“ทูลพระชายา ด้านหน้ามีหญิงคนหนึ่งอ้างว่าเป็นสาวใช้ของสกุลเยว่ต้องการขอเข้าเฝ้าเพื่อนำจดหมายมาส่งให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านนอกรถม้า อยู่ๆ เสียงองครักษ์ดังขึ้น หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด
พี่เยว่ถิงจะต้องสังเกตเห็นว่านางไล่ตามไปไม่ทัน ดังนั้นจึงส่งคนมาดูอย่างแน่นอน
“เข้ามาได้”
ประตูรถม้าถูกเปิดออก สาวใช้รูปร่างหน้าตางดงามคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ถวายคำนับพระชายา หนู่ปี้เป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่นามว่าชุ่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
ส่งยิ้มพร้อมทั้งถวายคำนับหลินเมิ้งหยา ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกตีตราปิดผนึกอย่างดีออกมา
แต่ใครจะรู้ว่าหลินเมิ้งหยามิได้รีบร้อนเปิดอ่าน กลับกัน นางจ้องมองชุ่ยเอ๋อร์หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
“บาดแผลที่พี่เยว่ถิงได้รับเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าที่เป็นสาวใช้น่าจะรู้เรื่องนี้ดีใช่หรือไม่?”
ชุ่ยเอ๋อร์ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยกิริยามารยาทอ่อนช้อย
“พระชายาได้โปรดวางพระทัย บาดแผลที่คุณหนูใหญ่ได้รับดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ก่อนจะเปิดจดหมาย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าภายในจดหมายที่ถูกตีตรามาอย่างดีจะมีผงสีขาวโปรยปรายออกมา
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเบิกกว้าง มองดูรอยยิ้มของสาวใช้ตรงหน้า ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงและล้มลง
“นาย…นายหญิง…”
สาวใช้ทั้งสี่เองก็ล้มลงไปกองกับพื้นของรถม้า เรี่ยวแรงของพวกนางหายไปโดยสิ้นเชิง
“คิดว่าเจ้าจะเก่งมากเสียอีก แต่เจ้ากลับเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ ในเมื่อนักฆ่าสาวพวกนั้นฆ่าเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะรับหน้าที่นั้นเอง”
หญิงสาวปิดปากหัวเราะ ก่อนจะล้วงเอากล่องไม้กล่องหนึ่งออกจากแขนเสื้อ
ค่อยๆ เทของที่อยู่ภายในออกมา หลินเมิ้งหยาได้เห็นสัตว์ตัวเล็กสีดำเมี่ยม ทว่านางกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน
“ไปสิ สัตว์เลี้ยงที่น่ารักของข้า ไปกัดพวกนาง”
หญิงสาวเอื้อนเอ่ยวาจาอาบยาพิษ ก่อนจะใช้กล่องใบนั้นดันตัวสัตว์สีดำขึ้นมาข้างหน้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสัตว์ตัวนั้นจะก้าวออกมาเพียงสองก้าว ก่อนจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง
“เกิดอะไรขึ้น? ไปสิ บนร่างกายของพวกนางมีกลิ่นที่เจ้าชอบที่สุดมิใช่หรือ?”
แต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร สัตว์ตัวนั้นยังคงไม่ขยับเขยื้อน
สุดท้าย หญิงสาวเริ่มร้อนใจ คิดจะจับสัตว์ตัวนั้นไปวางไว้บนตัวของหลินเมิ้งหยา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสัตว์ตัวนั้นจะหมุนตัวแล้ววิ่งเข้าไปในแขนเสื้อของนาง ก่อนจะคลานขึ้นไปยังบริเวณใกล้ลำคอ
ออกแรงกัด ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตั้งตัวทัน พิษที่มีผลต่อระบบประสาทอันทำให้เป็นอัมพาตเฉียบพลันแล่นไปทั้งร่างของนาง
“เกสรชิงหลัวทำให้เจ้าต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ว่าแมงป่องพิษพวกนี้ชอบน้ำองุ่นที่สุด ตอนที่เจ้าเข้ามา เหตุใดจึงมิได้สังเกตเห็นเล่าว่าขณะที่องครักษ์ของข้าตรวจร่างกายของเจ้าอยู่นั้น เขาได้แตะน้ำองุ่นลงไปบนคอของเจ้าเล็กน้อย”
เหล่าหญิงสาวที่ล้มพับบนพื้นรถม้าเมื่อครู่กลับมามีท่าทางเป็นปกติ
หลินเมิ้งหยาหัวเราะขณะมองหญิงสาวตรงหน้าที่ใบหน้าของนางกำลังเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ
ไร้เดียงสาเหลือเกิน คิดหรือว่าวิธีการเดียวกันจะสามารถทำร้ายคนได้เป็นครั้งที่สอง?
ทันทีที่รถม้าของนางเคลื่อนผ่านรถม้าของใต้เท้าที่ถูกสังหารด้วยสัตว์มีพิษ เรดาร์ตรวจจับยาพิษในสมองของนางจึงเริ่มทำงาน
อีกทั้งเมื่อตอนที่หญิงสาวคนนี้ขยับเข้ามาใกล้ สมองของนางร้องเตือนอย่างรุนแรง
ดูเหมือนสัตว์ตัวนี้จะมีพิษสงร้ายแรงยิ่งนัก
“นายหญิงดูสิเจ้าคะ”
ตอนนี้แมงป่องพิษตัวนั้นใช้ก้ามของตนเองฉีกผิวหนังของนางออก
เวลาเพียงไม่นาน แมงป่องตัวนั้นพยายามตะกุยตะกายเข้าไปภายใน
เพราะเหตุนี้ตอนที่พวกนางเดินทางไปถึงจึงหาตัวสัตว์มีพิษไม่เจอ อุตส่าห์ออกกลกุบายมาตั้งนาน สุดท้ายได้หลักฐานเช่นนี้ออกมา
จริงๆ เลย เหตุใดจึงใช้วิธีการแปลกประหลาดเช่นนี้กันนะ
“ไม่มีเวลาโยนนางลงจากรถม้าแล้ว บริเวณรอบๆ จะต้องมีคนของพวกเขาอยู่แน่นอน หากพวกเขารู้ตัวคงมิใช่เรื่องดี พวกเราซ่อนตัวนางกันเถอะ”
ทุกคนช่วยกันนำร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวนักฆ่าไปซ่อนที่ช่องเก็บของใต้รถม้า
“บอกคนข้างนอกด้วยว่าระหว่างทาง ไม่ว่าใครขอเข้าเฝ้า จงปล่อยเข้ามาหลังจากตรวจสอบเสร็จแล้ว”
ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาเผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้าย
เชื่อว่า พวกเขาที่พ่ายแพ้ไปแล้วถึงสองครั้ง จะต้องสร้างความสนใจให้กับนักฆ่าที่เหลืออย่างแน่นอน
ฉะนั้น นางคิดว่านักฆ่าที่อยู่ทางด้านหลังจะต้องมุ่งหน้ามาทางนางอย่างแน่นอน
ฮึๆ มาเท่าไร นางก็จะฆ่าเท่านั้น!
“ทูลพระชายา องครักษ์ของใต้เท้าซุนขอเข้าเฝ้าเพื่อมอบของขวัญให้แก่พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามาได้”
ชายร่างกำยำถือกล่องไม้ขนาดเล็กเดินขึ้นมาพร้อมทั้งถวายคำนับ ไม่นาน เสียงร้องพลันดังขึ้นภายในรถม้า
“อย่า…อย่าเข้ามานะ…ข้าขอเตือนเจ้า ถ้าเจ้าเข้ามา อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
จากนั้น เสียงโครมครามดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนจะเงียบลง
ตอนแรกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกคิดจะเข้าไปในรถม้าเพื่อทำการคุ้มกัน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ารถม้ามีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหญิงสาวในรถม้ายังไม่มีทางทุกข์ร้อนใดๆ
ทุกคนจึงเริ่มชินชากับเหตุการณ์นี้
องครักษ์ที่ทำหน้าที่ขับรถม้าเหลือบมองผ๋อจื่อคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าไป โชคดีที่รถม้าของจวนค่อนข้างใหญ่ มิเช่นนั้นจะใส่คนเหล่านั้นหมดได้อย่างไร?
“ไม่ อย่าเข้ามานะ”
ป๋ายจื่อ ป๋ายซ่าว ป๋ายจีเป็นผู้แสดงละคร ส่วนป๋ายซูกำมีดเอาไว้ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้จนผ๋อจื่อคนนั้นสลบ
ใช้เชือกมัดผ๋อจื่อคนนั้น ก่อนจะหาของยัดปากของนาง เปิดประตูเก็บสัมภาระด้านล่างออกแล้วโยนร่างนางลงไป
“นี่คนที่ห้าแล้ว นายหญิงเจ้าคะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ารถม้าของเราอาจจะยัดพวกเขาไม่หมดแล้ว”
แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าชีวิตคนเราเหมือนกับละคร จะเป็นไปในทิศทางในก็ล้วนขึ้นอยู่กับการแสดงของเราทั้งสิ้น
แต่หลังจากผ่านการแสดงมาแล้วห้าครั้ง แม้แต่ป๋ายจื่อที่มีความใจกล้าน้อยที่สุดยังรู้สึกเบื่อหน่าย
“พวกเจ้านี่หนา ใส่ใจกับหน้าที่ของตนเองหน่อยซิ หากมิใช่เพราะยอดนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋ส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่ที่ค่ายเพื่อดึงดูดความสนใจแล้วล่ะก็ ป่านนี้คอของพวกเจ้าทุกคนคงหลุดจากบ่าไปแล้ว”
สำหรับนักแสดงที่ไม่ตั้งใจเหล่านี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกหมดหนทางที่จะจูงใจพวกนาง
หลังจากที่คนพวกนี้ถูกป๋ายซูและเย่จัดการ พวกเขากลายเป็นนักฆ่าไร้ประโยชน์ขึ้นมาทันที
สายตาทอดยาว ด้านหน้าคือเขตพระราชฐานแล้ว คิดว่าการแสดงของพวกนางทั้งห้าคงจบลงแล้ว
“ทูลพระชายา ด้านหน้าคือเขตพระราชวังแถบชานเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงขององครักษ์ดังขึ้น หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ตลอดทาง นางกลัวเหลือเกินว่าจะมียอดฝีมือโผล่มา หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าพวกนางคงจะไม่มีเวลาพักผ่อนกันเลยแม้แต่น้อย
“ข้าน้อยจูอ้ายจือมารับพระองค์ช้า พระชายาได้โปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ผ่านประตูเขตพระราชวังเข้ามา ทหารอารักขารีบเข้ามาต้อนรับ
จูอ้ายจือเป็นเพียงทหารอารักขาตำแหน่งเล็กๆ เท่านั้น ส่วนพวกตำแหน่งสูงๆ เข้าไปคุ้มกันไท่จื่อหมดแล้ว
มีเพียงเขาที่ถูกส่งมาคอยต้อนรับคนที่เหลือ
จวนอวี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเขาอาจได้รับโทษได้ง่ายๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ลงจากรถม้าจะมิใช่ชายาอวี้ผู้งดงาม แต่กลับเป็นร่างของผ๋อจื่อคนหนึ่งที่ถูกมัดเอาไว้ด้วยเงื่อนตาย
นางถูกโยนลงมา
เอ๋? นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
มีคนถูกโยนลงมาอย่างต่อเนื่องทีละคน หลังจากคนทั้งห้านอนกองอยู่บนพื้นแล้ว เสียงหวานใสของหญิงสาวจึงดังออกจากรถม้า
“ใต้เท้าจูใช่หรือไม่ คนพวกนี้คือนักฆ่าลอบสังหารพวกใต้เท้า ข้าเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง มิรู้ว่าควรจัดการเช่นไร”
ร่างเล็กบอบบางเดินลงจากรถม้า
งดงาม สูงสง่า ชุดสีฟ้าที่นางสวมใส่ขับให้นางดูน่าเกรงขาม
นอกจากหญิงสาวสวมชุดสีฟ้าแล้ว ยังมีหญิงสาวหน้าตาสวยงามโดดเด่นอีกสี่คนตามลงมา
หากมิใช่เพราะบนพื้นปรากฏร่างที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เขาคงคิดว่านางคือฮูหยินจากสกุลใดสกุลหนึ่งพาสาวใช้ออกมาเที่ยวเล่น
“ใต้เท้าจู ท่านนี้คือชายาอวี้ของพวกเรา”
สาวใช้ใบหน้างดงามสวมใส่ชุดสีม่วงอ่อนส่งเสียงแนะนำ
ใต้เท้าจูดึงสติกลับมา ก่อนจะรีบคุกเข่าลง
“ข้าน้อยจูอ้ายจือถวายคำนับแก่พระชายา”
“ลุกขึ้นเถิด อย่าได้มากพิธี ใต้เท้าจูได้ช่วยเหลือข้าและจับกุมตัวคนร้ายที่สังหารเหล่าใต้เท้าเอาไว้ ท่านทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา คำพูดของนางเสมือนกำลังโยนเสี่ยนปิ่งลงมาจากท้องฟ้าให้กับจูอ้ายจือ
ชะงัก สบตาชายาอวี้ จูอ้ายจือคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้รับคุณงามความดีทั้งที่ไม่ได้ลงมือทำอะไร
“เป็นอะไรไปหรือใต้เท้าจู?”
หันหน้า มองดูใต้เท้าจูที่ยังคงเหม่อลอย
“ข้าน้อย…ข้าน้อยขอบพระทัยพระชายาเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนี้เขาจะได้รับการเลื่อนยศและออกไปจากเขตพระราชวังแถบชานเมืองแห่งนี้แล้ว
“เชิญพระชายาเสด็จพ่ะย่ะค่ะ ห้องของพระองค์ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าน้อยจะนำพระองค์ไปยังที่ประทับ”
นับว่าจูอ้ายจือมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นอย่างมาก แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการตระเตรียมห้องพักก็เป็นเขาที่ออกหน้าจัดการ
ฉะนั้น ขณะที่คนอื่นๆ กำลังรอการจัดแจงห้องพักอยู่ในสวน หลินเมิ้งหยาและสาวใช้ทั้งสี่กลับได้เข้าไปอยู่ในห้องพักอันแสนกว้างขวางแล้ว
“ของใช้ในเขตพระราชวังแถบชานเมืองอาจจะมิได้ดีเท่าที่จวน นี่คือนางกำนัลของพระราชวังเขตชานเมืองนามว่าซิ่นเอ๋อร์ ขอให้นางได้อยู่รับใช้พระชายาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จูอ้ายจือยังคงมิเข้าใจว่าสรุปแล้วเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร
หญิงสาวแห่งจวนอวี้รูปร่างบอบบาง ตกลงพวกนางใช้วิธีการใดในการจับกุมคนร้ายเหล่านั้นกันนะ?
“ไม่ต้องลำบากหรอก คนของข้าปราดเปรียวคล่องแคล่ว ให้แม่นางซิ่นเอ๋อร์พาคนของข้าไปเรียนรู้งานสักเล็กน้อยก็เพียงพอ ข้าเหนื่อยมากแล้ว ท่านออกไปก่อนเถิด”
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขัน อย่าให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้จะเป็นการดีที่สุด
สาวใช้ทั้งสี่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ แม้พวกนางจะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่บนรถม้าช่วงหนึ่งก็ตาม
ใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดอาหารร้อนๆ ก็ถูกวางลงตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
“พวกเจ้ากินก่อนเถิด ข้ายังไม่หิว”
ตอนนี้พวกนางหนีออกจากปากเสือได้แล้ว แต่มิรู้ว่าทางฝั่งหลงเทียนอวี้เป็นอย่างไรบ้าง
ไม่รู้ว่ากำลังเสริมถึงแล้วหรือยัง หลินเมิ้งหยานั่งลงบนตั่งเล็กๆ สายตาทอดยาว
“กำลังเป็นห่วงท่านอ๋องหรือเจ้าคะนายหญิง”
ป๋ายจีรู้ใจหลินเมิ้งหยา แม้ท่านอ๋องและพระชายาจะไม่พูด แต่ในใจของพวกเขาล้วนมีกันและกัน
เมื่อครู่พวกนางรับมือกับนักฆ่าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มิรู้ว่าท่านอ๋องจะเป็นเช่นไร