ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 27 ตอนที่ 2
ใช่แล้ว
เขารู้
และนั้นคือเหตุผลที่ทําให้เขาต้องลังเล ถ้าเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้ เขาคงจะกระโดดข้ามไปอีกฝังทันที เพื่อจะได้ไปสร้างความ ทรงจําอันล้ําค่ากับเพื่อน ๆ ของเขา เขาคงจะพยายามอย่าง สุดความสามารถเพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นนักแสดง แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังตัดสินใจไม่ถูก เขากําลังชั่งใจว่ามันจะส่งผลดีกับเขามากแค่ไหน
แต่ถึงเขาจะไม่อยากมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาต้องร้องไห้กับความยากจนของตัวเองในอดีตมามาก เพราะแบบนั้น สมองของเขาถึงกําลังคํานวนส่วนได้ส่วนเสียให้เขาโดยเขาไม่ต้องร้องขอ
เขาไม่อยากทํา
เขาแค่อยากจะลองเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นสักปีหนึ่ง
[พ่อคะ ซื้อให้หน่อย? นะ? อ่า… ไม่เอาดีกว่า จริงๆแล้วหนูก็ไม่อยากได้หรอก ไม่เอาแล้ว]
มันเป็นวันอะไรกันนะ? วันคริสมาสต์? วันเกิด? เขายังจําคําพูดของลูกสาวได้อย่างชัดเจน ขณะที่เธอมองไปที่ของบางอย่างด้วยความอยากได้ อย่างแรกที่มารุนึกถึงในตอนนั้นคือกระเป๋าตังโล่งๆของตัวเอง และคําพูดของภรรยาที่พูดถึงเรื่อง “ขึ้นค่าเช่า” เขาไม่สามารถเปล่งคําพูดออกมาได้ ได้แต่ก้มลงมองไปที่ลูกสาวของตัวเอง
เด็กน้อยรับรู้ถึงความคิดของเขาได้อย่างรวดเร็ว ให้เขาโดนหัวหน้าดุด่าในที่ทํางานยังไม่เจ็บปวดเท่านี้ การต้องมาเห็นสาวน้อยส่ายหัว เพราะรู้เรื่องการเงินของครอบครัว มันทําให้เขารู้สึกราวกับว่าโลกกําลังแตกสลายลงตรงหน้า
เขากําลังใช้ชีวิตในปัจจุบัน
แต่จิตใจของเขายังติดอยู่ในอดีต มันยังคงย้ําให้เขาได้เห็นอนาคตอยู่เรื่อยๆ
หญิงสาวบอกเขาไว้ว่าเขาสามารถไปเจอลูกและภรรยาได้อีกครั้ง มันทําให้อดีตถาโถมเข้ามาในจิตใจ ถ้าเขาไม่อยากต้องใช้ชีวิตจนๆอีกครั้ง เขาก็ต้องพยายาม เขาต้องใช้ความพยายามให้มากเพื่อจะได้ประสบความสําเร็จ
และสิ่งที่เขาต้องใช้ไปพร้อมๆกับความพยายามนั่นก็คือ “เวลา”
“งั้นก็เท่านี้แล้วกัน” มิโซหันหลังให้เขา
พวกปีหนึ่งต่างมองมาที่เขาอย่างแปลกประหลาด ใช่ แบบนี้แหละดีแล้ว เขาจะทิ้งความสนุกในตอนนี้ เพื่ออนาคตอันสดใส
มารุ… ไม่ได้เดินออกจากฝั่งขวา
“เอาล่ะมารุ” มิโซพูดขึ้น
“ครับ”
“กลับได้แล้ว”
“…ครับ”
เขาโบกมือลาเพื่อน ๆ ที่ยืนงง และเดินออกมาจากห้อง สิ่งที่เขาอยากทําคืออะไร เขาเองก็ตอบไม่ได้ เขาแค่ไม่อยากจะต้องเสียเวลาไปก็เท่านั้นเอง
ชีวิตที่สนุก
มารุยกมือขึ้นเกาหางคิ้วของตัวเอง เขารู้สึกราวกับว่า กําลังมีใครมาสุมไฟอยู่ที่กลางอก เขาอาจจะคิดไปเอง
คงคิดไปเองแหละ
มารุนั่งลงที่โต๊ะหลังกินข้าวเสร็จ เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่ปีสามไปแล้ว เขาไม่ได้เก่งคณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษมากมายนัก แต่การค่อยๆเรียนรู้ไปเรื่อยๆก็ช่วยทําให้เขาเข้าใจมันขึ้นมาบ้าง
“ที่เขาว่าตั้งใจเรียนไว้ให้มากคงไม่ผิดเสียทีเดียว” เขาได้แต่คิดในใจ
เขาหันไปมองที่นาฬิกาหลังจากนั่งอ่านหนังสือได้สักพัก มันเป็นเวลา 4 ทุ่มแล้ว ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาส่งเสียงออกมา มีสองข้อความเข้า
ไอ้คนทรยศ
[มารุ มันเจ็บจริงๆนะ]
มันเป็นข้อความจากโดจินและเดมยัง ตอนนี้คงเพิ่งเลิกกัน วันนี้เองพวกเขาก็คงต้องลําบากเช่นกัน สมเป็นมิโซจริงๆ เขาส่งข้อความไปบอกทั้งสองคนให้พักผ่อนก่อนจะเดินออกจากห้องตัวเองมาที่ห้องนั่งเล่น น้องสาวของเขากําลังนั่งดูทีวีอยู่ เธอหันมามองเขานิดหน่อย อยากจะพูดอะไรรึเปล่านะ?
“อยากจะเล่นคอมเหรอ?”
“เปล่า”
“หิวเหรอ?”
“ไม่ใช่!” เธอขึ้นเสียง
อารมณ์ของเธอยังร้อนไม่เปลี่ยน ตอนนี้พ่อของเขายังไม่กลับมา เขาทํางานกะดึกรอบสองอยู่ ส่วนแม่ของเขาก็ออกไปทํางานที่บ้านเพื่อน เรื่องประกอบรถ? หรืออะไรสักอย่าง มารุไม่แน่ใจ สิ่งที่มารุรู้คือเงินที่พ่อแม่ได้มาทั้งหมด จะถูกใช้จ่ายภายในบ้านนี้
ตอนเขาเด็กๆเขาไม่รู้เลย เขาคิดเพียงแค่ว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่อง… ที่แน่นอน
แน่นอนว่าตู้เย็นต้องมีอาหาร แน่นอนว่าบ้านจะต้องอุ่น แน่นอนว่าพ่อแม่ของเขาจะให้อะไรกับเขาบ้าง แต่ในความเป็นจริง มันไม่มีอะไรที่แน่นอนแบบนั้นเลย
เขายังจําคําพูด “การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม” ได้อย่างชัดเจน คําๆนี้ใช้อธิบายสถานการณ์ในบ้านได้อย่างดี ความสะดวกสบายในชีวิตของเขา ต้องแลกมาด้วยการทํางานที่หนักไม่แพ้กัน
“เอาน้ําไหม?”
“ให้ตายเถอะ พอสักทีได้ไหม”
น้องสาวของเขามองมาที่เขาราวกับเขาเป็นตัวปละหลาด และเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
“วัยต่อต้านสินะ”
มารุเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปพร้อมกับแก้วน้ําผลไม้ในมือ และเริ่มนั่งลงอ่านหนังสือต่อ วันพรุ่งนี้เขาจะไปถาม พวกที่ฉลาด ๆ ตรงส่วนที่เขาไม่เข้าใจ ตอนนี้เขากําลังตั้งใจเขียนสมุดอย่างขันแข็ง เขาไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจของเขาในวันนี้มันถูกหรือผิด
“อนาคตเราคงจะหาคําตอบให้คําถามนี้ได้”
มารุนั่งอ่านหนังสืออีกเกือบชั่วโมงก่อนจะลุกขึ้นบิดตัว เขาออกมาออกกําลังนิดหน่อยก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป
วันนี้เป็นวันที่มีประสิทธิผล เอาจริงๆเขาคงไม่สามารถใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพไปได้มากกว่านี้ แต่แล้วทําไม
“ทําไมฉันถึงถอนหายใจบ่อยขนาดนี้?”
คลิก เขาปิดไฟในห้องลง มารุนอนลงบนแผ่นทําความร้อน ตอนที่เขากําลังจะหลับลงได้นั้นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นแสงบนกําแพง มันเป็นสติกเกอร์เรืองแสงรูปร่างคล้ายพระจันทร์ เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเขาเอามาติดไว้เอง
[พระจันทร์มันสวยมากเพราะมันส่องแสงได้]
เขายังจําคําพูดนั้นได้ แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว
“พระจันทร์ช่างน่าสงสาร เพราะมันส่องแสงด้วยตัวเองไม่
เพราะพระจันทร์ส่องแสงได้ ก็ต่อเมื่อมันได้รับแสงจากคนที่สว่างจ้ากว่าตัวเอง มารุหลับตาลง
คืนนั้น มารุฝันว่าเขากําลังจ้องมองดวงจันทร์บนหัวตัวเอง