“นายหญิงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
ป๋ายจื่อปวดใจอยากเข้าไปพยุงร่างหลินเมิ้งหยา ทว่ากลับถูกนางดันมือออกเบา ๆ
ส่ายหน้า หลินเมิ้งหยายังคงยืดตัวขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย นางมิต้องการให้ผู้ใดเห็นสภาพที่ไม่น่ามองของตนเอง
หลังจากคุยกับพวกผู้อาวุโสจบแล้ว แข้งขาของหลินเมิ้งหยาเริ่มอ่อนแรงอีกครั้ง แต่นางยังคงพยายามเดินออกจากสุสานบรรพชนสกุลหลินด้วยตัวเอง
“ข้าไม่เป็นไร ไปกันเถิด ไปบ้านสกุลเยว่”
จัดการธุระทางฝั่งสกุลหลินเสร็จแล้ว แต่ฝั่งที่ต้องจัดการจริง ๆ คือฝั่งนั้นต่างหาก
“เจ้าเด็กน้อย อย่าฝืนตัวเองไปเลย หากไม่ไหว ข้าจะพาคนไปขโมยร่างของเยว่ถิงมาเอง อย่าพยายามอีกเลย”
แม้โสมจะช่วยทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้น แต่ริมฝีปากกลับขาวซีดไร้สีเลือด
นางส่ายหน้า ปฏิเสธความหวังดีของชิงหู
“พี่เยว่ถิงต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อความทุกข์ทรมานเพื่อข้าและท่านพี่ พอมาวันนี้นางตายไปแล้ว ข้าอยากทำให้นางเป็นสะใภ้ที่ถูกต้องตามประเพณีของสกุลหลิน”
สำหรับนางแล้ว เยว่ถิงมิใช่เพียงคู่หมั้นของพี่ชาย แต่นางยังเป็นเพื่อนคนแรกของตนเองอีกด้วย
ในขณะที่นางกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน มีเพียงพี่เยว่ถิงที่คอยค้ำจุนและมอบความรักให้กับนาง
ทว่าวันนี้ หญิงสาวผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีได้จากไปแล้ว โดยที่นางต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมากมาย
ในเมื่อยังไม่สามารถแก้แค้นแทนนางได้ เช่นนั้นนางจะขอมอบความหวังสุดท้ายของพี่เยว่ถิงให้เอง
กลับขึ้นไปบนรถ หลินเมิ้งหยาปิดตาสนิท หลังพิงผนัง
สาวใช้และหลินจงอวี้จ้องมองนางด้วยความเป็นห่วง มีเพียงหลินเมิ้งหยาเท่านั้นที่รู้ว่าร่างกายของนางต้องฉวยโอกาสนี้พักผ่อนให้มากเท่าที่จะทำได้
รถม้าแล่นไปบนถนนอย่างรวดเร็วราวกับกำลังบิน โชคดี หลินเมิ้งหยาได้มีเวลาพักผ่อนก่อนจะถึงบ้านสกุลเยว่
บรรยากาศในบ้านสกุลเยว่เย็นยะเยือก
ยังไม่ทันจะถึงหน้าประตูบ้าน หลินเมิ้งหยาก็ลืมตาขึ้น
“พี่สาว ข้าเข้าไปแทนท่านดีหรือไม่? ”
หลินจงอวี้ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นท่าทางอ่อนแรงของหลินเมิ้งหยา จึงส่งเสียงขอร้องวิงวอน
ทว่า หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าปฏิเสธ
ซูเหม่ยหยุนจะต้องขัดขวางนางอย่างแน่นอน ดังนั้น นางจำเป็นต้องไปด้วยตนเอง
จวนสกุลเยว่ไร้ซึ่งแสงแห่งความรุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อน
หน้าประตู โคมไฟสีขาวสองดวงทำให้บรรยากาศโศกเศร้า
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ สั่งให้คนเปิดประตู
“พี่หลินมาอย่างนั้นหรือ? พี่หลินเป็นอย่างไรบ้าง? ”
เยว่ฉีที่กลับมายังจวนตัวเองแล้วสั่งให้คนเปิดประตูทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังแดงก่ำ
ตัวนางเองรีบวิ่งไปที่รถม้าแล้วแหวกผ้าด้านหลังรถม้าออก
“ข้าไม่เป็นไร จวนของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ส่งเสียงสงบนิ่ง แต่กลับทำให้เยว่ฉีร้องไห้ออกมา ราวกับนางได้เจอที่พึ่งแล้วอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะรีบเล่าเหตุการณ์ในจวนให้ฟัง
“พี่หลิน ในที่สุดท่านก็มา ท่านพ่อกับท่านแม่ทะเลาะกันจนจวนแทบแตก ข้าไม่อาจห้ามพวกเขาได้แล้ว”
หลังจากใต้เท้าเยว่รับรู้ข่าวการตายของเยว่ถิง ความเจ็บปวดถาโถมเข้าหาเขา
ทว่า ฮูหยินเยว่กลับไม่ยินยอมให้จัดงานศพ เหตุเพราะไม่อาจทนได้กับความอับอาย
ฉะนั้น ร่างของพี่เยว่ถิงจึงถูกเก็บไว้ที่บ้านราวห้าวัน โดยยังไม่ได้รับข้อสรุป
“ท่านพ่อโกรธจนล้มป่วย ท่านแม่จึงไม่กล้าหาเรื่องอีก แต่ยังคงห้ามมิให้คนในจวนแสดงความไว้อาลัยแก่พี่สาว”
หลินเมิ้งหยาเพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากโคมไฟสองดวงด้านหน้าประตูแล้ว ทุกอย่างในจวนล้วนเป็นปกติ
เยว่ฉีสวมใส่เพียงเสื้อผ้าธรรมดา นางมิได้สวมใส่ชุดไว้อาลัย
ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว
ซูเหม่ยหยุนตัวดี ผันตัวไปเป็นนกพิราบครองรังนกกางเขนยังไม่เท่าไร แต่นี่ยังทำให้พี่เยว่ถิงต้องตาย ซ้ำยังห้ามมิให้จัดพิธีไว้อาลัยแก่พี่เยว่ถิงอีก
ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรเยว่ถิงก็เป็นลูกสาวของข้า ข้ามิอาจปล่อยให้นางต้องจากไปอย่างน่าอดสูเช่นนี้”
เมื่อเดินผ่านสวน พวกหลินเมิ้งหยาเดินมาถึงห้องไว้อาลัยของพี่เยว่ถิง
ยังไม่ทันจะเข้าไป เสียงแสดงความโกรธเกรี้ยวของใต้เท้าเยว่ดังลอดออกมา
“ท่านพี่ ข้าทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อจวนของพวกเรา ถิงเอ๋อร์เลือกวิธีการตายที่น่าอับอาย การที่เรายอมฝังร่างของนางก็นับว่าเราเมตตานางมากแล้ว หากเราทำพิธีให้เอิกเกริก คนภายนอกรังแต่จะหัวเราะเยาะ”
เสียงของฮูหยินเยว่ไร้ซึ่งความเสียใจอย่างสิ้นเชิง
อีกทั้งยังดูเหมือนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ
หลินเมิ้งหยากำมือแน่น สตรีไร้ยางอาย! ถึงอย่างไรพี่เยว่ถิงก็เป็นหลานของนางมิใช่หรือ
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเลวทรามเสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
“เจ้า…”
ใต้เท้าเยว่ที่โกรธจนแทบจะกระอักเลือดชี้นิ้วไปทางภรรยาที่ตนเองรู้สึกราวกับนางเป็นคนแปลกหน้า
เมื่อก่อน เขาคิดเพียงแค่ว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าอันที่จริงนางเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต
ตอนแรกเขาเชื่อว่าแม้นางจะไม่ใช่เหม่ยอี้ แต่นางยังคงรักและเอ็นดูลูกสาวทั้งสอง
แต่พอมาวันนี้ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองคิดผิด
“ฮูหยินเยว่พูดผิดแล้ว พี่เยว่ถิงหาได้ทำเรื่องอัปยศอดสูใด ๆ ไม่ ผิดกับนกนางแอ่นที่เข้ามาครองรังนกกางเขนบางคนที่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต”
หลินเมิ้งหยาก้าวขึ้นมาด้านหน้า ใบหน้างดงามเผยให้เห็นสีหน้าของความเย็นชาดุจหิมะ
ซูเหม่ยหยุนมิเกรงกลัวผู้ใด แต่นางกลับรู้สึกหวั่นเกรงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา
นางสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนเอ่ยตอบ
“ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพระชายาเลยแม้แต่น้อย หวังว่าพระชายาจะไม่ปรักปรำคนดี”
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น เมินเฉยหญิงใจหยาบคนนั้น
แม้ห้องไว้อาลัยจะไม่ใหญ่ แต่ก็ตกแต่งได้อย่างครบถ้วน
โลกศพสีดำมะเมื่อมทำให้นางคะนึงหาพี่เยว่ถิง
แม้จะตายไปแล้ว แต่กลับต้องนอนเดียวดายปล่อยให้ซูเหม่ยหยุนด่าว่าสาดเสียเทเสียอยู่ที่นี่ พี่เยว่ถิงที่น่างสารของข้า หวังว่าท่านจะไม่ต้องเจอกับความทุกข์ทรมานในโลกหน้า
หลินเมิ้งหยาหยิบธูปขึ้นมาหนึ่งดอก รนไฟ ก่อนจะปักลงบนกระถางธูปพลางส่งเสียงอ่อนโยน
“พี่เยว่ถิง ข้าขอโทษ หย๋าเอ๋อร์มาช้าไป แต่ท่านโปรดวางใจ หย๋าเอ๋อร์จะส่งท่านเป็นครั้งสุดท้ายเอง อย่ากลัวไปเลย ต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครทำร้ายท่านได้อีกแล้ว”
ใต้เท้าเยว่ยืนอยู่ข้างป้ายวิญญาณของลูกสาวตนเองด้วยท่าทางหมดสภาพ หลังจากทนทุกข์ทรมานมาหลายวัน ความภาคภูมิใจในตัวเองพลันเหือดหายไป
ความโศกเศร้าและหดหู่ทำลายความภาคภูมิใจของเขาจนหมดสิ้น
ตอนนี้เขาไม่ใช่ขุนนางชั้นสูง แต่เป็นเพียงพ่อคนหนึ่งที่สูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รัก
“ท่านลุงเยว่ อย่าได้โศกเศร้าไปเลย”
หลินเมิ้งหยาเข้าไปประคองร่างของใต้เท้าเยว่ด้วยตนเอง สายตาของเขาจับจ้องหลินเมิ้งหยา อยู่ ๆ ใต้เท้าเยว่ก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กน้อยที่น่าสงสาร
เมื่อลองปะติดปะต่อเรื่องราว เขารู้ดีที่สุดว่าฮูหยินเยว่คนนี้มิใช่คนที่เขารัก
เขาร้องไห้ จิตใจสับสนวุ่นวาย
“ร้องไห้อยู่ได้ ท่านพี่ ท่านเป็นถึงขุนนางชั้นสูง คุ้มแล้วหรือที่จะเสียน้ำตาให้กับเด็กอกตัญญูเพียงคนเดียว”
ฮูหยินเยว่ส่งเสียงน่ารังเกียจ ทุกคำพูดของนางทิ่มแทงหัวใจของหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยากระซิบข้างหูของป๋ายซ่าว ก่อนจะได้เห็นสาวใช้ใบหน้างดงามเดินเข้าไปยืนตรงหน้าฮูหยินเยว่
นางยกมือขึ้นด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะตบลงบนใบหน้าของฮูหยินใจร้าย
“เพียะ” เสียงดังขึ้น ทุกคนตกตะลึง
“หลินเมิ้งหยา เจ้ากล้าตบข้า”
ฮูหยินเยว่ยกมือปิดหน้าตนเอง ถลึงตาโต จ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“หากเจ้ายังทำตัวเสียมารยาท ข้าจะสั่งให้คนตบต่อไป หากไม่เชื่อก็ลองดู”
สีหน้าและน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่กลับน่าเชื่อถือ
ฮูหยินเยว่ยังคิดจะตอบโต้ แต่ป๋ายซ่าวเร็วกว่ามาก เงื้อมือแล้วตบลงไปอีกครั้ง
“สวรรค์โปรด ไม่มีเหตุผล ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องการกลั่นแกล้งข้า”
ฮูหยินเยว่ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้ร้องประณามเสียงดัง
“หากยังไม่หยุด ข้าจะส่งให้คนตัดลิ้นของเจ้า ป๋ายซู”
นางพยักหน้าลงเป็นสัญญาณ ป๋ายซูเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินเยว่ มือทั้งสองข้างเข้าไปกดจุดทั้งแปดของนาง
“นายหญิง ตัดเลยหรือไม่เจ้าคะ? ”
มือเรียวสวยง้างปากของฮูหยินเยว่ ป๋ายซูหยิบมีดออกมา
หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมองฮูหยินเยว่ สายตาเสมือนกำลังมองสัตว์ที่กำลังจะตาย
“หากนางยังไม่หยุด เจ้าตัดได้เลย”
“เจ้าค่ะ”
ป๋ายซูคลายจุดทั้งแปด แต่คราวนี้ฮูหยินเยว่มิกล้าส่งเสียงใด ๆ อีก
“ท่านลุงเยว่ ข้าได้ปรึกษากับผู้อาวุโสของตระกูลแล้ว ข้าจะฝังร่างของพี่เยว่ถิงในสุสานและนำป้ายวิญญาณของนางไปไว้ที่สุสานบรรพชนของสกุลหลิน โดยใช้ชื่อภรรยาของพี่ชาย”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ หยดน้ำตาพรั่งพรูออกจากดวงตาของใต้เท้าเยว่มากกว่าเก่า
ตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณสกุลหลินทุกคน
คิดไม่ถึงเลยว่าลูกสาวผู้น่าสงสารของเขาจะทำตามความปรารถนาสุดท้ายได้สำเร็จ
“ถิงเอ๋อร์ ได้ยินแล้วใช่หรือไม่? ในที่สุดความปรารถนาของเจ้าก็สำเร็จ ตอนนี้เจ้าได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของหนานเซิงแล้วนะ”
เสียงร่ำไห้ของไต้เท้าเยว่ทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บปวด
มองดูเยว่ฉีที่ร้องไห้เสมือนเจ้าแม่แห่งหยดน้ำตา หลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บปวดมากเหลือเกิน
สิ่งที่นางทำยังไม่ดีพอ
ถ้าหากนางระมัดระวังมากกว่านี้ บางทีพี่เยว่ถิงอาจจะไม่ตายใช่หรือไม่?
แต่ตอนนี้มันไม่มีคำว่าถ้าหากอีกต่อไปแล้ว
เมื่อหลินเมิ้งหยาเป็นคนออกหน้า ฮูหยินเยว่จึงไม่กล้าหักห้าม
ไม่นานคนทั้งจวนเริ่มพิธีไว้อาลัยแก่คุณหนูผู้จิตใจโอบอ้อมอารีเป็นครั้งสุดท้าย
“ยกป้ายวิญญาณ…”
เมื่อผู้จัดพิธีประกาศ เสียงร้องไห้ของทุกคนจึงดังขึ้นมา
มันคือหยดน้ำตาแห่งความเสียใจอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับคนในโลกปัจจุบันที่แสร้งร้องไห้เพื่อรักษาภาพพจน์ของตนเอง
ความเจ็บปวด โศกเศร้า เสียใจ ล้วนปรากฏอยู่บนใบหน้าของทุกคน
ใต้เท้าเยว่ถูกพยุงกลับไปที่ห้องแล้ว
คนผมขาวต้องส่งคนผมดำคือความทุกข์อันแสนสาหัส
“พี่สาว พี่สาว…”
เยว่ฉีถูกสาวใช้รั้งตัวเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นนางยังคงร้องไห้และส่งเสียงตะโกน
สิบกว่าปีที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองต้องพรากจากกัน
หลินเมิ้งหยาเดินตามด้านหลังขบวนศพ แม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย แต่ถึงกระนั้นก็ยังกัดฟันทน
พี่เยว่ถิง ขอบคุณความจริงใจตลอดสิบปี ขอบคุณที่มอบความอบอุ่นให้แก่ข้า
ทำใจให้สบายแล้วจากไปอย่างสงบเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านยังห่วงหา หลินเมิ้งหยาจะเป็นผู้ดูแลเอง
เรี่ยวแรงของนาง ในที่สุดก็หมดลง…
ป๋ายจื่อและหลินจงอวี้ร้องเสียงดัง ร่างทั้งร่างของหลินเมิ้งหยาร่วงหล่น…