฝ่าอุปสรรคมาหลายครา โชคดีที่คุ้มกันไว้ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตต่อไปนี้ คงทรมานน่าดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองฮูหยินเฝิง ถามเสียงเบาว่า “มีหรือไม่มีลูกสำคัญมากเลยหรือเจ้าคะ”
“แน่นอน” ฮูหยินเฝิงพูด “ความอกตัญญูมีสามประการ แต่ที่สุดของความอกตัญญูคือการไร้ทายาทสืบสกุล แต่งออกไปแล้วเรื่องสำคัญที่สุดก็คือการมีลูก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ท้ายสุดก็ต้องมีสักคน ขอแค่มีหนึ่ง ก็ต้องมีสอง และสาม ไม่เช่นนั้น แม้จะถูกเอ็นดูในบ้านสามีแค่ไหน หรือสามีจะรักเจ้ามากแค่ไหน หากไม่มีลูก เวลานานไป ความรักนั้นก็จะค่อยๆ จืดจางไป”
[1] สี่ซาน หมายถึง พิธีสรงสาม คือพิธีที่รวมเหล่าญาติมิตรมาร่วมอาบน้ำชำระกายให้ทารก หลังจากเกิดมาครบสามวัน