เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่ หวงฝู่อี้เซวียนออกหน้าให้หลินจ้งกักบริเวณหลินฉิงเหวินที่สติแตกให้หวงฝู่อวี้ฟังทั้งหมด
หวงฝู่อวี้ฟังจบ อึ้งไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่า หลินฉงเหวินจะมีจุดจบเช่นนี้
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ที่ข้าให้เจ้าไปจวนหลินก็เพื่ออยากจะให้หลินจ้งบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าเอง คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขายังปิดบังอยู่อีก อย่างนี้ ข้าก็คงต้องบอกเจ้าเอง แต่ว่าปิดบังกันอยู่เช่นนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา ช้าเร็วอย่างไร วันหนึ่งคุณหนูหลินก็จะต้องรู้เรื่องนี้ หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้นางจะโกรธจะแค้นอย่างไร พวกเราก็ไม่อาจรู้ได้”
“นางไม่เป็นเช่นนั้นหรอก” หวงฝู่อวี้พูดกับตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “เรื่องยังไม่ถึงขั้นนั้น นางจะมีท่าทีเช่นไรเราก็ไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางก็อยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าจะทำเรื่องให้นางเสียใจมิได้”
หวงฝู่อวี้พยักหน้าอย่างงุนงง นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดไม่จา ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับคำพูดเมื่อครู่
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าทำบัญชี ไม่สนใจเขาอีก
ในห้องเงียบสนิท ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หวงฝู่อวี้ยืนขึ้น “พี่สะใภ้ ข้าขอตัวกลับก่อน”
“คิดดีแล้วหรือว่าจะบอกแม่นางหลินอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถามทั้งไม่ได้เงยหน้าขึ้น
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า “ยังขอรับ ข้ากลับไปคิดอีกที ว่าจะบอกนางอย่างไรไม่ให้นางตกใจ”
นางถอนหายใจออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น “ที่หลินจ้งไม่พูดออกไป ก็เพราะหากคนอื่นรู้เข้า ชีวิตของคนในจวนหลินจะมีอันตราย หากวันนี้เจ้ารับบทตัวร้าย เจ้าจะต้องสังเกตท่าทางของคุณหนูหลินอย่างดี อย่าให้นางทำเรื่องที่เป็นภัยต่อจวนอ๋องและจวนหลินได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หวงฝู่อวี้ตอบรับ ก้าวเท้าเดินออกไป
ลังเลมาทั้งวัน คิดมาตลอดวัน หวงฝู่อวี้ก็ยังไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดอย่างไร
หมอเจียงกลับหอบของกำนัลมากมายมาแสดงความขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องที่หวงฝู่อวี้ช่วยแม่นางเจียงเอาไว้ เมื่อได้ยินว่าหมอเจียงขอพบ จึงคิดว่าจะถามเรื่องโรคหายากที่เขาจนปัญญารักษา จึงได้มาขอความเห็นจากนาง จึงได้สั่งด้วยรอยยิ้มว่า “พาเขาไปห้องรับรองแขกเถิด อีกครู่ข้าจะตามไป”
พ่อบ้านพาเขามายังห้องรับรองแขก หลังจากบ่าวรับใช้ทั้งหกนำของกำนัลที่หอบหิ้วมาวางลงบนโต๊ะแล้ว ก็โบกมือสั่งให้พวกเขาออกไป ส่วนตนนั่งรออยู่ในห้องรับรองแขก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา เห็นของกำนัลเหล่านั้น จึงได้หัวเราะ “ของกำนัลเยอะเพียงนี้ เห็นทีโรคนี้คงจะรักษายากจริงๆ”
หมอเจียงก้มคารวะ “ครานี้ข้าน้อยมิได้มาถามเรื่องอาการป่วยขอรับ แต่มาแสดงความขอบคุณที่คุณชายรองได้ช่วยชีวิตหลานสาวของข้าเอาไว้”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไป “ช่วยชีวิตของหลานสาวท่านเอาไว้? เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่ได้เคยได้ยินหวงฝู่อวี้พูดถึงมาก่อน”
“เมื่อวานเจียงจิ่นหลานสาวของข้าเดินทางโดยรถม้า แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดม้าจึงเกิดพยศขึ้น ม้าตัวนั้นกำลังจะเอาชีวิตคนไปอยู่แล้วเชียว แต่คุณชายรองไม่กลัวอันตราย ช่วยหลานสาวข้าไว้ได้ ข้าน้อยซาบซึ้งเหลือเกิน วันนี้จึงได้นำของกำนัลมาขอบคุณ”
เห็นที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นระหว่างทางที่หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนกำลังเดินทางไปจวนหลินเป็นแน่ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลังอวี้เอ๋อร์กลับมาแล้ว กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ก็คงเพราะไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร หมอเจียงอย่างเอาไปใส่ใจเลย คำขอบคุณข้ารับไว้แทนแล้ว ส่วนของกำนัลเหล่านี้ท่านเอากลับไปเถิด”
หมอเจียงโบกมือ “มิได้ มิได้ บุญคุณเพียงเล็กน้อยยังต้องตอบแทนอย่างยิ่งใหญ่ แล้วบุญคุณที่ช่วยชีวิต พวกเรายิ่งไม่รู้ว่าจะตอบแทนเช่นไร ข้ารู้ว่าจวนอ๋องมีทุกอย่างแล้ว แต่อย่างไร พวกเราก็หวังจะให้ซื่อจื่อเฟยรับของพวกนี้ไว้แทนคุณชายรองด้วย บอกว่าข้าขอขอบพระคุณที่เขาช่วยชีวิตหลานสาวข้าเอาไว้ ภายหน้า หากมีเรื่องเดือดร้อน ขอให้บอกข้า หากข้าพอจะช่วยได้ ข้าจะช่วยอย่างเต็มกำลัง”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว หากไม่รับของกำลังไว้ก็คงไม่เหมาะ เมิ่งเชียนโยวให้ชิงหลวนเรียนพ่อบ้านเข้ามา สั่งว่า “นี่คือของกำนัลที่หมอเจียงมอบให้คุณชายรองเพื่อเป็นการขอบคุณ เจ้าสั่งคนไปส่งให้ที่เรือนของพวกเขาที นอกจากนี้ ดูเหมือนเมื่อวานหลานสาวของหมอเจียงตกใจ เจ้าไปหาโสมร้อยปีที่ห้องเก็บสมบัติ มาให้หมอเจียงนำกลับไป หลานสาวหมอเจียงจะได้ใจสงบลง”
ของกำนัลที่ตนนำมา มีค่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของโสมร้อยปีด้วยซ้ำ หมอเจียงรีบโบกมือปฏิเสธ “ซื่อจื่อเฟย เช่นนี้ไม่ได้ขอรับ นี่ นี่ นี่…”
รีบเสียจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยิ้มพูดว่า “ทีแรกข้าจะเอายาให้เจ้าสองเม็ด แต่คิดว่าเวลาแบบนี้มอบยาให้คงไม่เหมาะสม โสมนี่คือของที่เราให้ตอบแทน หากเจ้าไม่รับไว้ ของกำนัลเหล่านี้เจ้าก็เอากลับไปเถิด”
เมื่อได้ยินคำว่ายา แววตาของหมอเจียงก็เป็นประกายขึ้นมา แต่เมื่อได้ยินประโยคด้านหลัง แววตาก็หม่นลงเช่นเดิม แอบเสียดายในใจ อย่างไรก็ต้องรับไว้ “ซื่อจื่อเฟย นี่ นี่ นี่…”
พูดจนลิ้นพันกันอีกรอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมบอกพ่อบ้านให้ทำตาม
พ่อบ้านเข้าใจดังนั้น จึงเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา สั่งให้พวกเขาเอาของกำนัลไปส่งให้หวงฝู่อวี้ ส่วนตนไปยังของเก็บสมบัติ เพื่อเลือกโสมด้วยตัวเอง
หลังจากหมอเจียงปฏิเสธต่างๆ นานา ก็ยังสู้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ จึงจำต้องรับโสมเอาไว้ กลับไปด้วยสีหน้าละอาย
บ่าวรับใช้หอบของกำนัลไปส่งที่เรือนหวงฝู่อวี้ แน่นอนว่าของเหล่านี้จะต้องมอบให้หลินหันเยียน
“นี่คือของที่หมอเจียงมอบให้คุณชายรองเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยชีวิตหลานสาวของเขาเอาไว้ ซื่อจื่อเฟยจึงได้สั่งให้พวกเรานำมามอบให้คุณชายรองขอรับ” หลินหันเยียนทำหน้าไม่เข้าใจ คนที่นำของมาจึงได้รีบอธิบาย
หลินหันเยียนเข้าใจทันที รับของไว้ สั่งให้บ่าวรับใช้กลับไป
นางมาจากจวนราชเลขา ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก มีของดีที่ไหนที่หลินหันเยียนไม่รู้จักบ้าง ตามหลักแล้วนางไม่สนใจของเหล่านี้หรอก แต่ว่านางเบื่อเหลือเกิน ตั้งแต่เล็กนางถูกฝึกวิชากับพี่ของท่านพ่อ ทำงานเย็บปักถักร้อยอย่างหญิงอื่นไม่เป็น อยู่ในจวนนี้ยังมีสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรื่องในจวนก็ไม่มีเรื่องใดที่นางจะต้องไปจัดการใส่ใจ วันๆ จึงได้แต่นั่งเหม่อ ไม่มีเรื่องอะไรจะทำ เมื่อเห็นกล่องสวยๆ งามๆ ตรงหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะแกะออกมาดู
เมื่อหวงฝู่อวี้จะกลับมา เห็นภายในห้องมีสภาพรกรุงรัง จึงขมวดคิ้ว ถามว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“พี่อวี้ ที่แท้หญิงสาวที่ท่านช่วยเมื่อวานเป็นหลานสาวของหมอเจียงนี่เอง ของพวกนี้ เป็นของที่พวกเขาให้ไว้เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านเจ้าค่ะ” จัดของกำนัลมาทั้งวัน นางอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย จึงได้พูดอย่างอารมณ์ดี
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้วมากกว่าเดิม กำลังจะอ้าปากต่อว่านาง แต่เมื่อเห็นสีหน้ายินดีของหลินหันเยียนแล้ว คำที่ต้องการต่อว่าก็ถูกกลืนเข้าไป พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีของที่เจ้าชอบหรือไม่”
หลินหันเยียนส่ายหน้า “ข้าก็เพียงแต่อยู่ว่างๆ จึงได้แกะกล่องพวกนี้ แต่ของข้างในข้าไม่สน ไม่ประณีตเลยสักนิด”
“อย่างนั้นก็ให้บ่าวรับใช้เอาเถิด ห้องนี้จะไม่มีทางเดินอยู่แล้ว”
หลินหันเยียนตอบรับ เรียกหงเอ๋อร์และสาวใช้อีกสองคนมาเก็บไป
สาวใช้สามคนเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ออกไป
หวงฝู่อวี้นั่งลงบนเก้าอี้ คิดหาคำพูดมาทั้งวัน กำลังจะพูดออกไป แต่เมื่อเห็นใบหน้ามีความสุขของหลินหันเยียนแล้ว จึงทอดถอนใจ ไม่กล้าพูดออกมา คิดในใจว่า รออีกสองสามวันเถิด นานๆ ทีจะได้เห็นนางมีความสุขเช่นนี้
คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงสองวันเท่านั้น ก็เกิดเรื่องขึ้น จนทำให้หลินหันเยียนเป็นบ้าขึ้นมาจนได้
วันนั้น หลังจากที่ทั้งสองออกจากจวนหลินแล้ว หลินจ้งไปหาพ่อบ้าน กำชับอย่างเด็ดขาดว่า ให้พ่อบ้านปิดปากบ่าวรับใช้ให้ดี อย่าให้ฮูหยินหลินผู้เป็นแม่รู้เรื่องที่หลินหันเยียนกลับจวนมาเด็ดขาด
พ่อบ้านรู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ พูดต่อหน้าบรรดาบ่าวรับใช้ที่เรียกมาว่า “เรื่องวันนี้ที่คุณหนูหลินกลับจวนมา ห้ามผู้ใดไปบอกฮูหยินหลินเด็ดขาด หากผู้ใดปากพล่อยล่ะก็ จะถูกโบยให้ตายตรงนั้นเลย”
บ่าวรับใช้ตอบรับด้วยความกล้าๆ กลัวๆ แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าแพร่ข่าวไป แต่ไม่มีใครคิดถึงว่า ตอนที่พ่อบ้านกำลังอบรมบ่าวรับใช้อยู่นั้น ฮูหยินหลินที่ออกจากเรือนมาเพราะมีธุระมาหาหลินจ้งได้ยินเข้าพอดี จึงกัดฟันกรอด คิดด้วยความโกรธว่า เจ้าคนไม่รักดี ที่แท้ไม่เพียงแต่จะกักบริเวณพ่อของตน กระทั่งแม่ก็ยังถูกกักบริเวณด้วยเช่นกัน ไม่ให้นางติดต่อกับโลกภายนอก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จึงได้โกรธจนลุกเป็นไฟ แผดเผาสติไปจนสิ้น อาศัยช่วงที่คนในจวนเผลอ แอบกระโดดกำแพงหนีออกไปด้านนอก หารถม้าคันหนึ่ง มอบปิ่นเงินที่ปักบนหัวให้กับคนรถ บอกให้ไปส่งนางที่จวนอ๋อง
คนรถเป็นคนใช้แรงงาน วันธรรมดาอย่างดีก็ได้แค่เพียงเหรียญอีแปะเท่านั้น ไม่เคยเห็นปิ่นเงินหนักสองตำลึงเช่นนี้มาก่อน จึงดีใจเป็นอย่างมาก เชิญฮูหยินหลินขึ้นรถ จากนั้นก็รีบตรงไปยังจวนอ๋องทันที
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวน ก็หยุดรถม้า เมื่อฮูหยินหลินลงรถไปแล้วกลัวว่านางจะเปลี่ยนใจ จึงได้รีบหันรถกลับไปทันที
นายประตูจวนอ๋องจำฮูหยินหลินได้ เมื่อเห็นนางมาด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดรุ่ย จึงได้รีบเข้าไปถามว่า “ฮูหยิน นี่มันอะไรกัน”
“เยียนเอ๋อร์อยู่ในจวนหรือไม่” ฮูหยินถามราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของเขาอย่างนั้น
“คุณหนูหลินอยู่ขอรับ แต่ว่าคุณชายรองออกไปแล้ว ยังไม่กลับ” นายประตูตอบอย่างนอบน้อม
สิ้นเสียงเขา ฮูหยินก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในทันที
นายประตูยื่นมือไปห้าม “ฮูหยิน รอก่อนขอรับ รอให้ข้าน้อยไปรายงานเสียก่อน แล้วท่านค่อยเข้าไป”
ฮูหยินหลินทำเสียงไม่พอใจ วางมาดของฮูหยินจวนราชเลขา ถามอย่างมีอำนาจว่า “ทำไมหรือ ข้ามาจวนอ๋องต้องไปรายงานตั้งแต่เมื่อใดกัน”
แต่ก่อนฮูหยินหลินมักจะพาคุณหนูหลินมาที่นี่บ่อยๆ ไม่ต้องรายงาน ก็สามารถเข้าไปด้านในได้ทันที นายประตูรู้ดี จึงได้ลังเลเล็กน้อย ตอนนี้เอง ทำให้ฮูหยินหลินได้โอกาส แอบลอดเข้าไปในจวนด้วยความรวดเร็ว
นายประตูตกใจ พร้อมกับจะเข้าไปห้าม แต่ว่าไม่ทันเสียแล้ว ฮูหยินหลินจัดแจงเสื้อผ้าตัวเอง เดินนวยนาดตรงไปยังเรือนของหวงฝู่อวี้
นายประตูก็ตามเข้าไป รายงานพ่อบ้าน
พ่อบ้านได้ยินดังนั้น ก็รีบมารายงานให้เมิ่งเชี่ยนโยวทราบ “ซื่อจื่อเฟย ฮูหยินหลินมาขอรับ ไปเรือนของคุณชายรองแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “มากันกี่คน”
“มีเพียงฮูหยินมาผู้เดียวขอรับ”
คิดเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ปล่อยนางไปเถิด เจ้าส่งคนไปจับตาดูไว้ อย่าให้พวกนางวางแผนทำอะไรได้”
พ่อบ้านตอบรับ ขอตัวออกไป จากนั้นก็แอบส่งคนไปเฝ้าไว้ที่หน้าประตูเรือนของหวงฝู่อวี้ สั่งพวกเขาว่า “หากพบว่ามีอะไรผิดปกติ รีบมารายงานข้าทันที”
ฮูหยินหลินดินตรงมาที่เรือนของหวงฝู่อวี้ ในลานของเรือนเงียบสงัด หน้าเรือนมีเพียงหงเอ๋อร์เฝ้าอยู่ผู้เดียว เมื่อเห็นว่าฮูหยินหลินเข้ามา จึงเบิกตาโตด้วยความตกใจ พูดด้วยความดีใจว่า “ฮูหยิน ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”
หลินหันเยียนที่กำลังนั่งพิงเบาะอยู่ในห้องได้ยินเสียงหงเอ๋อร์เข้า จึงรีบวิ่งออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใส่รองเท้า ใส่เพียงถุงเท้าเดินออกมาเปิดม่าน พุ่งเข้าใส่อ้อมอกของฮูหยินหลิน “ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็มาเสียที”
ฮูหยินตบหลังหลินหันเยียนเบาๆ ปลอบใจนาง แต่แววตากลับมองไปรอบๆ พบว่าในเรือนไม่มีใครอื่นอยู่จริงๆ จึงได้โล่งใจ ยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ โตจนป่านนี้แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้ รีบกลับไปเร็ว ไปใส่รองเท้าให้ดี เดี๋ยวจะป่วยเอาได้”
มือที่หลินหันเยียนกอดฮูหยินหลินเอาไว้เปลี่ยนเป็นจูงมือนางแทน ยิ้มพร้อมจูงนางเข้าไปด้านใน สั่งหงเอ๋อร์ให้ไปนำชามาให้ จากนั้นตนจึงได้เดินไปใส่รองเท้าข้างๆ เบาะ ถามว่า “วันก่อนข้ากับพี่อวี้กลับไปที่จวน พี่ใหญ่และพี่สะใภ้บอกว่าท่านแม่ไม่ค่อยสบาย เพิ่งจะดื่มยาไป พวกเราจึงไม่สะดวกจะไปรบกวน วันนี้เห็นสีหน้าของท่านแม่สดใสขึ้น เห็นทีจะหายดีแล้ว”
นางไม่พูดก็ยังดีอยู่ แต่เมื่อพูดขึ้นมาก็ทำให้ไฟโกรธลุกขึ้นอีกครั้ง ทำเสียงไม่พอใจ “อย่าพูดถึงเจ้าคนไม่รักดีนั้นต่อหน้าข้าเลย ตั้งแต่เขาดูแลจวนหลินเป็นต้นมา ก็ยิ่งไม่สนใจแม่คนนี้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหันเยียนหายไป ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ท่านแม่ พี่ใหญ่ทำอะไรผิดหรือ ท่านจึงได้โมโหเช่นนี้”
ฮูหยินหลินโกรธมากกว่าเดิม เบิกตาโต ราวกับว่าจะถลกหนังของหลินจ้งออกมาอย่างนั้น “เจ้าไม่รักดีคนนี้ เชื่อฟังคำของหวงฝู่อี้เซวียน กักบริเวณพ่อของเจ้า แล้วยังคิดจะขังแม่ด้วยอีกคนด้วย หากไม่ใช่ว่าข้าแอบได้ยินที่พ่อบ้านพูด ข้าก็คงไม่รู้เรื่องที่เจ้ากลับจวนมา”
ดพล้ง! แก้วชาในมือหลินหันเยียนร่วงลงกับพื้น ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่น ร่างสั่นหลายครั้ง จึงได้ถามด้วยเสียงสั่นว่า “ท่านแม่ ที่ท่านพูดเป็นจริงหรือ”
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 367 กระโดดข้ามกำแพงหนีไป
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ
ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น!
นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ…
นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!?
…
“น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด
“น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก
“ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”
Recommended Series
Comment
Facebook Comment