ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 270 ถามย้ำ

 
 
หลังจากที่อ๋องฉีรับราชโองการแล้ว ก็จัดเสื้อใส่หมวกเรียบร้อย แล้วตามขันทีที่มาส่งราชโองการมาที่ห้องหนังสือ
 
 
ฟ้ามืดแล้ว ในห้องหนังสือจุดไฟสว่างไสว เมื่อเดินเข้าไป ท่านอ๋องฉีก็ได้เห็นใบหน้าของฮ่องเต้ที่เคร่งขรึมและมีน้ำเหงื่อไหลออกมาตลอดเวลาแสดงถึงความเกรี้ยวโกรธ ในใจก็เข้าใจ แต่ก็ทำเป็นมองไม่เห็น หลังจากที่ทำความเคารพฮ่องเต้เรียบร้อย ก็ไม่ได้พูดอะไร ยืนอยู่อีกฝั่ง
 
 
ฮ่องเต้ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ มีแต่เสียงกระดาษปลิวไปมา ที่อยู่ทางด้านหน้าของเขา “เจ้าเอาหน้าของราชสำนักไปไว้ไหนเสียหมด จวนอ๋องเอ๋ย เหตุใดทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้”
 
 
ท่านอ๋องฉีไม่พูดอะไร ทำเป็นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนอย่างไรอย่างนั้น
 
 
ฮ่องเต้โกรธเสียจนควันขึ้นหัว “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าที่ข้าพูดมันไม่ถูกอย่างนั้นรึ”
 
 
ในที่สุดท่านอ๋องฉีก็เอ่ยปาก แต่ก็เกือบทำให้ฮ่องเต้ลุกเป็นไฟว่า “เสด็จพี่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความคิดของลูกสะใภ้ข้า ข้าก้าวก่ายไม่ได้”
 
 
ฮ่องเต้โกรธเสียจนเลือดขึ้นหน้า ยกมือขึ้น แล้วปัดหนังสือรายงานที่อยู่ตรงหน้ากระจุยกระจาย “สวะ คำพูดนี้เจ้ายังกล้าพูดออกมาได้”
 
 
อ๋องฉีหันข้าง แล้วหลบไป หนังสือรายงานร่วงหล่นลงพื้น ชะโงกไปดู แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร แล้วก็ไม่ได้ช่วยเขาเก็บด้วย
 
 
ฮ่องเต้โกรธจนมือไม้สั่นไปหมด หนังสือรายงานบนโต๊ะหนังสือต่างก็ถูกโยนไปที่อ๋องฉี
 
 
อ๋องฉีหลบไปหลีกมา ร่างกายไม่โดนหนังสือรายงานเลยสักนิด
 
 
ขันทีและบ่าวไพร่ในห้องหนังสือเห็นสถานการณ์น่าขันเช่นนี้ เลยไม่รู้ว่าจะขำหรือกลัวดี
 
 
หลังจากที่เอาหนังสือมาโยนจนหมด ฮ่องเต้ก็เหนื่อยจนหอบ แต่อ๋องฉีกลับมีท่าทางสบายๆ สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม แล้วเอ่ยปากว่า “เสด็จพี่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
 
 
ฮ่องเต้โกรธเสียจนเกือบยกโต๊ะ “เจ้าว่าสภาพข้าเยี่ยงนี้เรียกว่าดีหรือไม่”
 
 
ใครจะไปรู้อ๋องฉีก็พยักหน้า “พอหายโกรธแล้ว ก็ดีแล้ว อย่างน้อยๆ หน้าก็ไม่ได้ขรึมขนาดนั้นแล้ว”
 
 
“เจ้า…” มองซ้ายมองขวา ก็หาอะไรที่จับถนัดมือไม่ได้ ฮ่องเต้เลยออกคำสั่งว่า “เจ้ามานี่เดี๋ยวนี้นะ!”
 
 
อ๋องฉีก็กลับถอยไปหนึ่งก้าว ส่ายหน้า “เจ้าเห็นว่าข้าโง่หรือ ถ้าหากว่าข้าเข้าไป เจ้าก็จะตีข้าได้ง่ายน่ะสิ”
 
 
บ่าวไพร่และขันทีในวังต่างก็เอามือปิดปากกลั้นขำอยู่ เพื่อที่จะไม่ให้หัวเราะมีเสียงออกไป เดี๋ยวฮ่องเต้จะสั่งประหารเอา
 
 
ฮ่องเต้ชะงักไป เบิกตาโพรง แล้วมองไปที่อ๋องฉีอย่างประหลาดใจ ครู่หนึ่ง ยืนขึ้น แล้วเดินไปหาเขา
 
 
อ๋องฉียืนนิ่งไม่ขยับ
 
 
เดินมายืนที่ตรงหน้าเขา ฮ่องเต้เอามือออกมาจับไปที่หน้าของเขา ดึงหน้าของเขาออกมา แล้วถามเขาด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าไม่ได้โดนอะไรเข้าสิงมาใช่หรือไม่ เหตุใดวันนี้ถึงได้แปลกนัก”
 
 
อ๋องฉีโดนดึงจนเจ็บ หลังจากที่ปล่อยแล้ว ก็ถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว “เสด็จพี่คิดมากไปแล้ว หลายปีมานี้น้องใช้ชีวิตแบบโดนพันธนาการมาตลอด หลายวันที่ผ่านมาถึงพบว่า ทำตามใจตนเองแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันพะยะค่ะ”
 
 
อยู่ดีๆ ฮ่องเต้ก็ฉุกคิดได้ถึงเรื่องที่เฮ่อจางเคยพูดเอาไว้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปีสาจ แล้วจึงพูดออกมาอย่างไม่คิดว่า “ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าองค์หญิงชิงเหอคนนั้นนั่นมีปัญหา พวกเจ้าไม่เชื่อ ตอนนี้ก็โดนนางครอบงำเข้าแล้วสิ”
 
 
สีหน้าของอ๋องฉีเปลี่ยนไป ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจว่า “เสด็จพี่ องค์หญิงชิงเหอเป็นซื่อจื่อเฟยของเซวียนเอ๋อร์ เป็นลูกสะใภ้ของข้า คำพูดเช่นนี้ของท่านวันหลังอย่าได้พูดอีก”
 
 
คำพูดที่ฮ่องเต้ได้พูดออกไป เขาก็รู้สึกผิดเช่นกัน ก็ตั้งแต่เรื่องนั้นเป็นต้นมา การปฎิบัติตนของอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ตอนนี้ตนยังพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเองอีก ก็ทำให้ตนเองอึดอัดอย่างไม่น่าแปลกใจ แต่เขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่ง ถึงแม้ว่าจะผิด แต่ก็ไม่ยอมที่จะเอ่ยปากรับผิด นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตน
 
 
ห้องหนังสือเงียบสงัด
 
 
เงียบจนน่ากลัว
 
 
สาวใช้และขันทีต่างก็ลุ้น
 
 
ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ถึงได้ถอนหายใจออกมาว่า “ข้ารู้ว่าตั้งแต่เรื่องนั้นมา พวกเจ้าก็ข้องใจกับข้ามาโดยตลอด แต่ว่า…”
 
 
“เสด็จพี่” อ๋องฉีพูดแทรกขึ้นมา “เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ขอให้ท่านอย่าพูดถึงอีกเลย ไม่ว่าจะว่าเช่นไร น้องและเซวียนเอ๋อร์จะช่วยท่านรักษาตำแหน่งและดูแลใต้หล้าของตระกูลหวงฝู่อย่างแน่นอน”
 
 
“ดี” ฮ่องเต้ก็ฮึกเหิมขึ้นมา ยืดหลังตรง “ข้ามีเรื่องสำคัญให้เจ้าทำ”
 
 
อ๋องฉีปฏิเสธทันควัน “เสด็จพี่ น้องไม่ว่าง”
 
 
ฮ่องเต้ก็ขำออกมา “ใครกันที่เมื่อครู่นี้รับปากข้าว่าจะช่วยข้ารักษาตำแหน่งและดูแลใต้หล้าของตระกูลหวงฝู่อย่างแน่นอน”
 
 
อ๋องฉีก็ทำตัวไม่มีเหตุผลทันที “น้องพูดเองนั้นไม่ผิด แต่ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ต้องให้น้องออกโรงหรอก น้องอายุก็ไม่น้อยแล้ว อยากจะมีความสุขสงบสักปีสองปี”
 
 
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนี้ อายุของข้ามากกว่าเจ้าเสียอีก ควรลาตำแหน่งได้แล้วงั้นรึ” ฮ่องเต้ถามด้วยความทั้งโกรธทั้งขำ
 
 
“เสด็จพี่กับน้องไม่เหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่มีเสด็จพี่ประเทศชาติบ้านเมืองจะไม่สงบสุข แต่ถ้าหากว่าไม่มีน้อง บ้านเมืองนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร”
 
 
“หยุดพูดเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนี้ได้แล้ว เจ้ากลับจวนไปเตรียมตัว วันพรุ่งจะต้องเดินทางไปที่หยางโจว เมื่อวานสำนักงานเขตหยางโจวมีรายงานมาว่า ทางนั้นมีการคดโกงกันเกิดขึ้น มีการเผาฆ่ายกเค้าโดยเฉพาะ เลวร้ายเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ตอนแรกข้าจะสั่งให้เซวียนเอ๋อร์ไปจัดการ แต่ตอนนี้เมียของเขากำลังตั้งครรภ์ เขาไปไม่ได้อย่างแน่นอน เจ้าก็ไปแทนเขาแล้วกัน” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
 
 
“เสด็จพี่ น้องก็ไปไม่ได้” อ๋องฉีปฏิเสธ
 
 
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงไปไม่ได้”
 
 
“ลูกสะใภ้ของน้องกำลังท้อง เซวียนเอ๋อร์กำลังดูแลนาง เรื่องน้อยใหญ่ในจวนต่างก็ต้องให้ข้าเป็นคนจัดการ”
 
 
ฮ่องเต้ชะงักไป
 
 
ผู้ดูแลในห้องหนังสือต่างก็เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ
 
 
ไม่นาน ฮ่องเต้ถึงจะพูดออกมาด้วยโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้ากล้าพูดอีกทีหรือไม่”
 
 
อ๋องฉีไม่ร้อนไม่หนาว แล้วพูดอีกรอบอย่างช้าๆ ว่า “ลูกสะใภ้ของน้องกำลังตั้งครรภ์ น้องไม่มีเวลาออกไปทำงานราชการ”
 
 
“เจ้า…” ฮ่องเต้ชี้หน้าเขา โกรธจนตัวสั่นไปหมด “ไอเจ้าไร้ประโยชน์ นี่เป็นคำพูดที่เจ้าควรพูดงั้นหรือ วันพรุ่งเจ้าจะต้องไปหยางโจวให้ข้า ถ้าหากว่าจับพวกคนเลวเหล่านั้นไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมา”
 
 
อ๋องฉีโค้งตัวคำนับฮ่องเต้ “เสด็จพี่ ขออภัยที่ข้าไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ ขอท่านส่งคนอื่นไปแทนเถิด”
 
 
ฮ่องเต้หรี่ตามองด้วยความไม่พอใจอย่างมาก แล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า “เจ้ากล้าขัดคำสั่งงั้นรึ”
 
 
อ๋องฉีก็พยักหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สา “กล้า ฮ่องเต้จะตัดหัวข้าอย่างนั้นหรือ”
 
 
ฮ่องเต้หยุดชะงักไปกับคำพูดของเขา แล้วชี้ไปที่ประตูห้องหนังสือ “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
 
 
“น้อมรับราชโองการฮ่องเต้ น้องจะออกไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปนี้ก็จะไม่มาให้ท่านเห็นหน้าอีก” พูดจบ ก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วจริงๆ แล้วหายไปจากห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว
 
 
ฮ่องเต้ก็ชะงักไปอีกครั้ง สักพักหนึ่งถึงมีเสียงโวยวายดังออกมาจากห้องหนังสือ “ถ้าเจ้าแน่จริงหลังจากนี้ก็อย่ามาประชุมราชสำนักอีก”
 
 
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อพูดจบ ที่นึกว่าอ๋องฉีเดินออกไปแล้วแต่กลับปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือ “น้องกำลังจะพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าเสด็จพี่จะคิดแทนให้แล้ว น้องขอขอบพระคุณ นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปก็จะไม่มาประชุมอีกพะยะค่ะ”
 
 
พูดจบ ไม่ทันได้รอให้ฮ่องเต้ตอบสนองอย่างใด ก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าด้านหลังมีหมาไล่กัดอยู่อย่างนั้น
 
 
ฮ่องเต้โกรธจนตัวโยน ถึงจะรู้ตัวว่า ตอนนี้ตนติดกับของอ๋องฉีเข้าแล้ว เกรงว่าตอนที่เขาอนุญาตให้เมิ่งเชี่ยนโยวทำเรื่องแบบนี้ ก็คิดได้แล้วว่าตนจะเรียกเขา ดังนั้นจึงค่อยๆ หลอกให้ตนติดกับ ยังไม่ทันได้ออกแรงก็ได้สิ่งที่ต้องการไปเสียแล้ว
 
 
นวดไปที่ขมับที่แสนเจ็บปวด ฮ่องเต้จึงออกคำสั่ง “สั่งให้ไท่จื่อเข้าเฝ้า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา”
 
 
ขันทีส่งมอบราชโองการตอบรับ แล้ววิ่งออกไป
 
 
ขันทีผู้ดูแลรีบสั่งให้คนที่ดูแลห้องหนังสือ เข้ามาเก็บกวาดห้องหนังสือให้เรียบร้อย แล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ฮ่องเต้ ท่านต้องการให้ข้านวดให้หรือไม่”
 
 
ฮ่องเต้โบกมือ “ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นอะไร”
 
 
อ๋องฉีเดินออกมาจากห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว ตรงหน้าก็เป็นประตูราชสำนักแล้ว ข้างหลังมีคนตะโกนเรียกเขาว่า “ท่านอ๋อง ช้าก่อน ไทเฮาเรียกท่านเข้าเฝ้า”
 
 
หยุดฝีเท้า แล้วถอนหายใจหนึ่งเฮือก อ๋องฉีหันหลังกลับ “กงกง รบกวนท่านกลับไปรายงานเสด็จแม่ด้วย บอกว่าวันนี้มืดแล้ว ไว้วันหลังข้ากับพระชายาจะเข้าไปเยี่ยมเยียนท่านใหม่”
 
 
ขันทีที่ตำหนักไทเฮาก็รีบเดินเข้าไปที่ด้านหน้าของเขา คำนับ “ข้าน้อยคำนับท่านอ๋อง” หลังจากนั้นก็พูดต่อ “ไทเฮามีรับสั่ง ถ้าหากว่าวันนี้ไม่ได้พบท่านอ๋อง นางจะนอนไม่หลับ อย่างไรก็ขอเชิญท่านอ๋องไปกับข้าเสียหน่อยเถิด”
 
 
ดูเหมือนว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องพบ อ๋องฉีทำอะไรไม่ได้ จึงเดินตามมาที่ตำหนักไทเฮา
 
 
ไทเฮาแต่งตัวเรียบร้อยนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ในห้อง สีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเขาเข้ามา ไม่รอให้เขาได้ทำความเคารพ ก็ถอนหายหนึ่งที “ถ้าหากว่าข้าไม่ส่งคนไปเรียกเจ้ามา เจ้าคงลืมไปสินะว่ายังมีแม่คนนี้อยู่”
 
 
อ๋องฉีโค้งคำนับลง “ท่านแม่ดุเกินไปแล้ว ลูกกลัวแล้วขอรับ”
 
 
แล้วถอนหายใจอีกหนึ่งครั้ง “กลัว ข้ากลับเห็นเจ้าได้ใจล่ะสิ ตอนนี้ที่จวนอ๋องมีทายาทแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วล่ะสิ”
 
 
อ๋องฉีตอบกลับอย่างระมัดระวังว่า “ที่จวนมีทายาทแล้ว ข้าต้องดีใจอย่างแน่นอน แต่ไม่ได้ส่งผลต่อความรักที่ลูกมีต่อเสด็จแม่ หลายวันมานี้ ในจวนมีแต่เรื่องให้ต้องจัดการเยอะสิ่งจริงๆ ลูกและพระชายาเลยไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน”
 
 
คำพูดนี้ทำให้ไทเฮาสบายใจขึ้นมาหน่อย สีหน้าก็คลายลงบ้างแล้ว น้ำเสียงก็ผ่อนลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้กลับมาเป็นปกติ “ข้าถามหน่อย เรื่องประกาศหาคู่ให้กับอวี้เอ๋อร์นี่ใครเป็นคนคิด คงไม่ใช่องค์หญิงชิงเหอคนนั้นนะ”
 
 
อ๋องฉีอ้าปากแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร นิสัยอของตนกับพระชายาฉีรวมไปถึงหวงฝู่อี้เซวียนนั้นไทเอาล้วนรู้ดีเป็นที่สุด ถ้าหากว่าโยนไปให้อวี้เอ๋อร์ ไม่แน่ไทเฮาอาจจะเรียกอวี้เอ๋อร์มาถามเรื่องราวก็เป็นได้ ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ใครสามารถรับได้อย่างแน่นอน
 
 
เห็นท่าทางของเขาแล้ว ไทเฮาจึงรู้ว่าตนเองนั้นทายถูกแล้ว พูดด้วยความโกรธว่า “ไร้สาระสิ้นดี พูดอีกอย่าง อวี้เอ๋อร์ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ นางทำเช่นนี้ก็เหมือนกันตบหน้าเชื้อพระวงศ์ชัดๆ”
 
 
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร
 
 
ไทเฮาจึงโกรธมากกว่าเดิม ถามว่า “เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์ก็ปล่อยให้นางทำเช่นนี้อย่างนั้นรึ”
 
 
ท่านอ๋องฉีแสดงดีหน้าทำอะไรไม่ถูก “ตอนนี้ภรรยาของเซวียนเอ๋อร์กำลังตั้งครรภ์ หมอหลวงเจียงบอกว่าดูเหมือนครรภ์ของนางจะไม่ค่อยแข็งแรง เซวียนเอ๋อร์เลยไม่กล้าที่จะยั่วโมโหนาง ลูกและพระชายายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”
 
 
“ไร้สาระ!” ไทเฮาดุว่า “ผู้หญิงในโลกนี้ใครตั้งครรภ์ไม่ได้บ้าง ตอนนี้คำพูดของนางยังมีน้ำหนักมากกว่าข้า หรือว่าต่อไปนี้จวนอ๋องก็เป็นบ้านของนางอย่างนั้นหรือ”
 
 
อย่าพูดถึงภายหลังเลย ตอนนี้นางก็เป็นใหญ่ในจวนอ๋องอยู่แล้ว แน่นอน คำพูดนี้อ๋องฉีก็ได้แต่เถียงในใจ ไม่ได้พูดออกมา แล้วยังขอร้องแทนเมิ่งเชี่ยนโยวอีกด้วยว่า “เสด็จแม่ เรื่องภรรยาของเซวียนเอ๋อร์ท่านก็รู้ ถ้าหากว่าสวรรค์ไม่ปราณีล่ะก็ ตอนนี้ก็ไม่มีจวนอ๋องแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ ใครจะไปกล้าไปทำให้นางไม่พอใจกัน”
 
 
เรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยวไทเฮารู้ดีแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ตั้งครรภ์ ไทเฮาคิดว่าหมอหลวงเจียงตรวจผิด ตอนแรกที่ได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวท้องก็เรียกหมอหลวงเจียงมาสอบถามไปยกใหญ่ หมอหลวงเจียงก็ยืนยัน ว่าตนเองไม่ได้ตรวจผิดอย่างแน่นอน กรณีของนางเช่นนี้ ช่างหาได้ยากมากเสียจริงๆ
 
 
เมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องฉีแล้ว ไทเฮาจึงนิ่งไป แล้วถอนหายใจออกมา “แม่รู้ ว่าเจ้ากับพระชายาคาดหวังกับลูกมากขนาดไหน ตอนนี้ภรรยาของเซวียนเอ๋อร์ท้องแล้ว พวกเจ้าต้องดีใจเป็นธรรมดา แต่ว่า พวกเจ้าตามใจนางแบบนี้ไม่ได้ นางเกิดจากครอบครัวชาวนา มารยาทกฏเกณฑ์ต่างๆนางไม่เข้าใจ พวกเจ้าห้ามไปทำเรื่องไร้สาระกับนาง หลังจากกลับไป ก็เอาประกาศนี้ออกเสีย เรื่องงานแต่งงานของอวี้เอ๋อร์ พวกเจ้าไม่ต้องกังวล เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
 
 
ประกาศติดออกไปหลายชั่วยามแล้ว คนที่มาตากประกาศก็เต็มหน้าประตูจวนอ๋องไปหมด จุดประสงค์ของเมิ่งเชี่ยนโยวได้บรรลุแล้ว ประกาศนั้นจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ต่อให้ไทเฮาไม่พูด เขาก็จะสั่งให้คนไปเอาออกอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นจึงตอบรับ “ลูกน้อมรับคำสั่ง เมื่อกลับไปจะส่งคนไปเอาประกาศออก”
 
 
ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอใจ “ทำแบบนี้ดีที่สุด นอกจากนี้ เจ้ากลับไปก็บอกกับเซวียนเอ๋อร์ด้วยว่า ถึงแม้ว่าภรรยาของเขาจะตั้งครรภ์ แต่เขาก็ไม่ควรที่จะตามใจเกินไป ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมที่จะสั่งสอน ข้าจะส่งคุณครูไปสอนนางเอง”
 
 
ครูสอนของพระราชวังโด่งดังในเรื่องของความเข้มงวด ถ้าหากว่าให้พวกเขาไปที่จวนอ๋อง เกรงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไล่พวกเขากลับวังอย่างแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้นยิ่งตบหน้าไทเฮาเข้าไปใหญ่ อ๋องฉีจึงตอบรับอย่างรวดเร็วว่า “ลูกทราบแล้วขอรับ กลับไปเมื่อใดจะเตือนเขาในทันที”
 

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset