ผู้บัญชาการโต้วนำเมิ่งเชิงมาถึงหน้าประตูเรือนตัวเอง พูดอย่างไรเมิ่งชิงก็ไม่ยอมเข้าไป
“รบกวนท่านให้คนพาท่านแม่ของข้าออกมาก็พอแล้ว ข้าจะไม่เข้าไปรบกวนในจวน ไว้วันอื่น หากมีเวลา ข้าจะมาขอบคุณท่านถึงจวน”
เมิ่งชิงในสภาพนี้นั้นโงนเงนไปมา มีความเป็นไปได้ที่จะล้มลงไปกองกับพื้นตลอดเวลา ผู้บัญชาการโต้วก็เป็นกังวลมาตลอดทาง เมื่อได้ยินแล้ว ก็กลืนน้ำลาย เอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “ท่านรองแม่ทัพเมิ่ง ต้องการให้ข้าน้อยช่วยเชิญท่านหมอมาดูอาการท่านหรือไม่ขอรับ”
เมิ่งชิงพยายามโบกมือ “ขอบคุณในความหวังดีของผู้บัญชาการโต้ว ไม่ต้องหรอก โปรดให้คนเรียกมารดาของข้าออกมาเถอะ”
เมื่อเห็นเขายืนหยัดเช่นนี้ ผู้บัญชาการเมิ่งก็เข้าไปในเรือน และเชิญคนออกมาด้วยตัวเอง
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไปหรือ”
เมื่อเห็นสภาพของเมิ่งชิง หลี่ชุ่ยฮวาก็ตื่นตระหนก รีบวิ่งไปสอบถามถึงหน้าอาชา
“บาดแผลภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอกท่านแม่ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล”
เอ่ยจบแล้ว หลังจากกำหมัดขอบคุณผู้บัญชาการโต้วแล้ว ก็ขึ้นม้านำหลี่ชุ่ยฮวาจากไป
ผู้บัญชาการโต้วที่มองแผ่นหลังของทั้งสองคน ก็รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ปกติ ครุ่นคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก จึงตัดใจไม่คิดอีก หมุนกายขึ้นหลังม้าควบกลับไปยังกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร เพิ่งจะไปได้ระยะทางหนึ่ง ก็นึกขึ้นมาได้กะทันหัน ตบศีรษะตัวเอง เขาพูดแล้วว่ามีที่ใดไม่ปกติ ท่านจอหงวนฝ่ายบู๊ผู้นี้ให้นางเดินตามม้าไปเช่นนี้ ต้องรู้ก่อนว่าขาของมารดาท่านยังได้รับบาดเจ็บอยู่นะ
“ชิงเอ๋อร์ พวกเราจะไปที่ใดกัน”
หลี่ชุ่ยฮวาที่เดินตามม้ามาได้ระยะทางหนึ่งก็ขาเจ็บเป็นอย่างมาก จึงหยุดเท้า หลังจากหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ ก็เอ่ยถามขึ้น
เมิ่งชิงที่ขี่ม้าหยุดชะงัก คว้าบังเหียนในมือเอาไว้แน่น ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าจะหาโรงเตี๊ยมให้ท่านแม่พักก่อน ข้าจะไปค่ายทหาร”
ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คน ตัวเองถูกทิ้งเอาไว้ในโรงเตี๊ยมผู้เดียว หลี่ชุ่ยฮวาคิดแล้วก็รู้สึกกลัว รีบคว้าบังเหียนเอาไว้แน่น พร้อมกับขอร้อง “ชิงเอ๋อร์ แม่ขอร้องเจ้า เจ้าอย่าทิ้งแม่เลยนะ เจ้าพาแม่ไปค่ายทหารด้วยเถอะนะ”
ค่ายทหารเป็นสถานที่สำคัญทางการทหาร จะยอมให้สตรีเข้าออกได้เช่นไร เมิ่งชิงคิดจะอธิบาย แต่เมื่อเห็นสายตาเฝ้ารอคอยของหลี่ชุ่ยฮวาแล้ว คำพูดที่มาถึงริมฝีปากก็ถูกกลืนกลับไป
“ท่านแม่ ข้าเพียงแค่ไปเอาของเล็กน้อยที่ค่ายทหาร ไม่นานก็กลับมาแล้ว”
หลี่ชุ่ยฮวาถึงได้วางใจ เดินโซเซอย่างเชื่องช้าตามอาชามาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ในละแวกนั้น
ในวันนี้เมิ่งชิงสวมเครื่องแต่งกายธรรมดา แม้ว่าจะขี่อาชาตัวใหญ่ แต่สภาพร่างกายก็ดูไม่เป็นผู้เป็นคน หลังจากจั่งกุ้ยของโรงเตี๊ยมเอ่ยทักทายเขาอย่างไม่กระตือรือร้นเท่าไรนักแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้น “นายท่าน ต้องการพักกี่ห้องขอรับ”
ตัวเองก็อายุสิบหกหนาวแล้ว ไม่สามารถนอนร่วมห้องกับหลี่ชุ่ยฮวาได้
“สองห้อง!”
“เช่นนั้นท่านต้องการห้องธรรมดาหรือห้องชั้นหนึ่งขอรับ”
จั่งกุ้ยถามต่อ
“ห้องชั้นหนึ่ง!”
ไม่ทันรอให้เมิ่งชิงเอ่ยปาก หลี่ชุ่ยฮวาก็แย่งพูดก่อนแล้ว เมื่อเอ่ยจบ ก็หันไปเอ่ยกับเมิ่งชิงว่า “ชิงเอ๋อร์ หลายปีมานี้แม่ลำบากและได้รับความทุกข์ทรมานมากเกินไปแล้ว ยามนี้ไม่ง่ายเลยที่แม่จะได้อยู่ด้วยกันกับเจ้า จึงอยากจะมีความสุขบ้าง ได้หรือไม่”
เมิ่งชิงกำหมัด
“จั่งกุ้ย ห้องชั้นหนึ่งห้องหนึ่งเท่าไรหรือ”
“ยี่สิบตำลึง สองห้องสี่สิบตำลึงขอรับ”
สี่สิบตำลึงหนึ่งคืนกับสภาพการณ์ในยามนี้ของตัวเอง เมิ่งชิงกำหมัดแน่นอีกครั้ง “เอาสองห้อง”
คาดไม่ถึงจริงๆว่า สองคนนี้จะต้องการพักในห้องชั้นหนึ่งสองห้อง จั่งกุ้ยดีใจมาก คำพูดก็ดังขึ้นไปอีก
“ได้ขอรับ ห้องชั้นหนึ่งสองห้อง ทั้งสองท่านตั้งใจจะพักกี่คืนขอรับ”
“พักสิบ…”
“ท่านแม่!”
คำพูดของหลี่ชุ่ยฮวากำลังจะหลุดออกจากปาก แต่ถูกเมิ่งชิงรีบร้อนตัดบทเสียก่อน “ยามพรุ่งข้าจะไปหาบ้านแล้ว พวกเราพักแค่คืนเดียวก่อนเถอะ”
“ถูกต้องๆ หาบ้าน หลังจากมีบ้านแล้ว พวกเราก็นับว่ามีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว”
หลี่ชุ่ยฮวาพยักหน้ายิ้มๆ ไม่พูดอะไรอีก
คืนเดียวก็ได้เช่นกัน จั่งกุ้ยยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกมา “สี่สิบตำลึง นายท่านจ่ายเงินก่อนขอรับ”
เงินที่อยู่กับตัวล้วนมอบให้ผู้บัญชาการโต้วหมดแล้ว ตอนที่ออกมา ก็ไม่ได้เอากลับมาสักตำลึงเดียว เมิ่งชิงจะยังมีเงินได้เช่นไร เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าก็แดงก่ำ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “จั่งกุ้ย พวกเราสามารถพักก่อนได้หรือไม่ อีกครู่ข้าจะกลับไปนำเงินมามอบให้ท่าน”
รอยยิ้มบนใบหน้าจั่งกุ้ยเลือนหายไป แคะหูตัวเอง เขยิบเข้าไปใกล้เขาเล็กน้อย จงใจเอ่ยถามเสียงดังว่า “นายท่าน ท่านพูดว่าอะไรนะขอรับ ข้าได้ยินไม่ชัดเท่าไร”
เมิ่งชิงหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม หลายปีมานี้ เขาเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เสียที่ไหนกัน
เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร จั่งกุ้ยก็หัวเราะพรืด ยืดตัวตรง
“ข้าเคยได้ยินหลอกกินดื่ม แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีหลอกเพื่อขออาศัยด้วย ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่า ที่นี่คือเมืองหลวง ที่อยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์ ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมาก่อเรื่องวุ่นวายได้ตามอำเภอใจ ระวังข้าจะเรียกคนของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครมาจับเจ้าไปเข้าคุก”
คำพูดนี้ของเขาไม่น่าฟังเป็นอย่างมาก ทั้งยังเอ่ยพูดเสียงดัง ทำให้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมพากันหันมามองทางนี้ และชี้ไม้ชี้มือ วิพากษ์วิจารณ์พวกเขาสองคน
หลี่ชุ่ยฮวาไม่ยินยอม “จั่งกุ้ย เหตุใดคำพูดของเจ้าถึงได้ไม่น่าฟังเช่นนี้ เจ้ารู้ไหมว่าบุตรชายของข้าคือใคร ระวังว่าพูดออกมาแล้วเจ้าจะตกใจตาย!”
“โอ้ เช่นนั้นข้าก็กลัวจริงๆ ไม่สู้เจ้าลองพูดดูสิว่า บุตรชายของเจ้าคือใครกันแน่”
จั่งกุ้ยเอ่ยคำเหยียดหยาม แสร้งทำเป็นตบหน้าอกตัวเอง พลางเอ่ย
หลี่ชุ่ยฮวายืดตัวตรง ถลึงตาใส่ฝูงชนอย่างดุร้ายอยู่หลายครา เอ่ยว่า “บุตรชายของข้าเป็นจอหงวนฝ่ายบู๊คนใหม่ในปีนี้ เมิ่งชิง”
“ฮ่าๆๆๆ!”
เสียงนางเพิ่งจะสิ้นสุดลง ฝูงชนที่มุงดูก็พากันหัวเราะขึ้นมา
จั่งกุ้ยก็หัวเราะจนตัวงอ แต่ปากก็ยังเอ่ยเยาะเย้ยอย่างติดๆ ขัดๆ “บุตรชายของเจ้าเป็นจอหงวนฝ่ายบู๊คนใหม่ เจ้าก็ไม่รู้จักระมัดระวังในคำพูดเสียบ้างเลย”
หลี่ชุ่ยฮวาที่เอ่ยจบ ก็รอดูสีหน้าที่ตกตะลึงจนนัยน์ตาจะหลุดจากเบ้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฝูงชนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ จึงโมโหทันที มือเท้าสะเอว นิ้วชี้ด่าไปที่ฝูงชน “เจ้าพวกไม่มีตา เบิกตาสุนัขของพวกเจ้าให้กว้าง และดูสิว่าบุตรชายของข้าเป็นใครกันแน่!”
คนที่มาพักอาศัยในโรงเตี๊ยมล้วนเกือบจะเป็นนายท่านที่ขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อทำการค้า ผู้ใดก็ล้วนมีเงินทองมากมายติดกาย ยามปกติมักจะถูกคนประคองเอาไว้ ในยามนี้กลับถูกสตรีผู้หนึ่งชี้หน้าด่า ชั่วมีโทสะขึ้นมาทันที พึมพำด่าว่า “คนบ้าสองคนจากที่ใดกัน ไม่มีเงินจะพักโรงเตี๊ยม ถึงกับปลอมตัวเป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ ข้าเห็นว่าคนเช่นนี้ควรจะถูกนำไปคุมขังในคุกของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร จะได้พิจารณาตัวเองสักหน่อย”
“ถูกต้อง”
“ใช่”
…
คนที่เหลือก็คล้อยตามเขา
เมื่อได้ยินคำว่าคุกคุมขัง หลี่ชุ่ยฮวาก็รู้สึกกลัว แต่เมื่อคิดได้ว่าเมิ่งชิงออกมาแล้ว มีคนสนับสนุนอยู่ ก็มีท่าทีกำเริบเสิบสานขึ้นมา ชี้นิ้วไปที่ฝูงชน กำลังจะเอ่ยพูดอีกครั้ง แต่เมิ่งชิงห้ามปรามนางเอาไว้
“ท่านแม่ อย่าพูดอีกเลย!”
หลี่ชุ่ยฮวามองเขา “ชิงเอ๋อร์ แม่ไม่ได้พูดจาเพ้อเจ้อ เหตุใดจึงไม่ให้แม่พูดเล่า”
เมิ่งชิงเม้มริมฝีปาก ไม่ได้อธิบาย แต่กลับเอ่ยกับจั่งกุ้ยว่า “เอาเช่นนี้แล้วกัน ให้ท่านแม่ของข้ารออยู่ในห้องโถงสักครู่หนึ่ง ข้าจะกลับไปนำเงินมาเดี๋ยวนี้”
จั่งกุ้ยมองเขา และมองไปทางหลี่ชุ่ยฮวา สมองก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา จึงเอ่ยถามออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “เจ้า เจ้าคงไม่ได้คิดจะทิ้งแม่ของเขาไว้ที่นี่ ไม่ต้องการแล้วหรอกนะ”
“ทิ้งแม่เจ้าน่ะสิ บุตรชายของข้าตัดขาดกับเมิ่งเชี่ยนโยว นางเด็กนั่นเพื่อข้า จะไม่ต้องการข้าได้อย่างไร”
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 33 ทำให้ฝูงชนโกรธ
Posted by ? Views, Released on December 12, 2021
, ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ
ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น!
นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ…
นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!?
…
“น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด
“น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก
“ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”
Recommended Series
Comment
Facebook Comment