ร่างกายของหลินหันเยียนตกลงสู่พื้นราวกับผ้าขี้ริ้ว ที่ปากและรูจมูกมีเลือดไหลออกมา เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ
“คุณหนูเจ้าคะ” หงเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความตกใจ กำลังวิ่งขึ้นไปพยุงนางขึ้นมา
“ใครก็ห้ามยุ่งกับนาง มิเช่นนั้นข้าจะขายทิ้งเสีย” หลินจ้งเบิกตาโพลง ดวงตาแดงก่ำ ตวาดออกมา
หงเอ๋อร์เลยหยุด ไม่กล้าเดินเข้าไป ได้แต่มองหลินหันเยียนด้วยสีหน้าเป็นห่วง
หลินหันเยียนเจ็บปวดไปทั้งตัวจนต้องกระอักเลือดออกมา เบิกตาโพลงด้วยความไม่เชื่อ มองไปที่หลินจ้งด้วยความทรมาน แล้วถามว่า “พี่ พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านทำอย่างนี้กับข้าได้เยี่ยงไร”
“เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้ท่านพ่อควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้าจึงให้เขากินยาระงับ วันนี้เจ้าไปพากูกูผู้ดูแลมาที่นี่ด้วยตนเอง แม้ว่าท่านพ่อจะได้ปล่อยตัวออกมา เขาก็ไม่สามารถรับราชการได้อีกต่อไป ไม่เพียงเท่านี้ พวกเราตระกูลหลินยังจะโดนโทษข้อหาฉ้อฉลหลอกลวงประมุขอีกด้วย เจ้ารอก่อนเถอะ รอวันที่จวนตระกูลหลินแห่งนี้ได้ล่มสลาย รอให้คุณชายรองของเจ้าตัดขาดกับเจ้าเสียก่อน รอวันที่ผู้คนในเมืองหลวงมาเหยียบย่ำเถิด”
หลินหันเยียนไอแล้วมีเลือดออกมา ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรๆ ไม่สิ ไม่ พี่ใหญ่ ท่านกำลังหลอกข้าใช่หรือไม่”
หลินจ้งไม่สนใจนางอีกต่อไป แล้วออกคำสั่ง “เปิดประตูใหญ่ออก รอต้อนรับคนจากราชสำนักมา”
บ่าวรับใช้ด้านหลังตอบรับ
หลินหันเยียนยังคงตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อครู่ที่หลินจ้งโกรธแล้วถีบนางนั้น ราวกับใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชีวิตนางอย่างใดอย่างนั้น
หลินหันเยียนทั้งตกใจทั้งกลัว สุดท้ายทนไม่ไหวเลยสลบล้มลงนอนลงไปกับพื้น
หลินจ้งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เลยก้มไปดูเห็นนางสลบไป จึงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พาคุณหนูกลับจวนไป นับแต่นี้ต่อไป พวกเราตระกูลหลินและนางตัดขาดซึ่งกันและกัน”
บ่าวรับใช้ตอบรับ กำลังจะไปที่จวนเพื่อตามรถม้ากลับมา
หงเอ๋อร์พูดเสียงตะกุกตะกัก “นาย นายท่านเจ้าคะ คุณหนู เกรงว่าคุณหนูจะกลับไปไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
หลินจ้งขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองนาง แล้วพูดด้วยเสียงดุดันว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
หงเอ๋อร์ตกใจจนคุกเข่า ฟุบ ลงไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณ คุณหนูทำเรื่องที่คุณชายรองรับไม่ได้ เมื่อหลายวันก่อนคุณชายรองจะไล่คุณหนูออกจากจวนอยู่แล้วค่ะ วันนี้เป็นเพราะคุณหนูหลอกให้คุณชายรองช่วยให้ได้พบกูกูผู้ดูแล ดังนั้น…”
หลินจ้งมองไปที่นาง แล้วมองไปที่หลินหันเยียนที่นอนกองอยู่ที่พื้น โกรธจนหัวเราะออกมาว่า “ดี ดีมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทั้งครอบครัวก็รอการลงโทษจากฮ่องเต้ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเถิด”
พูดจบ ก็เดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
หงเอ๋อร์โล่งอก คลานเข้าไปอยากจะพยุงหลินหันเยียนขึ้นมา
แล้วเสียงอันเย็นชาของหลินจ้งก็ดังขึ้น “ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งงั้นรึ”
หงเอ๋อร์รีบเก็บมือของตนเข้ามาโดยทันที
“ให้นางอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าตาย ก็สมควร ถ้ารอด ก็ให้นางลุกขึ้นมาเอง ถ้าหากใครยังจะยุ่งกับนางอีก ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ” หลินจ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ดุดัน รังสีแห่งความเป็นแม่ทัพของเขานั้นพุ่งออกมา
หงเอ๋อร์ใจสั่น รีบคลานออกไปโดยทันที อยู่ห่างจากหลินหันเยียน แต่ก็ยังคุกเข่าอยู่กับพื้น เฝ้านางด้วยสีหน้าเป็นห่วง
คนรถได้ส่งกูกูผู้ดูแลกลับวังไป เห็นว่านางลงจากรถม้าด้วยความกลัดกลุ้ม แล้วซอยเท้าเดินเข้าไปด้านในวังอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ จึงรีบควบม้ากลับไปที่จวนอ๋อง อยากเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไปรายงานให้กับหวงฝู่อวี้
แต่หวงฝู่อวี้ไปตรวจตราร้านค้าไม่ได้กลับมา
คนรถเลยไม่รู้จะทำเช่นไรดี ได้แต่เดินไปเดินมาด้วยความรีบร้อน
กูกูผู้ดูแลกลับมา ก็รีบร้อนเดินเข้าไปที่ตำหนักของไทเฮา หยุดฝีเท้า จัดเครื่องแต่งกายของตนให้เรียบร้อย ตรวจสอบดูว่ามีตรงไหนไม่เรียบร้อยหรือไม่ พร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำหน้าทำตาให้ดี แล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
ไทเฮาที่กำลังนั่งพักสายตาอยู่ที่เบาะนั่ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็ลืมตาขึ้น แล้วถามว่า “ชิงเยียนกลับมาแล้วงั้นรึ”
นางกำนัลผู้ติดตามตอบรับ “ทูลไทเฮา กูกูผู้ดูแลกลับมาแล้วเพคะ”
“ให้นางเข้ามา” เมื่อครู่กูกูผู้ดูแลได้ขอตัวลา รายงานว่าหวงฝู่อวี้มีเรื่องจะพบนาง บอกว่าประมาณหนึ่งก้านธูปก็จะกลับ แต่ตอนนี้ผ่านไปสองชั่วยามแล้วถึงกลับมา ไทเฮากลุ้มใจเป็นอย่างมาก ว่าเหตุใดถึงได้ถึงกลับมาเอาแต่ป่านนี้
“เพคะ” นางกำนัลตอบรับ แล้วเดินออกไปเรียกกูกูผู้ดูแลเข้ามา
เมื่อกูกูผู้ดูแลเข้ามา รีบขอประทานอภัยโทษ “ขออภัยไทเฮาเพคะ ที่บ่าวกลับมาช้า”
ไทเฮาโบกมือ “ไม่เป็นไร”
กูกูผู้ดูแลยืนขึ้น
“วันนี้อวี้เอ๋อร์มีเรื่องอันใดงั้นรึ” ไทเฮาทรงตรัสถาม
กูกูผู้ดูแลไม่ได้ตอบโดยทันที แล้วกลับขอร้องว่า “ไทเฮาเพคะ ให้ทุกคนออกไปก่อนได้หรือไม่ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ไม่สามารถแพร่งพรายได้เพคะ”
เมื่อได้ยินนางพูดดังนี้ ไทเฮามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที นั่งหลังตรงโบกมือบอกให้ทุกคนออกไป “ออกไปให้ไกลๆ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด”
คนทั้งหมดในตำหนักก็ตอบรับ แล้วออกไปทั้งหมด
“ว่ามาเถอะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
กูกูผู้ดูแลนำคำพูดที่ฮูหยินหลินเล่าบอกกับไทเฮาโดยไม่ตกหล่นเลยสักนิด
ไทเฮาตกใจจนลุกขึ้น “มีเรื่องแบบนี้ด้วยงั้นรึ เจ้าหลินจ้งเหตุใดจึงบังอาจได้ถึงเพียงนี้”
นี่ก็เป็นเรื่องที่กูกูผู้ดูแลคิดมาตลอดทางเช่นกัน ตามหลักแล้ว แม้หลินฉงเหวินจะโดนลดตำแหน่งลงสามขั้น แต่ก็ยังมีตำแหน่งที่ใหญ่กว่าหลินจ้ง อีกอย่าง หลายปีมานี้หลินฉงเหวินดูแลกรมทหารได้ไม่เลว ที่ฮ่องเต้ลงโทษเขาก็เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับขุนนางคนอื่นๆ ไม่แน่ว่าผ่านไปสักสามหรือห้าเดือน อาจจะหาโอกาสคืนตำแหน่งให้กับเขาก็ได้ แล้วเหตุใดหลินจ้งถึงได้กุมตัวหลินฉงเหวินล่ะ
แต่ว่า ในเมื่อตอนนี้ได้ทูลถวายไทเฮาแล้ว กูกูผู้ดูแลก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ส่ายหน้าแล้วจึงบอกว่า “ตอนที่หม่อมฉันไปจวนหลิน ไม่ได้พบหลินจ้ง เลยไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไรบ้าง แต่ว่าเรื่องที่เขากุมตัวหลินฉงเหวินและฮูหยินหลินนั้นเป็นเรื่องจริงเพคะ”
“เช่นนี้เองรึ ในเมืองหลวงแห่งนี้ ภายใต้การปกครองขององค์ฮ่องเต้ ได้เกิดเรื่องเลวทรามต่ำช้าแบบนี้ขึ้น ถ้าหากว่าไม่ลงโทษให้หลาบจำ แล้วแพร่งพรายออกไป เกรงว่าราชนิกุลอย่างพวกเราคงต้องขายหน้าเป็นแน่”
กูกูผู้ดูแลไม่ได้พูดอะไร
“ผู้ดูแล!” ไทเฮาออกคำสั่งไปด้านนอก
ขันทีผู้ดูแลตอบรับแล้วเดินเข้ามา “เจ้าไปทูลรายงานฮ่องเต้ บอกให้เขามาเสวยพระกายาหารที่ตำหนักนี้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา”
หลังจากที่ขันทีผู้ดูแลตอบรับ รีบรุดมาที่ห้องทรงพระอักษร แล้วนำคำพูดของไทเฮาบอกกับหัวหน้าผู้ดูแล
หัวหน้าขันทีพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปด้านใน โค้งคำนับแล้วถวายรายงานกับฮ่องเต้อย่างเบาๆ
ไม่ได้ไปเสวยพระกายาหารที่ตำหนักของไทเฮานานแล้ว ฮ่องเต้จึงตอบรับ
ไทเฮาได้ยินดังนั้น จึงออกคำสั่ง ให้เตรียมสำรับที่ฮ่องเต้ทรงโปรด
ทางนี้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว รอฮ่องเต้เสด็จ
จวนอ๋องทางนั้น หวงฝู่อวี้ไม่ได้กลับมาทานข้าวที่จวน คนรถก็ยิ่งร้อนใจ ในขณะที่ไม่รู้จะทำเช่นไร เลยขับรถม้าไปตามหาตามร้าน หวังว่าจะหาเขาเจอ
ขณะที่หลินจ้งกำลังโกรธ เลยไปที่เรือนของฮูหยินหลิน
เมื่อเข้าไป เห็นฮูหยินหลินมองมาที่เขาด้วยสายตาได้ใจและร้ายกาจ
หลินจ้งเดินเข้าไป โค้งคำนับ “ท่านแม่”
“อย่าเรียกข้าว่าแม่ ข้าไม่มีลูกเยี่ยงเจ้า” ฮูหยินหลินยืดอก กัดฟันพูด
หลินจ้งยืนตรง เงยหน้าขึ้น แล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “ท่านแม่ วันนี้ลูกเกรงว่าจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้มาเยี่ยมท่าน ต่อจากนี้ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด ก็ขอให้ท่านดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี ดูแลท่านพ่อให้ดีด้วยขอรับ”
ฮูหยินหลินชะงักไป
แล้วหลินจ้งก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“จ้ง……” ฮูหยินหลินพูดยังไม่ทันจบ หลินจ้งก็เดินออกไปด้านนอกเสียแล้ว
ฮูหยินหลินชะงักยืนอยู่กับที่ ในใจมีความกระวนกระวายพิลึก
สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินหน้าซีดเผือด รออยู่ที่เรือนของตนด้วยกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นหลินจ้งเดินเข้ามา ก็รีบออกไปหาทันที “ท่านพี่… …”
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงเสียเหลือเกิน ภรรยาของเขาผอมซูบลงไปมาก หลินจ้งก็รู้สึกผิดมิใช่น้อย ยื่นมือออกมา ลูบลงไปที่หัวของนาง แล้วบอกว่า “หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า เจ้าไม่ต้องอยู่ที่นี่เพื่อรองรับอารมณ์ท่านแม่หรอก พาหลินเอ๋อร์กลับไปที่บ้านแม่ยาย ข้าจะสั่งให้พ่อบ้านเก็บเงินเอาไว้ให้พวกเจ้าสองแม่ลูก พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลกับครึ่งชีวิตที่เหลือ”
ภรรยาหลินจ้งน้ำตาไหลนองหน้า ส่ายหน้า “ไม่ ท่านพี่ ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร”
หลินจ้งถอนหายใจออกมา บอกว่า “ข้าภูมิใจในตัวท่านพ่อมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพราะเขาต่อสู้มาตั้งแต่ตัวเปล่า จนกระทั่งได้ตำแหน่งราชเลขากรมทหาร แต่ข้านั้นไร้ความสามารถ ข้าเคยคิดอาศัยบารมีของท่านพ่อ มีชีวิตที่ดีไปตลอด แต่ชะตาฟ้าหรือจะสู้มนุษย์ลิขิต ท่านพ่อ ท่านแม่ เห็นแก่ตัวเกินไป เลยทำตนเองตกต่ำจนถึงเพียงนี้ ข้าไร้ความสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ ตอนนี้ก็ทำได้แต่เพียงมองตระกูลหลินล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาของข้าเอง”
“ท่านพี่ พวกเราสามารถไปขอร้องซื่อจื่อได้ เขาจะต้องช่วยพวกเราอย่างแน่นอน” สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินพูดไปสะอื้นไป
หลินจ้งส่ายหน้า “แม้ว่าจะขอร้องซื่อจื่อให้ช่วยได้ก็เถอะ ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องเล็กต่างก็อยากจะทำลายตระกูลหลิน มีเพียงเจ้ากับข้าสองคนมันเหนื่อยเกินไป คิดเสียว่าครั้งนี้พวกเราทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริงเถอะ นับแต่นี้เป็นต้นไป ในเมืองหลวงจะไม่มีจวนหลินอีก และข้าก็จะหายไปต่อหน้าพวกเขาด้วย”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินร้องไห้โฮออกมาด้วยความเจ็บปวด
หลินจ้งกลับนิ่งสงบ แล้วตบลงไปที่บ่าของนางเบาๆ “หลายวันที่ผ่านมา ข้าเหนื่อยมามากแล้ว แบบนี้น่ะดีแล้ว ไม่ว่าฮ่องเต้จะลงโทษเช่นไร ข้าก็ไม่ต้องมีชีวิตที่เป็นลูกอกตัญญูดังที่ผ่านมาอีกแล้ว”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินก็ร้องไห้ออกมาอีก
ในพระราชวัง หลังจากฮ่องเต้เสวยพระกายาหารกับไทเฮาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนไปนั่งที่ตำหนักของไทเฮา แล้วพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในวัง แล้วไทเฮาก็บอกเรื่องจวนหลินให้กับฮ่องเต้ได้รับทราบ
หลังจากที่ฮ่องเต้ฟังแล้วแปลกใจ แต่ไม่ได้มีทีท่าแตกตื่นดังเช่นไทเฮา ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เสด็จแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ”
“จริงแท้แน่นอน วันนี้หลี่ชิงเยียนไปสืบเรื่องนี้ที่จวนหลินด้วยตนเอง” พูดจบ ก็เรียกกูกูผู้ดูแลให้เข้ามาตอบ
กูกูผู้ดูแลก็นำเรื่องราวของวันนี้มากราบทูลแด่ฮ่องเต้โดยไม่ตกหล่นเลยสักนิด
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วออกคำสั่ง “สั่งการราชองครักษ์ ให้ไปล้อมจวนหลินเอาไว้ ช่วยหลินฉงเหวินออกมา แล้วจับกุมตัวหลินจ้ง”
หัวหน้าขันทีตอบรับแล้วออกไป
ราชองครักษ์ได้ล้อมรอบจวนหลินเอาไว้หมดแล้ว หลังจากที่กุมตัวหลินจ้งที่ไม่มีการตอบโต้ใดๆ ออกไปแล้ว หลินหันเยียนที่นอนกองอยู่ที่ตรงหน้าประตูก็ฟื้นขึ้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าก็อ้ำอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก แล้วนอนกองลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ได้แต่มองหลินจ้งถูกราชองครักษ์กุมตัวออกไป ถึงมีสติ ว่าตนเองนั้นทำเรื่องโง่เขลาลงไป แล้วตะโกนเรียก “พี่ใหญ่เจ้าคะ” แล้วก็สลบลงไปอีกครั้ง
ฮ่องเต้เพียงสั่งให้กุมตัวหลินจ้งเอาไว้ ไม่ได้ให้ทำการอื่นใด ดังนั้นราชองครักษ์จึงมองข้ามนางไป ไม่ได้สนใจนาง
หงเอ๋อร์อยากพยุงนางขึ้นมา แต่นางก็ตกใจจนตัวสั่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขนาดแรงที่คลานเข้ามายังไม่มี ก็เลยได้แต่มองหลินหันเยียนล้มฟุบลงไปอีกครั้ง
ราชองครักษ์ก็เข้าไปหาหลินฉงเหวินที่กำลังนอนหลับจากที่กินยาระงับเข้าไป แล้วพยุงร่างของเขาออกมา
ฮูหยินหลินยังไม่รู้ว่าหลินจ้งโดนกุมตัวไปแล้ว เลยได้แต่ขอร้องราชองครักษ์อยู่ทางด้านหลังว่า “นายท่านของพวกเราร่างกายไม่ค่อยดีนัก พวกท่านเบามือหน่อยเถิด”
ราชองครักษ์ก็ไม่ฟังแต่อย่างใด
ฮูหยินหลินปวดใจยิ่งนัก อยากห้าม แต่ก็โดนราชองครักษ์ชักดาบออกมาหยุดไว้
ฮูหยินหลินมองหลินฉงเหวินที่โดนพาตัวไปต่อหน้าต่อตา ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี นี่ไม่เหมือนกับที่ตนคิดเอาไว้เลย ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้จะเชิญท่านพี่เข้าวังอย่างเกรงอกเกรงใจอย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดถึงได้ถูกหามไปราวกับจะนำไปประหารอย่างใดอย่างนั้น
ถึงตอนนี้ คนรถก็หาตัวหวงฝู่อวี้เจอ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
หวงฝู่อวี้ถึงได้ตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วหลินหันเยียนกำลังหลอกใช้ตน ความรู้สึกที่มีต่อนางได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้วจริงๆ
หวงฝู่อวี้ไม่กล้ารอช้า ออกคำสั่งกับเฮ่ออี “เจ้ากลับจวนไปเดี๋ยวนี้ บอกกับพี่ใหญ่เรื่องจวนหลิน เดี๋ยวข้าจะตามกลับไป”
เฮ่ออีตอบรับ แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
แล้วหวงฝู่อวี้ก็ตามหลังกลับมาที่จวนอ๋องอย่างติดๆ
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนฟังรายงานของเฮ่ออีแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ร่างกายมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาโดยรอบ บรรยากาศรอบข้างก็เต็มไปด้วยความกดดัน
เฮ่ออีรู้สึกได้ถึงความกดดันนั้น เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก ไม่กล้าขยับทำอะไรทั้งสิ้น
ทันใดนั้น รังสีอำมหิตนั้นก็หายไป หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มออกมาแล้วถามว่า “แล้วเจ้านายของเจ้าล่ะ”