องครักษ์เงาได้รับการฝึกฝนฝีมือที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้มีอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น
พระชายาฉีกล่าวกับองครักษ์เงาทั้งสองคนว่า “ผู้นี้คือแม่นางเมิ่ง ต่อไปก็คือนายท่านคนใหม่ของพวกเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าจะต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องนาง”
หน้าที่ขององครักษ์เงาก็คือปกป้องเจ้านาย องครักษ์เงาทั้งสองคนตอบรับด้วยความเคารพ แล้วหันกลับมาคารวะเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมๆ กัน “คารวะนายท่านคนใหม่เจ้าค่ะ”
พระชายาฉีได้ตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจะปฏิเสธก็ลำบาก จึงยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณว่า “ขอบพระทัยพระชายาเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีโบกมือ หลังจากที่บอกเป็นนัยให้สองคนนั้นถอยออกไปแล้วพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ร่างกายอ่อนแอ ท่านพ่อกลัวว่าข้าจะโดนลอบทำร้ายลับหลัง จึงเลี้ยงดูฝึกฝนองครักษ์เงาไว้มากมาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้ายังไม่ได้เคยใช้ แต่หลังจากที่เซวียนเอ๋อร์กลับเมืองหลวงมาแล้วข้าก็กลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย จึงมอบองครักษ์เงาทั้งหมดไว้ให้เขา เขาไม่ยอมให้สตรีเข้าใกล้ตัว ข้าจึงต้องเรียกองครักษ์เงาที่เป็นหญิงเหล่านี้กลับคืนมา วันนี้ได้โอกาสมอบให้เจ้าพอดี บัดนี้พวกเขาก็ได้รู้จักเจ้านายแล้ว ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรเจ้าก็ระดมกำลังของพวกนางไปทำงานได้เลย ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ไหนพวกนางก็จะปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกขึ้นได้ทันที ถึงว่านางมักจะรู้สึกว่าทหารอารักขาที่หวงฝู่อี้เซวียนนำไปด้วยเมื่อวานนี้มีฝีมือเหนือกว่าองครักษ์ประจำจวน ที่แท้ก็เป็นเองครักษ์ที่แต่งกายเลียนแบบเท่านั้น
กล่าวขอบคุณพระชายาฉีอีกครั้ง แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นว่า “รบกวนท่านยื่นมือออกมาหน่อยเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะตรวจชีพจรให้ท่าน ดูว่าการฟื้นฟูอาการป่วยของท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
พระชายาฉียื่นมือออกไปตามที่บอก ยื่นออกไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือไปวางไว้ตรงจุดชีพจรที่ข้อมือของนาง ตรวจดูอย่างละเอียดสักครู่ แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ร่างกายของท่านฟื้นคืนได้ไม่เลวเลยนะเจ้าคะ พักผ่อนอีกสักเดือนสองเดือนก็ออกไปข้างนอกได้สบายแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาฉียินดีไม่น้อย “เป็นเช่นนั้นก็วิเศษเลย หลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกจริงๆ จังๆ เสียที รอให้ข้าหายดีแล้วจะออกไปเดินเล่นกับเจ้า ดูว่าเมืองหลวงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นหม่อมฉันจะเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านแน่นอน เดินเล่นสักสิบวันสิบคืนแล้วพวกเราค่อยกลับ”
พระชายาฉีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างสำราญใจ “สิบวันสิบคืนก็ละเว้นไว้เถิด ข้ายังต้องเก็บแรงไว้ดูแลลูกของพวกเจ้าในภายหลังอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงเถือก
หวงฝู่อี้เซวียนก็ร้องขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อว่า “เสด็จแม่”
พระชายาฉีรู้ว่าทั้งสองคนนี้หน้าบางขี้อาย จึงยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าไม่พูด ข้าไม่พูดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของพวกกัวเฟยอยู่ตลอด ก็เลยเปลี่ยนเรื่องพูด “พระชายาเจ้าคะ พวกกัวเฟยยังอยู่ในห้องรักษา หม่อมฉันกับอี้เซวียนยังต้องไปดูอีก ไม่อยู่รบกวนท่านแล้ว ประเดี๋ยวสองสามวันให้หลังหม่อมฉันจะมาตรวจชีพจรให้ท่านอีกครั้งนะเจ้าคะ”
“ไปเถอะ รักษาทุกคนให้ดีนะ ถ้าไม่ไหว ข้าจะส่งคนไปตามหมอหลวงจากในวังมารักษาให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยัดกายลุกขึ้น กล่าวขอบคุณว่า “ขอบพระทัยพระชายาที่กรุณาเจ้าค่ะ พวกเขาทุกคนมีแผลภายนอกเท่านั้น รักษาสักระยะก็ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงหรอกเจ้าค่ะ”
“ดูเจ้าเด็กคนนี้สิ จะเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้วเชียว ยังจะเกรงใจเช่นนี้อีก” พระชายาฉีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นอีก
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นช่วยแก้สถานการณ์ให้นาง “เสด็จแม่ ข้ากับโยวเอ๋อร์ไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาฉีพยักหน้ายิ้มๆ ดูสองคนที่เดินจับมือกันออกไป แล้วเรียกคนที่อยู่ด้านนอกว่า “หลิงหลง”
หลิงหลงขานรับ เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินเข้าไป
พระชายาฉีสั่งงานนางว่า “เจ้าไปเลือกผ้าแพรงามๆ สักผืนที่ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียง ข้าจะทำชุดให้กับแม่นางเมิ่ง อีกอย่างเจ้าไปสั่งจองผ้าที่ใช้สำหรับชุดในงานมงคลมาด้วย ให้พวกเขาเอาแบบผ้าตัวอย่างมาให้ข้าเลือกดู ในวันแต่งงานจะได้ไม่ต้องเตรียมของอย่างฉุกละหุก”
หลิงหลงขานรับคำสั่งแล้วก็เดินออกไป
พระชายาฉีมีความสุข รู้สึกว่าแสงแดดในบ่ายวันนี้ช่างดูอบอุ่นเป็นพิเศษ ส่องแสงทำให้อบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้เรื่องทุกอย่างสิ้นเชิง ทั้งสองขี่ม้าอย่างรวดเร็ว พาคนมายังร้านยาเต๋อเหริน
พนักงานในร้านยาเต๋อเหรินรู้จักพวกเขาแล้ว จึงให้ทั้งสองคนเข้าไปในห้องรักษาที่เรือนด้านหลังได้เลย
พอพนักงานที่ดูแลพวกกัวเฟยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา ก็รายงานเสียงเบาว่า “ตั้งแต่พวกท่านไปจนถึงตอนนี้ ทุกคนไม่ได้มีอาการตัวร้อนขึ้นอีก ส่วนยาพวกเราก็ป้อนให้พวกเขาตรงตามเวลาที่ท่านกำชับ แต่จนถึงเดี๋ยวนี้พวกเขายังไม่ฟื้นเลยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างๆ กัวเฟย แล้วตรวจชีพของเขาดู รู้สึกว่าถึงแม้ชีพจรจะอ่อนแรงไปบ้าง แต่ก็สม่ำเสมอดี น่าจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก ที่ไม่ฟื้นเสียที น่าจะเป็นเพราะยาที่อยู่จากชามข้าวต้มเมื่อคืนวานในห้องขังที่ใส่มากเกินไป ฤทธิ์ยายังไม่หมดไป จึงบอกกับพนักงานว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ขอแค่พวกเข้าไม่ตัวร้อนขึ้นก็ไม่เป็นอะไร เย็นนี้น่าจะฟื้นขึ้นมาได้”
พนักงานได้ยินดังนั้นก็สบายใจ ร้านยาเต๋อเหรินไม่เคยรับผู้ป่วยที่บาดเจ็บหนักเช่นนี้มาก่อน เถ้าแก่กำชับพวกเขาแต่เพียงว่าดูแลให้ดีเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ได้พูดอะไรอีก ตลอดทั้งยามเช้าในวันนี้ไม่เห็นลืมตาฟื้นขึ้นสักคน พวกเขาที่รับผิดชอบดูแลทุกคนก็รู้สึกไม่มีความมั่นใจนัก ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ก็รู้สึกราวกับว่าได้กินยาที่ทำให้ใจสงบขึ้น ความกังวลที่เกิดขึ้นในใจก็พลันหายไป
ทุกคนคงไม่ฟื้นขึ้นมาในช่วงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวถามพนักงานว่า “เถ้าแก่ของพวกเจ้าอยู่ไหม?”
“หลังจากที่กินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วเถ้าแก่ก็เข้ามาดูสักครู่ เวลานี้น่าจะอยู่ที่ชั้นบนขอรับ” พนักงานตอบ
“ข้าจะขึ้นชั้นบนไปหาเถ้าแก่ของพวกเจ้า ถ้าพวกเขาฟื้นแล้วเจ้าก็มาเรียกข้าด้วยนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พนักงานตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเดินขึ้นมาถึงชั้นบน
เหวินซื่อฟุบหน้างีบหลับบนโต๊ะ พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นมองดูที่ประตูอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นว่าเป็นสองคนนั้นก็ทักทายอย่างไร้ชีวิตชีวา “พวกเจ้ามากันแล้วหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “ถ้าเจ้าง่วงก็ลงไปนอนในห้องข้างล่างสักครู่ ฟุบกับโต๊ะเช่นนี้จะคลายความเมื่อยล้าได้หรือ?”
เหวินซื่อบีบนวดหัวตา “ตอนเช้าคนไข้มากันเยอะมาก พนักงานก็ต้องช่วยดูแลพวกเขาอีก ข้าก็เลยต้องช่วยอบู่ข้างล่างสักพัก พอกินมื้อเที่ยงเสร็จก็คิดว่าพวกเจ้าจะมาจึง รอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ไปพักผ่อน ใครจะรู้ว่ารอตั้งนานพวกเจ้าก็ยังไม่มา ข้าง่วงก็เลยฟุบหน้างีบหลับอยู่บนโต๊ะเช่นนี้”
“ข้ากับอี้เซวียนตื่นขึ้นมาก็เลยยามเที่ยงแล้ว กินข้าวเสร็จก็ต้องไปคุยกับพระชายาอีกสักพัก จึงมาช้าเช่นนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย แล้วพูดขึ้นต่อว่า “คืนวานเจ้าก็ไม่ได้นอน ไปนอนในห้องที่เรือนด้านหลังสักครู่เถอะ ถ้ามีเรื่องใหญ่อะไรจะให้พนักงานของเจ้าไปเรียก พวกเราจะอยู่ที่นี่รอให้พวกกัวเฟยตื่น ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็จะกลับ”
คุยกันสักเหวินซื่อก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง สั่นศีรษะ “ไม่ไปแล้ว อีกสักหนึ่งชั่วยามก็ได้เวลาปิดร้าน ไว้คืนนี้ค่อยกลับไปนอนที่บ้านให้สบาย” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปที่อ่างทองแดง แล้วก็ใช้น้ำในนั้นล้างหน้าล้างตา ให้ตัวเองสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ
เหวินซื่อเปิดประตู บอกให้พนักงานชงชาเข้ามากาหนึ่ง
ไม่นานพนักงานก็ชงชาเสร็จแล้วก็ส่งเข้ามา เอาวางไว้ให้แล้วจึงถอยออกไปอย่างนอบน้อม
เหวินซื่อยกน้ำชาขึ้นดื่มแล้วถามขึ้นว่า “พรุ่งนี้เวลาเดิมพวกเรายังต้องไปสกัดเฮ่อเหลี่ยนอีกไหม?”
หวงฝู่อี้เซวียนสั่นศีรษะ “วันพรุ่งไม่ไปแล้ว รอวันมะรืนค่อยไปอีก”
เหวินซื่อไม่เข้าใจ “ทำไมหรือ เจ้าเด็กคนนี้บอกว่าวันพรุ่งก็จะไปไม่ใช่หรือ?”
“เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจพูดให้เฮ่อเหลี่ยนเข้าใจเช่นนั้น วันนี้เฮ่อเหลี่ยนบาดเจ็บไม่น้อย คิดว่าวันพรุ่งคงจะลุกไม่ไหว พวกเราไปก็เสียเวลาเปล่าๆ”
เหวินซื่อยังไม่เข้าใจ “วันมะรืนก็ไม่เหมือนกันหรือ ข้าเห็นสภาพของเฮ่อเหลี่ยนคิดว่าวันมะรืนก็ไม่แน่ว่าจะลุกไหวไหม”
หวงฝู่อี้เซวียนอธิบายให้เขาเข้าใจ “ราชสำนักกำหนดไว้ว่าถ้าขุนนางไม่มาลงชื่อเกินสามวันจะถูกไล่ออกจากตำแหน่งขุนนาง เดิมทีตัวของเฮ่อเหลี่ยนไม่มีความสามารถอะไร อาศัยบารมีของเสนาบดีช่วยเหลือกว่าจะได้เป็นขุนนาง จึงไม่ยอมละทิ้งไปง่ายๆ แน่นอน มะรืนเป็นวันสุดท้ายที่กำหนดไว้ เขาไม่มีทางที่จะไม่ไปลงชื่อ”
เหวินซื่อเข้าใจทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าก็นอนตื่นสายอยู่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องตื่นมาแต่เช้า”
เขาพูดจบเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นทันทีว่า “เจ้าไม่ต้องตื่นเช้าทุกวันก็ได้”
“นั่นไม่ได้หรอก” เหวินซื่อได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “เรื่องที่สนุกเช่นนี้ข้าจะพลาดได้อย่างไร เห็นสภาพน่าสมเพชของเฮ่อเหลี่ยนแล้วก็รู้สึกสะใจชะมัด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า
แล้วก็เป็นดั่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวว่าไว้ ตกเย็นพวกกัวเฟยก็ค่อยๆ ทยอยตื่นขึ้น พนักงานรีบวิ่งมารายงานทันที
ทั้งสามคนรีบร้อนลงไปชั้นล่าง ลงมาถึงห้องรักษา พอพวกกัวเฟยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวปลอดภัยก็พากันโล่งอก พูดขึ้นอย่างอ่อนแรงด้วยความหวาดผวาต่อเหตุการณ์นั้นอยู่ว่า “แม่นาง ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก กล่าวว่า “ตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“เจ็บปวดไปทั้งตัวเลยขอรับ แต่ยังดีที่กระดูกไม่เป็นอะไร” กัวเฟยตอบ
“นั่นเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดแล้ว โชคดีที่อี้เซวียนช่วยพวกเราออกมาได้ ไม่เช่นนั้นหากรอให้เฮ่อเหลี่ยนมา ถึงจะฝืนรักษาชีวิตพวกเจ้าเอาไว้ได้ แต่คิดว่าเขาคงคิดหาวิธีทำลายวรยุทธ์ของพวกเจ้าไป”
“ขอบคุณนายท่านขอรับ” กัวเฟยกล่าวขอบคุณหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเบาๆ ว่า “อืม” แล้วกำชับพวกเขาว่า “รักษาตัวให้ดีไม่ต้องเป็นกังวลสิ่งใด ข้าได้ส่งคนอื่นมาดูแลโยวเอ๋อร์แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ทุกคนตอบรับอย่างอ่อนแรง
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 53-1 เฮ่อเหลี่ยนมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ
ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น!
นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ…
นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!?
…
“น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด
“น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก
“ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”
Recommended Series
Comment
Facebook Comment