ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ – เล่มที่ 5 บทที่ 147 ส่งนางเป็นครั้งสุดท้าย

  “นายหญิงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

  ป๋ายจื่อปวดใจอยากเข้าไปพยุงร่างหลินเมิ้งหยา ทว่ากลับถูกนางดันมือออกเบา ๆ

  ส่ายหน้า หลินเมิ้งหยายังคงยืดตัวขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย นางมิต้องการให้ผู้ใดเห็นสภาพที่ไม่น่ามองของตนเอง

  หลังจากคุยกับพวกผู้อาวุโสจบแล้ว แข้งขาของหลินเมิ้งหยาเริ่มอ่อนแรงอีกครั้ง แต่นางยังคงพยายามเดินออกจากสุสานบรรพชนสกุลหลินด้วยตัวเอง

  “ข้าไม่เป็นไร ไปกันเถิด ไปบ้านสกุลเยว่”

  จัดการธุระทางฝั่งสกุลหลินเสร็จแล้ว แต่ฝั่งที่ต้องจัดการจริง ๆ คือฝั่งนั้นต่างหาก

  “เจ้าเด็กน้อย อย่าฝืนตัวเองไปเลย หากไม่ไหว ข้าจะพาคนไปขโมยร่างของเยว่ถิงมาเอง อย่าพยายามอีกเลย”

  แม้โสมจะช่วยทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้น แต่ริมฝีปากกลับขาวซีดไร้สีเลือด

  นางส่ายหน้า ปฏิเสธความหวังดีของชิงหู

  “พี่เยว่ถิงต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อความทุกข์ทรมานเพื่อข้าและท่านพี่ พอมาวันนี้นางตายไปแล้ว ข้าอยากทำให้นางเป็นสะใภ้ที่ถูกต้องตามประเพณีของสกุลหลิน”

  สำหรับนางแล้ว เยว่ถิงมิใช่เพียงคู่หมั้นของพี่ชาย แต่นางยังเป็นเพื่อนคนแรกของตนเองอีกด้วย

  ในขณะที่นางกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน มีเพียงพี่เยว่ถิงที่คอยค้ำจุนและมอบความรักให้กับนาง

  ทว่าวันนี้ หญิงสาวผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีได้จากไปแล้ว โดยที่นางต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมากมาย

  ในเมื่อยังไม่สามารถแก้แค้นแทนนางได้ เช่นนั้นนางจะขอมอบความหวังสุดท้ายของพี่เยว่ถิงให้เอง

  กลับขึ้นไปบนรถ หลินเมิ้งหยาปิดตาสนิท หลังพิงผนัง

  สาวใช้และหลินจงอวี้จ้องมองนางด้วยความเป็นห่วง มีเพียงหลินเมิ้งหยาเท่านั้นที่รู้ว่าร่างกายของนางต้องฉวยโอกาสนี้พักผ่อนให้มากเท่าที่จะทำได้

  รถม้าแล่นไปบนถนนอย่างรวดเร็วราวกับกำลังบิน โชคดี หลินเมิ้งหยาได้มีเวลาพักผ่อนก่อนจะถึงบ้านสกุลเยว่

  บรรยากาศในบ้านสกุลเยว่เย็นยะเยือก

  ยังไม่ทันจะถึงหน้าประตูบ้าน หลินเมิ้งหยาก็ลืมตาขึ้น

  “พี่สาว ข้าเข้าไปแทนท่านดีหรือไม่? ”

  หลินจงอวี้ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นท่าทางอ่อนแรงของหลินเมิ้งหยา จึงส่งเสียงขอร้องวิงวอน

  ทว่า หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าปฏิเสธ

  ซูเหม่ยหยุนจะต้องขัดขวางนางอย่างแน่นอน ดังนั้น นางจำเป็นต้องไปด้วยตนเอง

  จวนสกุลเยว่ไร้ซึ่งแสงแห่งความรุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อน

  หน้าประตู โคมไฟสีขาวสองดวงทำให้บรรยากาศโศกเศร้า

  หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ สั่งให้คนเปิดประตู

  “พี่หลินมาอย่างนั้นหรือ? พี่หลินเป็นอย่างไรบ้าง? ”

  เยว่ฉีที่กลับมายังจวนตัวเองแล้วสั่งให้คนเปิดประตูทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังแดงก่ำ

  ตัวนางเองรีบวิ่งไปที่รถม้าแล้วแหวกผ้าด้านหลังรถม้าออก

  “ข้าไม่เป็นไร จวนของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”

  ส่งเสียงสงบนิ่ง แต่กลับทำให้เยว่ฉีร้องไห้ออกมา ราวกับนางได้เจอที่พึ่งแล้วอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะรีบเล่าเหตุการณ์ในจวนให้ฟัง

  “พี่หลิน ในที่สุดท่านก็มา ท่านพ่อกับท่านแม่ทะเลาะกันจนจวนแทบแตก ข้าไม่อาจห้ามพวกเขาได้แล้ว”

  หลังจากใต้เท้าเยว่รับรู้ข่าวการตายของเยว่ถิง ความเจ็บปวดถาโถมเข้าหาเขา

  ทว่า ฮูหยินเยว่กลับไม่ยินยอมให้จัดงานศพ เหตุเพราะไม่อาจทนได้กับความอับอาย

  ฉะนั้น ร่างของพี่เยว่ถิงจึงถูกเก็บไว้ที่บ้านราวห้าวัน โดยยังไม่ได้รับข้อสรุป

  “ท่านพ่อโกรธจนล้มป่วย ท่านแม่จึงไม่กล้าหาเรื่องอีก แต่ยังคงห้ามมิให้คนในจวนแสดงความไว้อาลัยแก่พี่สาว”

  หลินเมิ้งหยาเพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากโคมไฟสองดวงด้านหน้าประตูแล้ว ทุกอย่างในจวนล้วนเป็นปกติ

  เยว่ฉีสวมใส่เพียงเสื้อผ้าธรรมดา นางมิได้สวมใส่ชุดไว้อาลัย

  ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว

  ซูเหม่ยหยุนตัวดี ผันตัวไปเป็นนกพิราบครองรังนกกางเขนยังไม่เท่าไร แต่นี่ยังทำให้พี่เยว่ถิงต้องตาย ซ้ำยังห้ามมิให้จัดพิธีไว้อาลัยแก่พี่เยว่ถิงอีก

  ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก

  “ข้าบอกแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรเยว่ถิงก็เป็นลูกสาวของข้า ข้ามิอาจปล่อยให้นางต้องจากไปอย่างน่าอดสูเช่นนี้”

  เมื่อเดินผ่านสวน พวกหลินเมิ้งหยาเดินมาถึงห้องไว้อาลัยของพี่เยว่ถิง

  ยังไม่ทันจะเข้าไป เสียงแสดงความโกรธเกรี้ยวของใต้เท้าเยว่ดังลอดออกมา

  “ท่านพี่ ข้าทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อจวนของพวกเรา ถิงเอ๋อร์เลือกวิธีการตายที่น่าอับอาย การที่เรายอมฝังร่างของนางก็นับว่าเราเมตตานางมากแล้ว หากเราทำพิธีให้เอิกเกริก คนภายนอกรังแต่จะหัวเราะเยาะ”

  เสียงของฮูหยินเยว่ไร้ซึ่งความเสียใจอย่างสิ้นเชิง

  อีกทั้งยังดูเหมือนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ

  หลินเมิ้งหยากำมือแน่น สตรีไร้ยางอาย! ถึงอย่างไรพี่เยว่ถิงก็เป็นหลานของนางมิใช่หรือ

  แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเลวทรามเสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

  “เจ้า…”

  ใต้เท้าเยว่ที่โกรธจนแทบจะกระอักเลือดชี้นิ้วไปทางภรรยาที่ตนเองรู้สึกราวกับนางเป็นคนแปลกหน้า

  เมื่อก่อน เขาคิดเพียงแค่ว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบเท่านั้น

  แต่ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าอันที่จริงนางเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต

  ตอนแรกเขาเชื่อว่าแม้นางจะไม่ใช่เหม่ยอี้ แต่นางยังคงรักและเอ็นดูลูกสาวทั้งสอง

  แต่พอมาวันนี้ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองคิดผิด

  “ฮูหยินเยว่พูดผิดแล้ว พี่เยว่ถิงหาได้ทำเรื่องอัปยศอดสูใด ๆ ไม่ ผิดกับนกนางแอ่นที่เข้ามาครองรังนกกางเขนบางคนที่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต”

  หลินเมิ้งหยาก้าวขึ้นมาด้านหน้า ใบหน้างดงามเผยให้เห็นสีหน้าของความเย็นชาดุจหิมะ

  ซูเหม่ยหยุนมิเกรงกลัวผู้ใด แต่นางกลับรู้สึกหวั่นเกรงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา

  นางสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนเอ่ยตอบ

  “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพระชายาเลยแม้แต่น้อย หวังว่าพระชายาจะไม่ปรักปรำคนดี”

  หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น เมินเฉยหญิงใจหยาบคนนั้น

  แม้ห้องไว้อาลัยจะไม่ใหญ่ แต่ก็ตกแต่งได้อย่างครบถ้วน

  โลกศพสีดำมะเมื่อมทำให้นางคะนึงหาพี่เยว่ถิง

  แม้จะตายไปแล้ว แต่กลับต้องนอนเดียวดายปล่อยให้ซูเหม่ยหยุนด่าว่าสาดเสียเทเสียอยู่ที่นี่ พี่เยว่ถิงที่น่างสารของข้า หวังว่าท่านจะไม่ต้องเจอกับความทุกข์ทรมานในโลกหน้า

  หลินเมิ้งหยาหยิบธูปขึ้นมาหนึ่งดอก รนไฟ ก่อนจะปักลงบนกระถางธูปพลางส่งเสียงอ่อนโยน

  “พี่เยว่ถิง ข้าขอโทษ หย๋าเอ๋อร์มาช้าไป แต่ท่านโปรดวางใจ หย๋าเอ๋อร์จะส่งท่านเป็นครั้งสุดท้ายเอง อย่ากลัวไปเลย ต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครทำร้ายท่านได้อีกแล้ว”

  ใต้เท้าเยว่ยืนอยู่ข้างป้ายวิญญาณของลูกสาวตนเองด้วยท่าทางหมดสภาพ หลังจากทนทุกข์ทรมานมาหลายวัน ความภาคภูมิใจในตัวเองพลันเหือดหายไป

  ความโศกเศร้าและหดหู่ทำลายความภาคภูมิใจของเขาจนหมดสิ้น

  ตอนนี้เขาไม่ใช่ขุนนางชั้นสูง แต่เป็นเพียงพ่อคนหนึ่งที่สูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รัก

  “ท่านลุงเยว่ อย่าได้โศกเศร้าไปเลย”

  หลินเมิ้งหยาเข้าไปประคองร่างของใต้เท้าเยว่ด้วยตนเอง สายตาของเขาจับจ้องหลินเมิ้งหยา อยู่ ๆ ใต้เท้าเยว่ก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กน้อยที่น่าสงสาร

  เมื่อลองปะติดปะต่อเรื่องราว เขารู้ดีที่สุดว่าฮูหยินเยว่คนนี้มิใช่คนที่เขารัก

  เขาร้องไห้ จิตใจสับสนวุ่นวาย

  “ร้องไห้อยู่ได้ ท่านพี่ ท่านเป็นถึงขุนนางชั้นสูง คุ้มแล้วหรือที่จะเสียน้ำตาให้กับเด็กอกตัญญูเพียงคนเดียว”

  ฮูหยินเยว่ส่งเสียงน่ารังเกียจ ทุกคำพูดของนางทิ่มแทงหัวใจของหลินเมิ้งหยา

  หลินเมิ้งหยากระซิบข้างหูของป๋ายซ่าว ก่อนจะได้เห็นสาวใช้ใบหน้างดงามเดินเข้าไปยืนตรงหน้าฮูหยินเยว่

  นางยกมือขึ้นด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะตบลงบนใบหน้าของฮูหยินใจร้าย

  “เพียะ” เสียงดังขึ้น ทุกคนตกตะลึง

  “หลินเมิ้งหยา เจ้ากล้าตบข้า”

  ฮูหยินเยว่ยกมือปิดหน้าตนเอง ถลึงตาโต จ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยความโกรธเกรี้ยว

  “หากเจ้ายังทำตัวเสียมารยาท ข้าจะสั่งให้คนตบต่อไป หากไม่เชื่อก็ลองดู”

  สีหน้าและน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่กลับน่าเชื่อถือ

  ฮูหยินเยว่ยังคิดจะตอบโต้ แต่ป๋ายซ่าวเร็วกว่ามาก เงื้อมือแล้วตบลงไปอีกครั้ง

  “สวรรค์โปรด ไม่มีเหตุผล ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องการกลั่นแกล้งข้า”

  ฮูหยินเยว่ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้ร้องประณามเสียงดัง

  “หากยังไม่หยุด ข้าจะส่งให้คนตัดลิ้นของเจ้า ป๋ายซู”

  นางพยักหน้าลงเป็นสัญญาณ ป๋ายซูเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินเยว่ มือทั้งสองข้างเข้าไปกดจุดทั้งแปดของนาง

  “นายหญิง ตัดเลยหรือไม่เจ้าคะ? ”

  มือเรียวสวยง้างปากของฮูหยินเยว่ ป๋ายซูหยิบมีดออกมา

  หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมองฮูหยินเยว่ สายตาเสมือนกำลังมองสัตว์ที่กำลังจะตาย

  “หากนางยังไม่หยุด เจ้าตัดได้เลย”

  “เจ้าค่ะ”

  ป๋ายซูคลายจุดทั้งแปด แต่คราวนี้ฮูหยินเยว่มิกล้าส่งเสียงใด ๆ อีก

  “ท่านลุงเยว่ ข้าได้ปรึกษากับผู้อาวุโสของตระกูลแล้ว ข้าจะฝังร่างของพี่เยว่ถิงในสุสานและนำป้ายวิญญาณของนางไปไว้ที่สุสานบรรพชนของสกุลหลิน โดยใช้ชื่อภรรยาของพี่ชาย”

  เมื่อได้ยินข่าวนี้ หยดน้ำตาพรั่งพรูออกจากดวงตาของใต้เท้าเยว่มากกว่าเก่า

  ตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณสกุลหลินทุกคน

  คิดไม่ถึงเลยว่าลูกสาวผู้น่าสงสารของเขาจะทำตามความปรารถนาสุดท้ายได้สำเร็จ

  “ถิงเอ๋อร์ ได้ยินแล้วใช่หรือไม่? ในที่สุดความปรารถนาของเจ้าก็สำเร็จ ตอนนี้เจ้าได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของหนานเซิงแล้วนะ”

  เสียงร่ำไห้ของไต้เท้าเยว่ทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บปวด

  มองดูเยว่ฉีที่ร้องไห้เสมือนเจ้าแม่แห่งหยดน้ำตา หลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บปวดมากเหลือเกิน

  สิ่งที่นางทำยังไม่ดีพอ

  ถ้าหากนางระมัดระวังมากกว่านี้ บางทีพี่เยว่ถิงอาจจะไม่ตายใช่หรือไม่?

  แต่ตอนนี้มันไม่มีคำว่าถ้าหากอีกต่อไปแล้ว

  เมื่อหลินเมิ้งหยาเป็นคนออกหน้า ฮูหยินเยว่จึงไม่กล้าหักห้าม

  ไม่นานคนทั้งจวนเริ่มพิธีไว้อาลัยแก่คุณหนูผู้จิตใจโอบอ้อมอารีเป็นครั้งสุดท้าย

  “ยกป้ายวิญญาณ…”

  เมื่อผู้จัดพิธีประกาศ เสียงร้องไห้ของทุกคนจึงดังขึ้นมา

  มันคือหยดน้ำตาแห่งความเสียใจอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับคนในโลกปัจจุบันที่แสร้งร้องไห้เพื่อรักษาภาพพจน์ของตนเอง

  ความเจ็บปวด โศกเศร้า เสียใจ ล้วนปรากฏอยู่บนใบหน้าของทุกคน

  ใต้เท้าเยว่ถูกพยุงกลับไปที่ห้องแล้ว

  คนผมขาวต้องส่งคนผมดำคือความทุกข์อันแสนสาหัส

  “พี่สาว พี่สาว…”

  เยว่ฉีถูกสาวใช้รั้งตัวเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นนางยังคงร้องไห้และส่งเสียงตะโกน

  สิบกว่าปีที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองต้องพรากจากกัน

  หลินเมิ้งหยาเดินตามด้านหลังขบวนศพ แม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย แต่ถึงกระนั้นก็ยังกัดฟันทน

  พี่เยว่ถิง ขอบคุณความจริงใจตลอดสิบปี ขอบคุณที่มอบความอบอุ่นให้แก่ข้า

  ทำใจให้สบายแล้วจากไปอย่างสงบเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านยังห่วงหา หลินเมิ้งหยาจะเป็นผู้ดูแลเอง

  เรี่ยวแรงของนาง ในที่สุดก็หมดลง…

  ป๋ายจื่อและหลินจงอวี้ร้องเสียงดัง ร่างทั้งร่างของหลินเมิ้งหยาร่วงหล่น…

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ชีวิตแรกของ “ซูซิงเกอ” จบลงในห้องทดลองที่เธอรัก.. เมื่อตื่นมาอีกครั้ง ซูซิงเกอจึงได้ชีวิตใหม่ในร่างของ “หลินเมิ้งหยา”คุณหนูสมองพิการ ที่มีผู้ปองร้ายเป็นแม่เลี้ยงและน้องสาวของตนเอง! มิหนำซ้ำนางกำลังจะถูกส่งตัวไปแต่งงานกับ “หลงเทียนอวี้” ท่านอ๋องแสนเย็นชา ที่ต้องแต่งงานทางการเมืองกับนาง โดยที่เขาก็ไม่ได้เต็มใจ ช่างเป็นการเกิดใหม่ ที่แสนวิเศษจริงๆ! เอาละ! จะปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ไม่ได้ นางหาใช่คนที่จะปล่อยให้ชะตาชีวิตเป็นไปตามลิขิตอย่างหลินเมิ้งหยาเสียเมื่อไหร่ เพราะนางคือ..วายร้ายจอมแก้แค้นซูซิงเกอ นางจะใช้ความรู้สารพัดพิษที่มี จัดการพวกมันเอง เริ่มจากยัยน้องสาวตัวดีก่อนละกัน!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset