ผู้จัดการอันนำเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินดูทุกๆ โรงงานหนึ่งรอบ เห็นว่าทุกที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ก็พยักหน้าอย่างพอใจ
โจวอันเข้ามารายงานว่า “นายหญิง พ่อบ้านของจวนเปามาขอรับ บอกว่าได้รับคำสั่งจากฮูหยิ ให้มาเชิญนายหญิงไปทานข้าวที่จวนขอรับ”
เป็นเวลาเกือบปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ไปจวนเปา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตั้งใจจะไปเยี่ยม จึงกล่าวว่า “บอกพ่อบ้านว่า พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
โจวอันรับคำสั่ง จึงออกไปข้างนอกแล้วบอกกับพ่อบ้าน พ่อบ้านยิ้มอย่างดีใจแล้วรีบกลับจวนเปาอย่างรวดเร็ว เพื่อบอกข่าวดีนี้ให้กับฮูหยินเปาและซุนฮุ่ย
ไม่นานเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตามออกมา ไม่ได้นั่งรถม้า แต่พากันเดินไป
ผู้จัดการอันส่งทั้งสองและมองจนทั้งสองเดินออกไปไกลแล้ว จึงหันหลังกลับ เดินกลับเข้าไปในโรงงานด้วยความดีใจ
ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยได้ยินคำรายงานของพ่อบ้าน ก็รีบออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ เห็นทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตูจวนเปาพอดี ซุนฮุ่ยรีบเร่งฝีเท้า เดินมาถึงข้างหน้าทั้งสอง ย่อตัวทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนก่อน หลังจากนั้นก็ควงแขนเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสนิทสนมเหมือนเคย กล่าวอย่างตำหนิว่า “หากวันนี้ไม่ให้คนไปเชิญเจ้ามา เจ้าก็ไม่มาใช่หรือไม่”
“ข้าตั้งใจจะมาอยู่แล้ว แม้แต่ของขวัญที่จะให้มั่วเอ๋อร์ก็เตรียมไว้แล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วอธิบาย
ซุนฮุ่ยก็ยิ้มออกมาทันที “ก็ยังดี ข้าบอกเจ้า อย่าคิดว่าตอนนี้ฐานะของเจ้าจะเปลี่ยนไปแล้ว พวกข้าจะปฎิบัติกับเจ้าแบบพิเศษ ในใจข้า เจ้าก็ยังคงเป็นน้องโยวเอ๋อร์ที่คนรักใคร่เอ็นดูคนนั้นอยู่ดี”
ทั้งสองเดินมาถึงข้างหน้าฮูหยินเปา ฮูหยินเปาจะทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ถูกนางห้ามไว้ “ท่านป้า ท่านไม่ได้ยินคำพูดที่ลูกสะใภ้ท่านเอ่ยหรือเจ้าคะ หากท่านทำความเคารพข้าจริงๆ ข้าคิดว่านางจะต้องเอาไม้ไล่ตีข้าไกลสามลี้แน่ๆ”
ทุกคนหัวเราะออกมา
ใบหน้าของซุนฮุ่ยแดงเล็กน้อย เขม่นมองนางหนึ่งที “ข้าไม่ได้เป็นแม่เสืออย่างที่เจ้าเอ่ยเยี่ยงนั้น มากสุดก็หนึ่งลี้”
ทุกคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ฮูหยินเปาสั่งสาวใช้ข้างๆ ว่า “ไปเรียกคุณชายกลับมา”
สาวใช้วิ่งออกไปช้าๆ
ฮูหยินเปาเชิญหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปในจวนด้วยความเคารพ ส่วนซุนฮุ่ยกลับควงแขนเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง
“เหตุใดจึงไม่เห็นมั่วเอ๋อร์ออกมาต้อนรับ” เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้วยถามไปด้วย
“เขาไปโรงเรียน สักพักจึงจะกลับมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “ถึงอายุที่ควรเรียนรู้แล้วจริงๆ ไปโรงเรียนเร็วหน่อยก็ดี”
ซุนฮุ่ยจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ห้องของตัวเอง
ส่วนฮูหยินเปายิ้มแล้วเชิญหวงฝู่อี้เซวียนไปที่ห้องโถง หลังจากสั่งให้คนยกน้ำชามา ก็รอประมาณเวลาหนึ่งก้านธูป เปาอีฝานก็กลับมา ฮูหยินเปายิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ให้ทั้งสองได้คุยกัน ส่วนตนไปที่ห้องครัว เตรียมอาหารมื้อกลางวัน
ซุนฮุ่ยถามเมิ่งเชี่ยนโยวเรื่องที่หายไปนานหลายเดือนโดยที่ไม่บอกกล่าวนั้นไปที่ใด ไปทำอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบนางทุกคำถาม
ซุนฮุ่ยได้ยินว่านางตั้งแผงขายลูกชิ้นปลา ตาเริ่มแดงก่ำทันที ตีนางหนึ่งทีด้วยความโมโห “มีเรื่องอะไรที่พูดกันดีๆ ไม่ได้ จนต้องหนีออกจากบ้านไป เจ้ารู้หรือไม่ ว่าหลายเดือนนั้นข้าเป็นห่วงมากเพียงใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวซาบซึ้งใจ แต่สีหน้ากลับยิ้มแล้วกล่าวว่า “ความสามารถของข้าพี่ซุนยังไม่รู้อีกหรือ ไม่ว่าอยู่ที่ใดข้าก็อยู่รอดแน่นอนเจ้าค่ะ”
น้ำตาของซุนฮุ่ยไหลลงมา “แต่เจ้าตัวคนเดียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ถ้าหากป่วยขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร แค่คิดข้าก็ปวดใจแล้ว”
สิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวที่สุดคือปลอบใจผู้อื่น เห็นท่าทางนางเยี่ยงนี้ จึงรีบกล่าวว่า “พี่สาวคนดี ดูสิตอนนี้ข้าก็ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ เจ้าอย่าเป็นเยี่ยงนี้ หากเจ้าเป็นเยี่ยงนี้ ข้าก็จะร้องไห้ตามเจ้าจริงๆ ด้วย”
ซุนฮุ่ยหลุดหัวเราะออกมาเพราะนาง ตีนางอีกครั้งหนึ่งที ยิ้มแล้วแกล้งถามนางว่า “เจ้าเนี่ย ทำให้ผู้อื่นเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่าซื่อจื่อทนเจ้าได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ “ก็เพราะว่าในท้องของข้ามีลูกของเขาสองคนน่ะสิ”
ซุนฮุ่ยหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ไม่นานมั่วเอ๋อร์ก็กลับมาจากโรงเรียน ได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่จวน ก็วิ่งเข้ามาอย่างดีใจ พอเข้ามาจากประตูก็โถมตัวเข้ามาทันที ซุนฮุ่ยตกใจมาก รีบบังตัวเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ทันที “ท่านอาโยวเอ๋อร์ของเจ้าตั้งท้องอยู่ เจ้าอย่าชนนางเป็นอันขาด”
มั่วเอ๋อร์มองตาโตไปทางท่านแม่ของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ กล่าวถามด้วยน้ำเสียงของเด็กว่า “ตั้งท้องคือสิ่งใดขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วดันซุนฮุ่ยออก ชี้ไปที่ท้องแล้วตอบกลับไปว่า “ตั้งท้องก็คือในท้องของท่านอาโยวเอ๋อร์มีน้องเล็กสองคน”
มั่วเอ๋อร์จ้องมองท้องของนางด้วยความแปลกใจ แล้วกล่าวถามด้วยความตื่นเต้นว่า “มีน้องเล็กสองคน แล้วมีน้องสาวหรือไม่ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาเพราะความไร้เดียงสาของเขา จึงดึงเขาเข้ามาใกล้ๆ อ้อมกอดของนาง ยิ้มแล้วกล่าวตอบไปว่า “อันนี้ อาก็ไม่รู้จริงๆ”
มั่วเอ๋อร์ออกห่างจากท้องของนางอย่างเชื่อฟัง เงยหน้าแล้วกล่าวถามด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าหากมีน้องสาว ท่านอาให้ข้าเลี้ยงเถิด ข้าจะเลี้ยงนางให้สวยงามแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนฮุ่ยหัวเราะออกมาพร้อมกัน
มั่วเอ๋อร์กรพริบตาปริบๆ มองทั้งสองด้วยความสงสัย
ซุนฮุ่ยหัวเราะจนน้ำตาแทบไหลออกมา “มั่วเอ๋อร์ แม้ว่าท่านอาโยวเอ๋อร์ของเจ้าจะคลอดน้องสาวตัวเล็กๆ ออกมา ก็ไม่ถึงตาเจ้าเลี้ยงหรอก ท่านอาเขยซื่อจื่อของเจ้ายังรู้สึกน้อยไปด้วยซ้ำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วสั่งชิงหลวนให้เอาของขวัญที่เตรียมไว้ให้มั่วเอ๋อร์ออกมา
เด็กเล็กลืมเรื่องเลี้ยงน้องสาวทันที ถือของแล้วไปด้วยความดีใจทันที
อาหารในห้องครัวเตรียมเกือบเสร็จแล้ว ฮูหยินเปาสั่งให้คนไปเรียกนายท่านเปากลับมาทานอาหารที่จวน นายท่านเปาก็เชิญเมิ่งฉีและเมิ่งอี้มา
ฝั่งนี้ ฮูหยินเปารู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและซุนฮุ่ยมีเรื่องให้คุยมากมาย จึงสั่งให้คนยกอาหารมาที่ห้องซุนฮุ่ยอย่างใส่ใจ หลังจากเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วก็มาฝั่งนี้
ส่วนนายท่านเปาและเปาอีฝานก็ทานอาหารเป็นเพื่อนหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งอี้และเมิ่งฉีที่ห้องโถง
ทุกคนมีเรื่องคุยกันไม่หยุด เต็มไปด้วยเรื่องราวของการรับสมัครในวันนี้ นายท่านเปาและเปาอีฝานนั่งบัญชาการอยู่ที่รับสมัครจึงจำผู้จัดการที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้ไม่น้อย ทุกคนจึงพูดคุยสนทนากันอย่างเมามัน ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกลับนั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็พักผ่อนประมาณเวลาหนึ่งก้านธูป นายท่านเปา เมิ่งฉีและเมิ่งอี้ก็กลับไปที่หน้าประตูที่ว่าการ เพื่อรับสมัครต่อ ส่วนเปาอีฝานอยู่เป็นเพื่อนหวงฝู่อี้เซวียนต่อ
ฮูหยินเปามีเวลาว่างแล้ว จึงกล่าวถามเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวตอบตามความจริง
ฮูหยินเปาก็ปวดใจทันที แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากมาย กล่าวเพียงแค่ว่า “ต่อไปอย่าทำเรื่องแบบนี้อีก ทุกคนเป็นห่วงเจ้ามาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก แล้วกล่าวต่อว่า “ช่วงก่อน ข้าเคยถามคุณชายเปา ว่าจะช่วยข้าหรือไม่ เขาบอกว่าคิดดูก่อนช่วงหนึ่งและจะให้คำตอบกับข้า ตอนนี้คิดเยี่ยงไรบ้าง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซุนฮุ่ยหายไป กัดปากไม่พูดจา
ฮูหยินเปาถอนหายใจแรงๆ หนึ่งครั้ง “เขากลับมาบอกกับพวกข้าแล้ว พวกข้าก็หวังให้เขาอยู่ช่วยเจ้า เยี่ยงนี้พวกข้าก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะต้องกรีธาทัพออกรบวันใด แต่หลายปีมานี้เขาได้รับผลกระทบจากท่านแม่ทัพจู มุ่งมั่นอยากจะเป็นทหารเหมือนกับท่านแม่ทัพจู หากพวกข้ายังขัดขวางเขาต่อ ข้ากลัวว่าต่อไปเขาจะโทษโกรธพวกข้าได้ ฉะนั้น…”
“ไปค่ายทหารก็ดี หลายปีนี้ประเทศสงบประชาร่มเย็น ทหารไม่น่าจะต้องกรีธาทัพออกรบเร็วๆ นี้ ถ้าหากนี้เป็นความปรารถนาของคุณชายเปา ก็ให้เขาไปเถิด ยังดีที่ค่ายทหารใกล้จวน เขาสามารถกลับจวนได้ตลอดเวลา”
ฮูหยินเปาก็จนใจ ถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง “แล้วแต่เขาเถิด พวกข้าก็ปล่อยวางแล้ว แล้วแต่โชคชะตาชีวิตของแต่ละคน หากต้องกรีธาทัพออกรบจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่พวกข้าขัดขวางไม่ได้”
หวงฝู่อี้เซวียนและเปาอีฝานก็ได้คุยกันถึงเรื่องนี้ เปาอีฝานไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็บอกอย่างปิดบัง แต่หวงฝู่อี้เซวียนที่ฉลาดจะไม่เข้าใจได้เยี่ยงไร จึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
กินเสร็จ ดื่มเสร็จ พักผ่อนเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนก็มองท้องฟ้า แม้ว่าจะเลยเวลาเที่ยงไปไม่นาน แต่ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเหนื่อยง่ายมาก ควรพานางกลับจวนแล้ว จึงกล่าวว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว พวกข้าควรกลับจวนแล้ว”
มองดูพระอาทิตย์ข้างนอก เปาอีฝานก็หยุดชะงักไป ไม่นานก็เข้าใจทันทีว่า เวลาไม่เช้าแล้วนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่กลับจวนต่างหากที่เป็นเรื่องจริง ยิ้มแล้วให้คนไปบอกเมิ่งเชี่ยนโยว
กว่าจะทำให้หวงฝู่อี้เซวียนยอมให้ตัวเองออกมานั้นต้องพูดคำดีๆ มากมาย แถมยังถวายริมฝีปากของตนให้เขาแนบจนพอใจ ถ้าหากไม่กลับเร็วตามที่เขาพูด กลัวว่าต่อไปไม่ว่าใช้วิธีไหนเขาก็ไม่ยอมให้ออกมาอีก ได้ยินคำพูดของบ่าวรับใช้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “ข้ากลับก่อน วันไหนมีเวลาข้าจะมาเยี่ยมพวกเจ้าอีก”
ซุนฮุ่ยอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย ฮูหยินเปายิ้มแล้วกำชับว่า “ท้องของเจ้ายิ่งอยู่ยิ่งโต ยิ่งเป็นฝาแฝดด้วย ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าทำงานหนัก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านป้า ข้าจะเชื่อฟังท่าน ตั้งแต่วันนี้ข้าจะไม่ทำอะไรอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบกลับ
ทั้งสามเดินออกจากลานมาถึงหน้าประตูใหญ่ หวงฝู่อี้เซวียนและเปาอีฝานรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ลาทั้งสามแล้ว นั่งรถม้ากลับ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งว่า “โจวอัน เรากลับหนานเฉิงก่อน”
น้ำเสียงไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นมา “วันนี้ไม่ไปที่ใดอีก กลับพักผ่อนที่จวน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น มองเห็นสีหน้าที่ไม่ดีของเขา จึงกลืนคำพูดที่จะไปให้ได้ของตนลงไป คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟัง ตลอดทางกลับจวน
วันนี้เมิ่งซื่อไม่ได้มา เด็กเล็กๆ ทั้งหลายก็ไม่ได้มา ในจวนเงียบเหงาไปไม่น้อย ทั้งสองตรงเข้าไปพักผ่อนในห้องของตนทันที
ช่วงนี้เหวินเปียวร้อนใจอย่างมาก ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด แต่เป็นเพราะครอบครัวทั้งสี่คนของตนว่างสบายทุกวัน ไม่มีอะไรทำ ในฐานะบ่าวรับใช้ นี่เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ แม้ว่าเจ้านายจะไม่ว่าอะไร แต่ในใจของเขาก็รู้สึกผิดต่อเจ้านาย ไปขอร้องให้เมิ่งฉีหางานให้พวกเขาทำหลายครั้ง เมิ่งฉีรู้เรื่องที่เหวินซงและเหวินเหลียนจะหมั้นหมาย จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าเนี้ย วางใจเถิด ไปเตรียมสิ่งของ เหวินซงและเหวินเหลียนอายุไม่น้อยแล้ว คิดว่าโยวเอ๋อร์น่าจะให้พวกเขาแต่งงานเร็วๆ นี้ เจ้าไปเตรียมของให้พร้อมเถิด”
หลายวันผ่านไป ของที่ควรซื้อก็ซื้อแล้ว เจ้านายก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เหวินเปียวเริ่มทนไม่ไหว อยากจะไปถามที่จวน แต่ก็ถูกภรรยาของตนห้ามไว้ “ถึงเวลานายหญิงก็จะให้คนมาแจ้งพวกเราเอง เจ้าอย่าไปรบกวนเลย”
“แต่จะให้พวกข้าทั้งสี่ว่างสบายเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่ เจ้าดูสิมีคนงานจวนใดที่ว่างเหมือนบ่าวรับใช้ของเจ้าบ้าง”
ครอบครัวเหวินเปียวเงียบไปสักพัก กล่าวว่า “ข้าไปถามนายหญิง ว่ามีงานเย็บปักถักร้อยอะไรให้พวกข้าทำหรือไม่ เจ้าพาซงเอ๋อร์ไปช่วยงานที่นอกเมืองเถิด”
เรื่องรับสมัครยากลำบากกว่าที่คิดเยอะ เพราะว่าคนเยอะเกินไป เมิ่งฉีและเมิ่งอี้ใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ จึงจะรับสมัครหมด เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด มีใจแต่ไม่มีแรง ร้อนในในปาก เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งสองที่มาส่งสมุดรายชื่อ ก็ตกใจอย่างมาก “พี่รอง พี่เมิ่งอี้ พวกพี่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากยังมีอีกหนึ่งวัน พวกข้าต้องตายแน่ๆ” แม้ว่าจะเหนื่อยล้ามากเพียงใด แต่เมิ่งฉีก็ยังอารมณ์ดีพูดเล่น
สั่งให้คนยกน้ำชามาให้ทั้งสอง ให้พวกเขานั่งลงพักผ่อนก่อน
เมิ่งอี้ชี้ไปที่สมุดรายชื่อ “ทั้งหมดนี้คือคนที่พวกข้าเลือก เจ้าดูก่อน”
“ไม่ต้อง พี่กับพี่รองตัดสินใจก็พอแล้ว ต่อไปเรื่องสาขาก็ยกให้พวกพี่เลย ข้าจะไม่ยุ่งอีกเจ้าค่ะ”
เมิ่งยี่พยักหน้า “สำหรับคนที่ไม่ได้งาน พวกข้าให้ทุกคนคนละสิบตำลึงตามที่เจ้าบอก ให้พวกเขากลับไป แต่ว่า ยังมีหลายคนที่ให้วิธีติดต่อไว้ บอกว่าหากคนไม่พอ ค่อยหาพวกเขา พวกข้าเห็นว่าประวัติของพวกเขาก็ดี จึงเก็บไว้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องเปิดร้านอีก พี่กับพี่รองปรึกษากันเถิด ส่วนผู้จัดการทุกคนที่ได้งาน พวกพี่ต้องฝึกอบรมให้ดี ให้ทันก่อนที่จะเก็บเกี่ยวมันฝรั่งฤดูที่สอง พวกเราจะต้องเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งทั้งหมดให้ได้”
ทั้งสองเห็นด้วย พักผ่อนสักพัก ก็เดินออกจากจวนด้วยท่าทางเอนไปมา แล้วกลับไปพักผ่อนที่จวนของตัวเอง
กินอาหารเย็นเสร็จ ก็เหมือนปกติ หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนเดินรอบๆ จวนเป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเวลาสองก้านธูปแล้ว ก็กลับไปที่ห้อง หลังจากล้างตัวเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วนอนลงไปด้านในเตียง
หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้นอนลง แต่กลับก้มตัวลงไปที่ส่วนบนของเมิ่งเชี่ยนโยว ด้วยสายตาที่เป็นประกายระยิบระยับ ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “โยวเอ๋อร์ รู้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระพริบตาปริบๆ แล้วก็กระพริบตาปริบๆ ส่ายหัวไปมา “ไม่รู้”
รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งกว้างมากขึ้น เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจนตัวสั่นว่า “วันสุดท้ายของเดือนที่สาม”