ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 271 การช่วยเหลืออีกวิธีหนึ่ง

 
 
“แล้วก็ เจ้าบอกเซวียนเอ๋อร์ด้วยว่า ให้เขาเข้าวังมาหาข้าด้วย ต่อให้เขาไม่พอใจในข้าก็ตามแต่ เขาก็เป็นหลานของข้า จะไม่เข้าวังทั้งชีวิตเป็นไม่ได้หรอก” ไทเฮาพูดอีก
 
 
อ๋องฉีรีบอธิบาย “เสด็จแม่ขอรับ เซวียนเอ๋อร์ไม่ได้จะไม่เข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน แต่เป็นเพราะว่าช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย รอให้…”
 
 
ไทเฮาโบกมือ ขัดเขาที่กำลังพูดอยู่ “เจ้าไม่ต้องพูดมาก แม่ไม่ได้โง่แต่อย่างใด ที่เขาไม่เข้าวังมา ในใจข้ารู้ดี เจ้าก็แค่เอาคำพูดของข้าไปบอกเขา ข้าก็แค่อยากรู้ว่าในใจของเขายังมีข้าผู้เป็นย่าอยู่บ้างหรือไม่”
 
 
อ๋องฉีไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก จึงตอบรับ
 
 
ไทเฮาพูดต่ออีกว่า “ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว แม่เหนื่อยแล้ว เจ้ารีบกลับไปเถอะ”
 
 
อ๋องฉีตอบรับ โค้งคำนับแล้วถอยออกไป
 
 
เห็นเขาเดินออกไป ไทเฮาก็ถอนหายใจ ถามมอมอผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าว่าข้าทำผิดหรือไม่ ทุกวันนี้จิ้งเอ๋อร์และเซวียนเอ๋อร์ต่างก็ห่างเหินจากข้าไปมาก”
 
 
มอมอตอบว่า “ไทเฮาทำเพื่อพวกเขา ตอนนี้ซื่อจื่อยังไม่เข้าใจถึงความห่วงใยของท่านเจ้าค่ะ รอให้เขามีลูก เป็นพ่อของคนเมื่อใด ก็จะเข้าใจทุกอย่างเองเจ้าค่ะ”
 
 
แล้วก็ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก ไทเฮาตรัสว่า “ขอให้เป็นอย่างนั้นทีเถิด”
 
 
ออกจากประตูวังมา อ๋องฉีหยุดเดิน หันหลังมองไปที่ประตูเมืองที่สูงสง่า แต่ก่อนก็รู้สึกอยู่เสมอว่าข้างในนี้คือบ้านของตน มีแม่ที่ตนรักมีเสด็จพี่ที่คอยปกป้อง แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ด้านในกำแพงนี้ห่างเหินจากตนไปมากเสียเหลือเกิน ในนี้ไม่มีแล้วความอบอุ่นที่เคยมี ตนเองก็ไม่มีความอยากกลับบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว
 
 
ขึ้นหลังม้า ฟาดแซ่ลงไปหนึ่งที ม้าก็วิ่งมุ่งหน้าไปที่จวนอ๋องอย่างรวดเร็ว
 
 
นอกประตูจวน พระชายาฉียืนอยู่ตรงนั้นด้วยความลนลาน เมื่อเห็นว่าเขากลับมา ก็ออกไปต้อนรับด้วยความปีติ “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
 
 
นี่สิเป็นบ้านของตัวเอง เป็นคนที่ร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน ไม่ว่าเวลาใดก็อยู่ข้างข้ามาเสมอ อ๋องฉีลงจากม้า เก็บความรู้สึกซาบซึ้งนั้นเข้าไป แล้วอธิบายว่า “ไม่ได้เข้าวังนาน คิดถึงเสด็จแม่มาก วันนี้เลยไปคุยกับนางเสียหน่อย”
 
 
พระชายาฉีชะงักไป หัวเราะออกมาว่า “วันนี้ข้าได้พูดกับเซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ ว่ารออีกไม่กี่วันโยวเอ๋อร์แข็งแรงดีแล้ว ก็จะพาทั้งสองคนเข้าวังไปกล่าวทักทายเสด็จแม่เช่นกันเพคะ”
 
 
“อืม” เบาๆ แล้วจูงมือพระชายาฉีเดินเข้าจวนไป
 
 
ในจวนสว่างไสว กิริยาของทั้งสองคน คนในจวนล้วนรู้เห็น พระชายาฉีเขินอายจนหน้าแดงเป็นอย่างมาก อยากจะเอามือออกจากมือขออ๋องฉี
 
 
แต่ว่าอ๋องฉีจับไว้แน่นมาก ต่อให้นางใช้กำลังแค่ไหนก็เอาออกมาไม่ได้
 
 
ทั้งสองคนเดินมาที่เรือนของพระชายาฉี หลิงหลงที่กำลังแอบยิ้มอยู่ก็ใช้สายตาออกคำสั่งไปที่แม่บ้านทั้งสามคนให้ไปเตรียมน้ำร้อน
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินว่าอ๋องฉีกลับมาแล้ว ก็ถอนหายใจพร้อมๆ กัน จัดการเก็บของให้เรียบร้อย แล้วเตรียมตัวพักผ่อน แต่กลับได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมากจากด้านนอก
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชะงักไป ใครกันบังอาจหาญกล้ามาก่อกวนจวนอ๋องในเวลาเช่นนี้
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนเดาได้แล้วว่าเป็นใคร พยุงเมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาที่ประตู แล้วถามด้วยควาไม่พอใจว่า “ดึกป่านนี้แล้ว ยังจะเป็นบ้าอะไรอีก”
 
 
เสียงทะเลาะกันไม่หยุด หวงฝู่ซวิ่นยิ้มแล้วเดินเข้ามาที่ด้านใน “เมื่อครู่เสด็จพ่อเรียกให้ข้าเข้าวังโดยด่วน บอกให้ข้ารีบไปที่เจียงหนาน บอกให้ข้าไปจับโจรให้สิ้นซาก”
 
 
“แล้วไง” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม
 
 
“หลังจากนั้นข้าก็มาหาเจ้า น้องเซวียนคงไม่คิดที่จะไม่ช่วยข้าหรอกกระมัง”
 
 
“ทหาร ไปเชิญเสด็จพ่อและเสด็จแม่มา บอกว่าไท่จื่อบุกเข้ามาที่จวนอ๋อง เพื่อที่จะบังคับให้ลูกของเขาทิ้งเมียที่กำลังท้องอยู่แล้วไปเจียงหนานแทนเขา” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
 
 
ชิงหลวนตอบรับ แล้วไปรายงานอย่างรวดเร็ว
 
 
หวงฝู่ซวิ่นพูดออกมาด้วยความไม่ยำเกรง “ข้าบังคับเจ้าที่ไหนกัน ข้ามาหารือกับเจ้ามิใช่หรือ พวกเราคุยกันดีๆ อย่าไปรบกวนเสด็จอาเลย”
 
 
“เจ้าบุกเข้ามาใสจวนอ๋องยามวิกาล ไม่ได้บังคับอย่างนั้นรึ ชิงหลวน รีบไป”
 
 
“ไม่ๆ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามายืมคนของเจ้าก็เท่านั้น” หวงฝู่ซวิ่นกลัวเสด็จอาหน้ายิ้มนี้มาตั้งแต่เด็ก รู้สึกเสมอว่าใบหน้าที่อบอุ่นของเขามีความน่ากลัวซ่อนอยู่ เช่นนี้ เขาผู้ที่ไม่ได้ลงมือมาหลายปี พอลงมือทีก็สามารถโค่นล้มเฮ่อจางได้ทั้งตระกูล เรื่องนี้ทำให้หวงฝู่ซวิ่นเลื่อมใสเขาเป็นอย่ามาก อย่าว่าแต่หาเรื่องเลย ขนาดเวลาอยู่ต่อหน้าเขายังมือเท้าสั่นไปทั้งตัว
 
 
เมื่อเห็นว่าเขาแก้ตัวเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มเยาะอยู่ในใจ ออกคำสั่งชิงหลวน “กลับมา!”
 
 
ชิงหลวนหยุด
 
 
หวงฝู่ซวิ่นเช็ดหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อ แล้วโบกมือออกคำสั่งกับทหารลับของตน “หยุดลงมือ”
 
 
เสียงทะเลาะกันหยุดลง
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้กับหวงฝู่ซวิ่น “พี่ใหญ่ ขออภัยด้วยที่ข้าไม่สามารถทำความเคารพท่านได้”
 
 
“ไม่ต้องๆ ข้าไม่ได้เป็นคนอื่นที่ไหน อย่าได้เกรงใจ” หวงฝู่ซวิ่นพูด
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ ว่า “ข้ากับพี่ใหญ่จะไปห้องรับแขกครู่หนึ่ง เจ้าไปพักผ่อนก่อน ไม่ต้องรอข้า”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพยักหน้าแล้วกลับไปที่ในห้อง
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่ซวิ่นมาที่ห้องรับแขก ทั้งสองนั่งลง หวงฝู่ซวิ่นก็อดไม่ได้แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่า โจรที่เจียงหนานแยบยลยิ่งนัก ไม่ใช่โจรธรรมดา…”
 
 
หวงฝู่อี้ซวียนโบกมือขัดเขา แล้วถามว่า “พี่ใหญ่อยากไปหรือไม่”
 
 
หวงฝู่ซวิ่นละงักไป แล้วจึงรู้สึกตัวได้ พูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำว่า “ไม่อยากไปแน่นอน แต่ว่าเสด็จพ่อออกคำสั่งแล้ว ข้า…” ยังไม่ทันพูดจบ เขากรีดร้องออกมาเสียงดัง ดังออกไปไกลจากจวนอ๋องเป็นอย่างมาก คนในจวนต่างก็ตำใจขวัญผวากันไปหมดเพราะเสียงนี้ โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ ตกใจจนลุกตื่นขึ้นมา ออกคำสั่งทันที “รีบไปดูเร็วเข้า ในจวนเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
 
 
ทหารลับของหวงฝู่ซวิ่นฟังออกว่าเป็นเสียงของเขา เลยบุกเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าที่ซีดหม่น เห็นหวงฝู่ซวิ่นสีหน้าซีด กอดหัวเข่าของตนเองอยู่ เจ็บเสียจนเหงื่อออกเต็มไปหมด ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกลับนั่งหน้าตาเฉย
 
 
“ไท่จื่อ” ทหารลับร้องเรียกด้วยความตกใจ พาทุกคนเข้ามา แล้วล้อมหวงฝู่อี้เซวียนเอาไว้
 
 
หวงฝู่ซวิ่นเจ็บจนพูดไม่ออก
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งด้วยสีหน้าเดิมว่า “ในระหว่าที่พี่ใหญ่เดินทางกลับตงกงเกิดหกล้ม หัวเข่าได้รับบาดเจ็บ ขนาดเดินยังเดินไม่ได้ เจียงหนานจึงไปไม่ได้ อย่างไรเสียก็ต้องขอให้เสด็จลุงส่งคนอื่นไปแทน”
 
 
หวงฝู่ซวิ่นรู้ในทันทีว่าเขากำลังช่วยตนอยู่ กัดฟัน แล้วถามด้วยความเจ็บปวด “เจ้าจะลงมือทำไมไม่ลงมือเบาๆ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
 
 
“ถ้าหากว่าไม่ลงมือหนักๆ วันพรุ่ง หัวเข่าของพี่ใหญ่ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว แล้วจะปิดบังเสด็จลุงได้อย่างไร ไม่เพียงเท่านี้ เจ้ากลับจวนไปยังไม่สามารถรักษาได้อีก ก็รอให้มันปวดไปสักสองสามวัน ให้มันหายเองก็ได้ วางใจเถิด ข้าจัดการกำลังของข้าได้ดีเยี่ยม ท่านจะไม่หลงเหลือผลข้างเคียงใดๆ”
 
 
หัวเข่าปวดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องพูดเลย หวงฝู่ซวิ่นก็รู้ว่าหัวเข่าของตนนั้นช้ำจนไม่ไหว ฝืนทนเจ็บ แล้วหวงฝู่ซวิ่นก็ถามทีละคำสองคำว่า “เจ้าคนอัมหิต เจ้าแน่ใจหรือว่าช่วยข้า หรือว่าอาศัยจังหวะจัดการข้ากันแน่”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้า แล้วยอมรับด้วยใจจริงว่า “ข้าจัดการท่าน ใครใช้ให้มารบกวนเวลาพักผ่อนของโยวเอ๋อร์เล่า”
 
 
หวงฝูซวิ่นโกรธเสียจนลืมความเจ็บปวดของหัวเข่าไปเลย แล้วด่าว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเร่งรีบอะไร ข้าถึงมาหาเจ้าเพื่อปรึกษาอย่างนั้นรึ แต่เจ้ากลับลงมืออย่างหนักกับข้า อย่าลืมสิว่าข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า พี่ใหญ่น่ะ!”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้ารู้ มิเช่นนั้นข้าก็จะเตะให้กระดูกมันแตกละเอียดไปเสียเลย อย่าหวังเลยว่าเขาจะเดินได้อีก”
 
 
หวงฝู่ซวิ่นอ้าปาก เบิกตาโพรง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้สึกว่าไม่เพียงแต่หัวเข่าเจ็บกว่าเดิม หัวก็ปวดหนักขึ้นไปอีก แล้วจึงโบกมือ ออกคำสั่งกับทหารลับ “กลับวัง!”
 
 
หัวหน้าทหารลับหันหลัง แล้วเดินไปที่ตรงหน้าเขา นั่งคุกเข่าลง ให้หวงฝูซวิ่นขี่หลังของเขา แล้วเดินออกไป
 
 
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังตามมาทางด้านหลัง “พี่ใหญ่ ทางที่ดีรอให้วันพรุ่งก่อนค่อยหาหมอ เดี๋ยวจะไม่สมจริง”
 
 
หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนไม่ได้ตอบกลับอะไร
 
 
คนกลุ่มหนึ่งก็ได้ออกเดินออกไปจากจวนอ๋อง
 
 
มุมปากของหวงฝูอี้เซวียนก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินเสียงร้อยเรียกนั้นด้วยเช่นกัน รอให้หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาที่ห้อง ก็หัวเราะแล้วถามว่า “เจ้าลงมือหนักเกินไปแล้ว ดูท่าแล้วต้องรอสักสิบวันครึ่งเดือนเขาถึงจะหาย”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มออกมา “แบบนี้ดีแล้ว หลายวันนี้จะได้ไม่มาก่อกวนอีก”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วส่ายหน้า
 
 
ในสามวันต่อมา หน้าประตูจวนอ๋องจะมีคนมารอต่อแถวเต็มไปหมดในทุกๆ วัน ผู้ดูแลทำตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยการแจกป้ายลำดับเลขให้กับหญิงสาวที่มา แล้วจัดคนมานำพวกนางเข้าทางประตูด้านข้างของจวน ให้ “หวงฝู่อวี้” ดู แท้จริงแล้วก็คือให้หญิงสาวเหล่านี้เดินไปที่พื้นที่ไกลๆ ของจวนอ๋องหนึ่งรอบแล้วก็ออกมา แล้วพวกนางก็คิดตลอดเวลาว่า อยากจะแต่งงานกับองค์ชายรองหวงฝู่อวี้ ซึ่งตอนนี้กำลังนอนอยู่ที่เตียงของตนเองอย่างสง่าสงาม
 
 
ผ่านไปสามวัน หญิงสาวที่มาสมัครนั้นลดน้อยลง แต่รถม้าด้านหน้าจวนอ๋องกลับเยอะขึ้น ล้วนเป็นฮูหยินของตระกูลขุนนางต่างๆ ที่มีลูกสาว มาในนามของการอวยพรที่เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์ เลยพาลูกๆ มาดูด้วย
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังตั้งครรภ์ เรื่องแบบนี้ไม่สามารถให้นางจัดการได้ พระชายาฉีจึงออกหน้า ต้อนรับฮูหยินและคุณทั้งหลายที่มาแทน
 
 
ฮูหยินเหล่านี้ก็ดีใจเข้าไปใหญ่ ในขณะที่พวกนางกำลังร่ำไห้บอกว่าทำอย่างไรถึงจะได้พบพระชายาฉี ตอนนี้ถือเป็นการณ์ดี ได้พบเสียเลย ในขณะที่กำลังดีใจ ก็ไม่ลืมที่จะชมลูกสาวของตนเอง
 
 
พระชายาฉีก็พยักหน้ายิ้มตามๆ กันไป ชมหญิงสาวเหล่านั้นว่าดี ทำให้ฮูหยินและคุณหนูแต่ละตระกูลต่างก็ดีใจเป็นอย่างมาก
 
 
แต่ว่า พระชายาฉีก็ได้เห็นว่ามีหญิงสาวที่รูปงามสะสวยใช้ได้อยู่ไม่กี่คน รอให้ทุกคนไป ก็เดินไปที่ห้องของหวงฝู่อวี้ “อวี้เอ๋อร์ แม่เลือกสาวงามให้เจ้าแล้วหลายคน รอให้ข้าดูดวงให้พวกเจ้าเสียก่อนว่าเข้ากันได้หรือไม่ ค่อยเตรียมการไปขอแต่งงาน”
 
 
ท่าทางของหวงฝูอวี้บอกไม่ถูกว่าจะเสียใจหรือดีใจดี “เสด็จแม่เห็นอย่างไรก็ตามนั้นเลยขอรับ อวี้เอ๋อร์ไม่มีความเห็น”
 
 
พระชายาฉีนั่งบนเก้าอี้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “อวี้เอ๋อร์ลูกแม่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของแม่ แต่ว่แม่เห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ถ้าหากว่าเจ้ามีหญิงสาวที่ชอบพอกันล่ะก็ ขอให้บอกแม่ ไม่ว่าวิธีใดก็ตามแม่ก็จะไปสู่ขอมาให้เจ้าจงได้”
 
 
หวงฝู่อวี้ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เสด็จแม่ขอรับ ลูกไม่มีหญิงสาวที่ชอบ ทุกอย่างต้องรบกวนเสด็จแม่แล้ว”
 
 
“เจ้าลูกคนนี้ กับแม่ยังจะเกรงใจอะไรอีก ถ้าหากว่าไม่มี แม่ก็จะจัดการเตรียมแล้วนะ”
 
 
เมื่อส่งพระชายาฉีเสร็จ หวงฝู่อวี้เศร้าใจเดินกลับไปที่จวนของตน นอนอยู่บนเตียง นอนมองที่เพดาน ในสมองคิดถึงแต่คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวที่พูดออกมาอย่าง “ไม่ระมัดระวัง” ว่า “วันนี้ข้าได้ยินฮูหยินที่มาบอกว่า คุณหนูหลินของตระกูลหลินนั้นได้แต่งงานกับตระกูลบ้านนอกคนหนึ่ง ฮูหยินราชเลขาใจร้ายเป็นที่สุด มีลูกสาวแค่คนเดียวยังจะแต่งออกไปอีก”
 
 
แล้วก็คิดถึงตอนที่หลินหันเยียนมาหาตนตอนนั้น ตอนนั้นนางก็น่าจะเศร้าโศกอยู่เช่นกัน มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับตน แต่ตนก็ตัดใจปฏิเสธนางไป ไม่รู้ว่านางกลับไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าผอมลงไปกว่าเดิมหรือไม่
 
 
เมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังคิดอันใดอยู่ ก็ส่ายหน้า เอาความคิดของตนที่มีอยู่ในหัวสมองสลัดออกไป แล้วพูดพึมพำว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร นับแต่นี้ต่อไปก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว”
 
 
พระชายาฉีเดินออกมาจากห้องของหวงฝู่อวี้ ไปที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียน บอกกับทั้งสองคนว่า “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ พวกเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้จะได้ผลหรือไม่ อย่าให้ที่พวกเราทำไปทั้งหมดนี้ เมื่อถึงเวลาเยียนเอ๋อร์ไปแต่งกับคนอื่นเอาแล้วจะเสียเปล่า”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “เสด็จแม่วางใจเถิด ทุกอย่างอยู่ในกำมือของพวกเรา”
 
 
*****
 
 
ณ จวนราชเลขา
 
 
แม่บ้านของหลินหันเยียนเดินเข้ามาในจวนอย่างเร่งรีบ แล้วรายงานข้างหูของนางว่า “คุณหนู วันนี้องค์ชายรองไม่ได้ไปที่โรงงาน จดหมายที่ท่านเขียนให้เขาไม่มีทางถึงมือเขาแน่นอน”
 
 
ตั้งแต่ได้ยินว่าจวนอ๋องฉีแปะป้ายประกาศหาคู่ในวันนั้น หลินหันเยียนก็นั่งไม่ติดกับที่ จึงส่งแม่บ้านคนสนิทไปดักรอที่หน้าประตูโรงงานในทุกๆ วัน เพื่อที่จะเชิญหวงฝู่อวี้มาพูดคุยด้วย แต่ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ อย่าว่าแต่ไปโรงงานเลย ขนาดจวนอ๋องยังไม่ได้ออกมาเลย แม่บ้านไม่สามารถได้พบเขาอย่างแน่นอน เห็นว่าใกล้วันที่ท่านแม่เชิญองค์ชายคนนั้นเข้าเมืองหลวงมาทุกที หลินหันเยียนเลยใจร้อนเข้าไปใหญ่
 
 
แม่บ้านอีกคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา แล้วพูดด้วยความร้อนรนว่า “คุณหนูเจ้าคะ แย่แล้ว องค์ชายคนนั้นระหว่างทางที่มาเมืองหลวงเจอกับพวกโจรเข้า เลยหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset