“ไม่มี ไม่มีแน่นอน” พระชายารองกรีดร้องสุดเสียง
นางปฏิเสธไวมาก แม้แต่อ๋องฉีก็ยังอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
พระชายารองตกใจกับท่าทางของตนเองเช่นกัน นางชะลอน้ำเสียงลงแล้วพูดออกไปว่า “พี่สาวล้อข้าเล่นแล้ว ข้าดูแลกิจการของจวนอย่างรอบคอบมาโดยตลอด คิดทำเพื่อจวนอ๋องทั้งนั้น ไหนเลยจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นได้ ยิ่งไม่มีทางทำเรื่องทำนองนั้น”
พระชายาฉีพยักหน้า “ข้าเองก็เชื่อว่าน้องสาวจะไม่ทำเรื่องอะไรที่เป็นผลร้ายต่อจวนอ๋อง”
พระชายารองไม่เต็มใจอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าจวนอ๋องมานางก็ดูแลกิจการทุกอย่างของจวนมาโดยตลอด ทุกคนในจวนต่างก็ให้ความเคารพและยำเกรงนาง ทำไมอาศัยเพียงนางพูดประโยคเดียวก็สามารถริบเอาอำนาจทั้งหมดในมือของตนกลับคืนไปได้แล้ว แล้วแบบนี้อีกหน่อยนางจะยังมีที่ยืนอยู่ในจวนอ๋องอีกอย่างนั้นเหรอ ยิ่งคิดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งกัดฟันแน่น ได้แต่ลดศีรษะลงหลบซ่อนแววตาและความคับแค้นใจ กล่าวกับอ๋องฉีไปว่า “ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยส่งมอบอำนาจในการดูแลจวนใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่พี่สาวร่างกายอ่อนแอ เกิดว่าป่วยขึ้นมาอีกเพราะเหนื่อยล้าเกินไปด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เห็นทีจะไม่คุ้มค่า อย่างไรเรื่องลำบากจำต้องให้แรงเหล่านี้ยกให้ข้าน้อยจัดการเถิดเจ้าค่ะ ใครใช้ให้ข้าน้อยเกิดมามีชะตาต้องลำบากเล่าเจ้าคะ”
คำพูดนี้พูดได้น่าฟังเหลือเกิน พระชายาฉีแทบอยากจะปรบมือให้กับวาทศิลป์ของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามวันนี้นางตัดสินใจเข้ายึดอำนาจในจวนแล้ว จะไม่ยอมปล่อยให้พระชายารองประสบความสำเร็จเป็นอันขาด ขณะที่อ๋องฉีกำลังจะเปิดปากเพื่อพูดอะไรออกมา เสียงของนางก็ดังขัดขึ้นก่อน “ถ้าท่านอ๋องไม่เห็นด้วยกับการที่ให้ข้าน้อยดูแลจวน เช่นนั้นข้าน้อยคงต้องเข้าวังไปถามพระมารดาแล้วว่ากฎของจวนอ๋องที่แท้กำหนดไว้ว่าอย่างไรกันแน่”
ไทเฮาเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นอย่างมาก หากให้พระชายาฉีเข้าวังไปถามจริงๆ ผลที่ได้ไม่เพียงแต่จะต้องยอมส่งมอบอำนาจออกไปแต่โดยดี แต่เขายังจะถูกตำหนิหาว่าลุ่มหลงอนุรังแกภรรยาเอกอีกด้วย แน่นอนว่าพระชายารองเองคงจะไม่มีจุดจบที่ดีเท่าไหร่เหมือนกัน อ๋องฉีครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในที่สุดก็กล่าวออกไปว่า “เรื่องในจวนแต่เดิมก็สมควรยกให้เจ้าดูแลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าป่วยมานาน ตอนนี้เพิ่งจะฟื้นตัวได้ไม่เท่าไหร่ แต่เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ามีใจแถมยังตัดสินใจแล้วเช่นนี้ข้าก็จะไม่ขัด ต่อจากนี้เรื่องน้อยใหญ่ในจวนทั้งหลายยกให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน ส่งมอบอำนาจกลับคืนสู่มือเจ้า”
พระชายารองยังคงยืนหยัดดิ้นรนไม่เลิกรา ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงเวทนาไม่ยอมตัดใจว่า “ท่านอ๋อง!”
เสียงของนางนี้ช่างคร่ำครวญเหลือเกิน มันเต็มไปด้วยความอ้อนวอนและร้องขอ แต่เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว อ๋องฉีไม่กล้าลำเอียงเข้าข้างอีกฝ่ายอีก จึงได้แต่ปลอบนางไปว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว ฟังที่ซู่อิงพูดเถิด เจ้าวางมือและพักผ่อนได้แล้ว รอวันไหนร่างกายนางรับไม่ไหวค่อยให้เจ้าเข้ามาดูแลแทนอีกครั้ง”
เมื่ออ๋องฉีพูดแบบนี้แต่เดิมพระชายารองก็สมควรจะพอใจ แต่นางมีชนักติดหลังอยู่ ใจจึงร้อนรนและรู้สึกไม่สงบเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะยอมสละอำนาจในมือออกไปได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้จึงคิดแผนผัดวันประกันพรุ่งขึ้นมา ใช้น้ำเสียงอ่อนน้อมกล่าวกับพระชายาฉีไปว่า “พี่สาวหมดสติไปหลายวัน วันนี้เพิ่งฟื้นขึ้นมาคงไม่เหมาะที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยภายในจวนตอนนี้เลย รอท่านพักผ่อนจนหายดีก่อนค่อยพูดเรื่องนี้อีกทีดีไหมเจ้าคะ”
สิ่งที่นางพูดมาเป็นความจริง อ๋องฉีพยักหน้าเห็นด้วยในทันทีแล้วตัดสินใจลงไปว่า “เอาแบบนี้ ให้ซู่อิงพักผ่อนต่ออีกหนึ่งเดือน รอจนกระทั่งผ่านพ้นหนึ่งเดือนนี้ไปแล้วต่อจากนี้เรื่องทั้งหมดในจวนรวมไปถึงสมุดบัญชีทุกเล่มจะต้องถูกส่งมอบให้แก่นาง”
อ๋องฉีถอยให้ได้มากที่สุดเท่านี้ พระชายาฉีเองก็ไม่สะดวกหากจะบีบคั้นจนเกินไป จึงพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วยแล้วพูดออกไปว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งท่านอ๋อง”
พระชายารองถอนหายใจออกยาวด้วยความโล่งอก สามารถยืดเวลาต่อไปได้อีกหนึ่งเดือน อาศัยเวลานี้อย่างน้อยๆ ช่องโหว่ในบัญชีเหล่านั้นก็ยังสามารถชดเชยกลับมาได้ทันกาล
การเจรจาทั้งหมดจบลงโดยสมบูรณ์ อ๋องฉีมองไปทางพระชายารองด้วยความปวดใจเล็กน้อย ปลอบประโลมไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้ากลับเรือนไปพักผ่อนล้างเนื้อล้างตัวให้สดชื่นหน่อยเถิด”
พระชายารองรับคำ แต่ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะลุกขึ้นยืนนั้นเอง เสียงทุ้มนุ่มของพระชายาฉีกลับดังขัดขึ้นอีกครั้ง “ท่านอ๋อง เวลาหนึ่งชั่วยามที่ข้าสั่งให้น้องสาวคุกเข่าเพื่อเป็นการลงโทษยังไม่ถึงเลย ท่านทำแบบนี้อีกหน่อยข้าจะยืนต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร จะไปมีอำนาจอะไรสั่งการพวกบ่าวรับใช้ทั้งหลาย”
ครึ่งร่างของพระชายารองสั่นสะท้านจนล้มครืนลงไปทันที เข่าทั้งสองข้างกระแทกลงกับพื้นอย่างหนัก เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดดังออกมาอย่างช่วยไม่ได้
พระชายาฉีขมวดคิ้ว ใช้อำนาจกดหัวนางลงไปอีกครั้ง “อยู่ต่อหน้าข้ากับท่านอ๋องยังกล้าตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ไร้มารยาทอย่างแท้จริง เพิ่มบทลงโทษลงไป ให้คุกเข่าเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม”
ยังต้องคุกเข่าต่ออีกหรือ พระชายารองหวาดกลัวจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว นางอ้อนวอนออกไปซ้ำๆ ว่า “พี่สาว น้องสาวไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ขอท่านโปรดอภัยให้กับความผิดของข้าในครั้งนี้ด้วย”
“ไร้ความเคารพ ไร้ซึ่งการให้เกียรติ เพิ่มโทษลงไปอีกหนึ่งกระทง ให้คุกเข่าเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม” พระชายาฉีกล่าวต่อ
คราวนี้พระชายารองกลัวมากจนไม่กล้าพูดต่อแล้ว นางยกมือขึ้นปิดปาก เงยหน้าขึ้นมองอ๋องฉีด้วยหน้าตาน่าสงสารแกมอ้อนวอน
อ๋องฉีกระแอมไอออกมาหนึ่งที พยายามขอร้องแทน “ซู่…”
“ท่านอ๋อง” พระชายาฉีขัดจังหวะเขา “หน้าที่ของท่านก็คือจัดการเรื่องใหญ่ทั้งหลายที่อยู่นอกบ้าน ส่วนเรื่องภายใน ขอท่านอย่าได้สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ประเดี๋ยวจะถูกหัวเราะเยาะเอา”
คำที่อ๋องฉีกำลังจะพูดออกมาถูกปิดกั้นไว้ในปาก เขาแตะไปที่จมูกของตนเองเบาๆ ก่อนจะมองไปทางพระชายารองแล้วหักใจพูดออกไปอย่างโหดร้ายว่า “ยังไม่รีบไปรับโทษอีก”
พระชายารองไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอ๋องฉีจะพูดอะไรแบบนี้ จึงให้นิ่งอึ้งไปโดยสิ้นเชิง จ้องมองอ๋องฉีไปด้วยความงุนงง
อ๋องฉีหลบตานางอย่างรู้สึกผิด
พระชายาฉีขึ้นเสียงดังแล้วตะโกนสั่งคนที่อยู่ข้างนอก “ใครก็ได้เข้ามาหน่อย”
หลิงหลงรับคำก่อนจะเดินเข้ามา “เหนียงเหนียง”
พระชายาฉีสั่งการลงไป “ลากตัวพระชายารองออกไปให้นางคุกเข่ารับโทษ หากไม่ถึงสองชั่วยามห้ามไม่ให้ลุกขึ้นมาเป็นอันขาด”
หลิงหลงยังคงงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากที่ได้สติก็ตอบรับอย่างมีความสุขแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพระชายารอง พูดออกไปว่า “พระชายารอง เชิญเจ้าค่ะ”
พระชายารองทรุดตัวอยู่บนพื้น มองไปทางอ๋องฉีด้วยสีหน้าซีดเผือดประหนึ่งคนที่ตายไปแล้ว
อ๋องฉีนิ่งเงียบไม่พูดจา
พระชายาฉีตะโกนออกไปอีกครั้ง “ลากตัวออกไป!”
ทันใดนั้นเองหลิงหลงก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้า ดึงตัวพระชายารองขึ้นจากพื้นแล้วลากตัวออกไป
พระชายารองดูเหมือนจะยังไม่ได้สติกลับมาดีจึงลืมตอบโต้ขัดขืนไปโดยปริยาย ปล่อยให้อีกฝ่ายลากตัวออกไปราวกับท่อนไม้ก็มิปาน
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทุกคนในลานบ้านเห็นอ๋องฉีเสด็จมา ก็คิดกันไปเองแล้วว่าท่านอ๋องจะต้องช่วยพูดแทนพระชายารองแน่ๆ แล้วพระชายาฉีจะต้องถูกตำหนิอย่างไม่ต้องสงสัย คิดไม่ถึงว่าใช้เวลาเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว พระชายารองก็ถูกหลิงหลงลากตัวออกมา นางสั่งการลงไปว่า “เหนียงเหนียงมีรับสั่ง ให้พระชายารองคุกเข่าเป็นเวลาสองช่วยยามเพื่อลงโทษ”
ฉับพลันเสียงสูดลมหายใจเข้าลึกก็ดังขึ้นจากทุกคนที่อยู่ในลาน แทบไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลย พระชายาถึงกับสั่งลงโทษให้พระชายารองคุกเข่าเป็นเวลาสองช่วยยาม แถมท่านอ๋องก็ยอมรับแล้ว
พระชายารองไม่ดิ้นรนอีกต่อไป ปล่อยให้หลิงหลงกดตัวเองคุกเข่าลงกับพื้น
ในที่สุดก็ไม่ต้องคอยมองสีหน้าอารมณ์ของพระชายารองเสียที หัวใจของหลิงหลงจึงรู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ นางเหลือบมองไปทางผู้คนที่ยืนอยู่ในลานบ้านครั้งหนึ่งจากนั้นก็กล่าวออกไปอย่างจริงจังว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเหนียงเหนียงจะเข้ามารับหน้าที่ดูแลจวนแห่งนี้ ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าอย่าได้ทำเกินหน้าที่ของตัวเอง ตนมีหน้าที่อะไรก็จัดการให้ดี หากใครบังอาจเกียจคร้านไม่ฟังตามคำสั่ง จุดจบของพวกเจ้าให้ดูหลันฮวาเป็นตัวอย่าง”
หลันฮวาถูกสั่งโบยยี่สิบไม้ ภาพเลือดและเศษเนื้อขณะที่อีกฝ่ายถูกลากตัวออกไปยังคงติดอยู่ในตาของทุกคนจนถึงบัดนี้ ฉับพลันทุกคนในลานบ้านก็ให้เสียวสันหลังวาบ ตัวสั่นงกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าจะต้องระมัดระวังและใส่ใจให้มากกว่านี้
ตัดกลับมาในห้อง สีหน้าของพระชายาฉีบัดนี้ฉายแววอ่อนเพลียชัดเจน นางพูดกับอ๋องฉีไปว่า “ท่านอ๋อง เมื่อสักครู่ข้าน้อยกำลังจะเข้านอนแต่ก็ถูกปลุกขึ้นโดยเสียงรบกวนของท่าน ตอนนี้จึงให้อ่อนเพลียยิ่งนัก รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าเอาเสียเลย ข้าต้องการพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย คงไม่อาจอยู่ต่อเป็นเพื่อนท่านอ๋องได้ อย่างไรเชิญท่านอ๋องตามสบายเถิดเจ้าค่ะ”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำสั่งแกมขับไล่ตัวเองออกไป กระนั้นเองหากจะโทษก็ต้องโทษตัวเองที่เมื่อสักครู่เข้าข้างพระชายารองช่วยพูดแทนนาง แม้ตอนนี้อ๋องฉีอยากจะพูดแก้ตัวให้ตัวเองสักสองสามประโยค แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดีแล้ว จึงได้ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย พูดออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าพักผ่อนให้ดี รอตื่นแล้วข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
พระชายาฉีไม่มีร่องรอยความยินดีอยู่ในน้ำเสียงของนางเลย ตอบกลับไปอย่างสงบว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่ทรงเมตตาและไม่ถือสา”
อ๋องฉียกมือขึ้นแตะจมูกเบาๆ สีหน้าดูกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขาลูบจมูกตัวเองไปพลางเดินออกไปทั้งที่คล้ายเก็บงำบางอย่างอยู่ ขณะเดินผ่านพระชายารองที่คุกเข่าอยู่ตรงลานบ้านยังมิวายปรายตามองอีกฝ่ายไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะก้าวอาดๆ แล้วกลับเรือนพักของตนเองไป
หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนี้ ความง่วงงุนก็เข้าจู่โจมพระชายาฉีอีกครั้ง เสียงตะโกนดังขึ้นว่า “หลิงหลง!”
หลิงหลงขานรับแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“เซวียนเอ๋อร์กับแม่นางเมิ่งเล่า” พระชายาฉีถามนาง
“เรียนเหนียงเหนียง ซื่อจื่อพาแม่นางเมิ่งกลับไปที่เรือนของเขาแล้วเจ้าค่ะ บอกว่ารอให้ท่านตื่นเมื่อไหร่ค่อยส่งคนไปแจ้งให้ทราบ” หลิงหลงตอบกลับอย่างเคารพ
“รีบส่งคนไปเรียกพวกเขามาเร็ว”
หลิงหลงขานรับแล้วเดินจากไปโดยไว สั่งสาวใช้ที่ยืนรออยู่นอกห้องให้ไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่เขาและพระชายาฉีเข้าวังไปพบไทเฮา รวมถึงเรื่องที่ทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงมาให้หมั้นหมายและเรื่องที่เขาจะสละตำแหน่งซื่อจื่อให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวฟังจนหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า แสร้งดุเขาไป “เจ้านี่ก็จริงๆ เลย ในท้องปีศาจอย่างเจ้ามีแต่สีดำหรืออย่างไร ไม่ว่าใครก็กล้าคิดบัญชีด้วย เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าหากไทเฮาทรงตกปากรับคำลงมาจริงๆ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร”
“หากนางตกลงจริงๆ ข้าก็จะพาท่านแม่ของข้ากลับบ้าน นี่ไม่ใช่ว่าเข้าทางข้าพอดีหรอกเหรอ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมาโดยไม่แยแสแม้แต่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้าเขาไปอีกสองสามประโยค หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ ปล่อยให้หญิงสาวหัวเราะเยาะตัวเองตามอำเภอใจ ยังคงดูมีความสุขมาก
กัวเฟยกับหวงฝู่อี้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูมากกว่าที่ทนรับกับน้ำเสียงยินดีปนงี่เง่าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ไหว แอบชำเลืองสบตากันครั้งหนึ่ง ก่อนต่างฝ่ายต่างเงียบไปแล้วถอยห่างออกจากประตูไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
สาวใช้ที่เดินมาส่งข่าวเรื่องของพระชายา เมื่อมาถึงหน้าเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นคนทั้งสองยืนอยู่กลางลานบ้าน แต่นางก็ระงับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในใจไปโดยเร็ว กระซิบกล่าวออกไปด้วยเสียงเบาว่า “คุณชายอี้ พระชายาตื่นแล้ว บอกให้ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งไปหาเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้พยักหน้าให้กำลังจะเดินเข้าไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียนในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ด้านในก็ได้ยินเสียงของสาวใช้แล้ว เขาตะโกนออกมาว่า “เจ้ากลับไปรายงานท่านแม่ บอกว่าพวกเราจะไปที่นั่นทันที”
สาวใช้ขานรับจากนั้นก็หมุนตัวกลับไปเพื่อรายงาน